ข่าวร้ายของสเปอร์ส คืออาการบาดเจ็บของ แฮร์รี่ เคน
แมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลสุดท้ายของ หลุยส์ ฟาน กัล ตามหลังสเปอร์ส 14 คะแนน ขณะที่ ฤดูกาลแรกของ โชเซ่ มูรินโญ่ ช่องว่างเพิ่มเป็น 17 คะแนน แต่การมาเจอกันนัดแรกของฤดูกาลนี้ ทั้งสองทีมมีคะแนนเท่ากัน
จุดน่าสนใจคือการวางหมากของ มูรินโญ่ ในเกมนี้จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าเขามองสเปอร์สในสถานะใด เป็นเพียง "ก็แค่...สเปอร์ส" อย่างที่เด็กผีเคยปรามาสหลายครั้งในอดีต หรือ "ทีมที่ดีกว่า" จากผลงานสะท้อนชัดเจนใน 2 ฤดูกาลหลังและอาจนำมาซึ่งแท็กติกรถบัสหวังผลลัพท์มากว่าสิ่งใด
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวล่าสุดในแคมป์ไก่ปรากฎข่าวดีของผีแดงเมื่อดาวยิงตัวฉกาจ แฮร์รี่ เคน เจ็บกล้ามเนื้อตรงขาด้านหลัง ไม่สามารถลงสนามได้ และถ้าเป็นเช่นนี้เราคงคาดหวังได้ว่า มูรินโญ่ คงสั่งเปิดเกมรุกเต็มสูบ ไม่ต้องให้ทีมเยือนได้โงหัว
แต่ความรู้สึกลึกๆ กลับบอกว่า กุนซือโปรตุกีสอาจมาเหนือเมฆอีกครั้งในเกมที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
2. เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด
เจอร์เก้น คล็อปป์ จะได้ดวลกับเพื่อนรัก เดวิด ว้ากเนอร์
กวาดสายตาทั่วเกาะอังกฤษ ไม่มีใครรู้จักมักคุ้น เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือลิเวอร์พูล มากไปกว่า เดวิด ว้ากเนอร์ นายใหญ่ฮัดเดอร์สฟิลด์อีกแล้ว
ทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนร่วมทีมกันที่ ไมนซ์ ก่อนร่วมงานกันอีกครั้งในฐานะเทรนเนอร์ที่โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ โดย คล็อปป์ กุมบังเหียนชุดใหญ่ ขณะที่ ว้ากเนอร์ ซึ่งอายุน้อยกว่า 4 ปี ดูแลชุดสมัครเล่น
เท่านั้นไม่พอ ว้ากเนอร์ ยังคงรับบทเพื่อนเจ้าบ่าวในวันที่นายใหญ่หงส์แดงเข้าพิธีวิวาห์ และในวันที่ ว้ากเนอร์ พาฮัดเดอร์สฟิลด์เลื่อนชั้นได้สำเร็จ คล็อปป์ ถึงกับกลั้นน้ำแห่งความดีใจไม่อยู่ในความสำเร็จของเพื่อนรัก และในวันเสาร์นี้ ทั้งสองจะได้เผชิญหน้ากันในฐานะคู่แข่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่โยกมาทำงานที่อังกฤษ
ความรู้สึกของแฟนบอลฮัดเดอร์สฟิลด์ตลอด 2 ปีหลังคือ เดวิด ว้ากเนอร์ "เจ๋งกว่า" เจอร์เก้น คล็อปป์ เพราะเข้ามายกระดับทีมเล็กๆ จากยอร์กเชียร์ให้ก้าวกระโดดได้ไกลกว่าสิ่งที่กุนซือหงส์แดงทำที่แอนฟิลด์
ผลงานนัดล่าสุดของฮัดเดอร์สฟิลด์ที่ยัดเยียดความปราชัยนัดแรกให้แมนฯ ยูไนเต็ด ทำให้กุนซืออย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ ถึงกับก้มหน้ายอมรับในความมุ่งมั่นและทัศนคติที่ผีแดงต้องสยบ
