นั่นคงเป็นจดหมายที่ใครหลายคนเขียนถึง อาซาร์ ในวันที่เขากำลังจะก้าวเดินออกจากถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์
ถ้านั่นคือคำร่ำลาจริงๆ เหล่าสาวกสิงห์บลูส์คงทำอะไรไม่ได้มากกว่า คำว่า 'ขอบคุณ'
จงขอบคุณที่ดาวเตะทีมชาติเบลเยียมได้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ตัวเองจะทำได้ในสนามแม้ว่ามันจะเป็นปีสุดท้าย จงขอบคุณที่เขาได้สร้างความน่าหลงใหลในการเลี้ยงบอล และจงขอบคุณสำหรับถ้วยรางวัลทั้งหมดที่มีเขาเป็นส่วนสำคัญของทีม
ลองย้อนกลับไปตอนที่ อาซาร์ ประกาศว่าจะเซ็นสัญญากับ เชลซี เป็นครั้งแรกตอนปี 2012 สิ บอกได้เลยตอนนั้นบรรดาแฟนบอลของสิงห์บลูส์อาจตื่นเต้น ดีใจ แต่พวกเขาก็คงไม่คิดว่านักเตะคนนี้จะมีผลกระทบกับทีมอย่างมากมายมหาศาล
เขาถูกยกให้เป็นหนึ่งในแสงไฟที่ส่องประกายมากที่สุดในภาคพื้นยุโรป ทั้งที่เดิมทีเราไม่สามารถคาดการณ์ได้หรอกว่าดวงไฟดวงนี้จะเปล่งประกายได้เพียงใดตอนที่เขาเพิ่งก้าวเท้าเข้ามายังกรุงลอนดอน
แน่นอน คำว่า 'ลาก่อน' คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสาวกสิงห์บลูส์ แต่ถ้าคุณเลือกจำแต่ช่วงเวลาดีๆ ทั้งหมดของเขา มันอาจจะทำให้คุณเอ่ยคำลาคล่องปากมากขึ้น
เขาเข้ามาเรียกเสียงฮือฮาด้วยการทำลายความแข็งแกร่งของ ปาโบล ซาบาเลต้า ต่อด้วยการยักไหล่ใส่ ฟร็องซิส โกเกอแล็ง สิ่งเหล่านั้นสร้างรอยยิ้มให้กับแฟนๆ ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริจด์ อยู่หลายครั้ง
เขาทำให้โลกใบเก่าที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด หมดมนต์ขลัง และทำลายแนวป้องกันของ ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ ได้มากกว่าหนึ่้งครั้ง
เขาคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ และพาทีมไปสู่ตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย
เหนือกว่าสิ่งอื่นใด และถ้วยรางวัลทั้งหมดของ เชลซี เขาคือคนที่ปฏิเสธโอกาสเถลิงแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกของคู่ปรับร่วมกรุงลอนดอนอย่าง สเปอร์ส มาแล้วด้วย
ลองมองย้อนไปยังอดีตที่ผ่านมาไม่นานนี้ อาซาร์ โดนล่อลวงโดยความยิ่งใหญ่ของ เรอัล มาดริด มาแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
แต่!!!
เขาก็ไม่เคยเลือกหันหลังให้กับทีม และแฟนบอลอย่างไร้เยื่อใยเหมือนกับที่ใครคนนั้นอย่างเช่น ติโบต์ กูร์กตัวส์ ทำ
ลืมซีซั่น 2015-16 ที่ เชลซี ทำได้เพียงจบอันดับ 10 ในตาราง และกรณีของเด็กเก็บบอลที่ สวอนซี
นอกนั้น เขาแทบไม่มีอะไรที่แฟนบอลสามารถตำหนิได้เลย
ในช่วงปีแรกๆ ที่มาถึง เขาเปรียบเหมือนกับ อเล็กซิส ซานเชซ ของ อาร์เซน่อล และ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ที่ ลิเวอร์พูล
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป อาซาร์ ได้กลายเป็นเครื่องหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าในเวทีพรีเมียร์ลีก หรือใครจะเถียง...
สมัยก่อน สาวกลูกหนังสีน้ำเงินในกรุงลอนดอนอาจตื่นเต้นกับลีลาการร่ายเวทมนต์ของ จานฟรังโก้ โซล่า ทว่าเมื่อ อาซาร์ เข้ามา เขาได้แซงหน้าตำนานชาวอิตาเลี่ยน และกลายเป็นคนที่เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนบอลได้มากที่สุด
นอกจากนี้ หากเรามองกันให้ดีๆ อาซาร์ ไม่ได้มีทีมที่ดีที่สุดอยู่รอบตัว นั่นหมายความว่าพลังอันยิ่งใหญ่ของเขานั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่กว่า
ถ้าให้เทียบ มันก็คงเป็นความรับผิดชอบแบบเดียวกันกับ ปอล ป็อกบา ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด และ เมซุต โอซิล ที่ อาร์เซน่อล
แต่!!!
มันแตกต่างกันตรงที่ อาซาร์ แบกรับน้ำหนักนั้นไว้บนบ่าของเขาได้อย่างสบายๆ โดยที่ไม่เดือดร้อนเหมือนกับสองรายด้านบนที่ยกตัวอย่างมา
เมื่อมีจุดเริ่มต้น ทุกอย่างก็ย่อมมีจุดจบ
คุณเคยเห็นเรื่องนี้มาแล้วกับ หลุยส์ ซัวเรซ, เธียร์รี่ อองรี, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ แกเร็ธ เบล
และเขาก็ได้ผ่านพ้นกับลีกที่ยอดเยี่ยม เขามาถึงระดับที่เราทุกคนรู้ว่าเก่งกาจแค่ไหน นั่นแหละมันทำให้คุณรู้ว่าคุณสมควรที่จะให้โอกาสของเขาที่กรุงมาดริด
แค่คำถามที่ว่า "ซีเนดีน ซีดานจะให้อะไรคุณได้บ้าง หรือเมาริซิโอ ซาร์รี่จะทำแบบนั้นได้รึเปล่า?" แค่นี้การตัดสินใจของคุณก็กลายเป็นเรื่องง่ายแล้ว
แม้จะยังไม่มีคำยืนยันแน่นอน แต่การคำพูดล่าสุดของ อาซาร์ ก็เหมือนกับว่าเป็นคำบอกลากลายๆ
"ใช่ สองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้ตัดสินใจไปแล้ว แต่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผมเพียงคนเดียว" อาซาร์ กล่าว
"ผมได้ทำการตัดสินใจไปแล้ว มันก็เป็นแบบนั้นแหละ"
"ผมต้องการแบบนั้น แต่นั่นยังไม่เกิดขึ้นหรอก ผมยังคงรอคอยเหมือนกับพวกคุณนั่นแหละ และเหมือนว่าแฟนๆ ก็กำลังรออยู่ด้วย"
"เมื่อคุณอยู่ในสนาม คุณต้องพยายามโฟกัสแค่ในสนามกับลูกบอล นั่นแหละ เมื่อผมอยู่ในสนาม ผมก็เพียงแค่พยายามทำมันให้ดีที่สุด"
คาดว่าเกมที่บากู จะเป็นการสวมชุดสีน้ำเงินครั้งสุดท้ายของ เอแด็น
มันจะสมบูรณ์แบบสำหรับ อาซาร์ มาก หากว่าเขาสามารถคว้าถ้วยปิดท้ายกับ เชลซี ได้อีกใบ
และหากเป็นแบบนั้นจริง
คำขอบคุณของสาวกสิงห์บลูส์จะสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน
พาสต้า