ในขณะที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังปวดหัวกับปัญหาเกมรับที่แก้ไม่ตก เพื่อนซี้จากเยอรมันสามารถจัดการหลังบ้านฮัดเดอร์สฟิลด์ได้ยืดหยุ่นมากกว่ากับขุมกำลังที่มี
3. การเอาตัวรอดของเชลซีในช่วงไร้ ก็องเต้
เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กลับมาซ้อมแล้ว แต่ยังไม่พร้อมช่วยทีมสุดสัปดาห์นี้
ปัญหาใหญ่สุดของ เลสเตอร์ ซิตี้ ยุค เคลาดิโอ รานิเอรี่ พบเจอในฤดูกาลป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกคือ การหาตัวแทนเพื่ออุดช่องว่างของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่ย้ายสู่เชลซี และตอนนี้เป็นสิงห์บลูส์ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายดังกล่าว
อาการบาดเจ็บของกองกลางร่างเล็กที่โชคร้ายเดี้ยงมาจากเกมทีมชาติเมื่อต้นเดือนที่แล้ว และอาจต้องรออีก 2 สัปดาห์กว่าจะกลับมาลงสนามได้ ทำให้เชลซีเสียไปถึง 8 ประตูจาก 4 นัดหลังสุด
แนวรุกของทีมต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อ "กลบ" ปัญหาในเกมรับ และในวันเสาร์นี้ที่ต้องเจอบอร์นมัธ อันโตนิโอ คอนเต้ ก็หวังจะเก็บคลีนชีตให้ได้เป็นนัดแรกในรอบ 7 นัด ขณะที่ ตีเอมูเอ้ บากาโยโก้ กับ เชส ฟาเบรกาส คงต้องเล่นอย่างรัดกุมอย่างที่สุด ขณะที่ แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ ซึ่งเพิ่งได้ลงสนามในเกมบอลถ้วยกลางสัปดาห์อาจเป็นอีกทางเลือก
4. เรือล่าสถิติ
เรือใบสีฟ้ามีโอกาสโกยหนีคู่แข่งพร้อมทำสถิติขึ้นมาใหม่
แมนฯ ซิตี้ กำลังจะกลายเป็นทีมที่ออกตัวได้แรงที่สุดตลอดกาลในพรีเมียร์ลีกหากเก็บชัยชนะได้เหนือเวสต์บรอมวิชในวันเสาร์นี้
ตอนนี้ เรือใบสีฟ้า ชนะ 8 เสมอ 1 นัด จาก 9 นัดแรก สถิติตอนนี้ยังเป็นรองเชลซีฤดูกาล 2005/06 ยุค โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ชนะ 9 นัดรวดก่อนสะดุดในนัด 10 หลังโดนเอฟเวอร์ตันยันเสมอ 1-1
นั่นหมายความว่าหาก แมนฯ ซิตี้ บุกชนะที่เดอะ ฮอร์ธอร์นส์ได้ สถิติจะเป็นชนะ 9 นัด เสมอ 1 พร้อมประตูได้-เสียที่เหนือกว่าสิงห์บลูส์ทศวรรษก่อน
แต่กระนั้นการเจอกับเดอะ แบ็กกี้ส์ อาจไม่ใช่งานง่ายเสียทีเดียวเพราะครั้งล่าสุดที่ดวลกัน เป๊ป ถึงขนาดบอกว่าเป็นไปได้ยากที่จะป้องกันลูกตั้งเตะของ โทนี่ พูลิส ที่มาทุกทิศทางและอันตรายมากกว่าโอเพ่นเพลย์หลายเท่า
นี่จะเป็นบดทดสอบของเรือใบสีฟ้า แต่หากผ่านได้แถมผลที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดเป็นใจลงเอยด้วยการเสมอ ช่องว่างจะขยายเป็น 7 คะแนน
ถึงตรงนั้น ทุกคนคงยอมรับว่าฤดูกาลนี้คือฤดูกาลของทีมสีฟ้าจากแมนเชสเตอร์
