ไม่ใช่มองข้าม "ลูกเมียน้อย" อย่าง ยูโรปา ลีก ระหว่าง อาร์เซน่อล กับ เชลซี ไป เพราะถ้วยเล็กของยุโรปก็ถือเป็นคู่ที่น่าติดตามไม่แพ้กัน 

ไม่ว่าท้ายที่สุดแล้วระหว่าง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ หรือ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะได้คว้าแชมป์ไปครอง ก็ถือว่าเป็นโทรฟี่ใบแรกกับต้นสังกัดด้วยกันทั้งคู่

นายใหญ่ของทาง "ไก่เดือยทอง" คุมทีมมาตั้งแต่ปี 2014 แม้ว่าจะยกระดับให้ สเปอร์ส ก้าวขึ้นแทรกตัวเป็น "ท็อปโฟร์" ด้วยการพาทีมลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอย่างต่อเนื่อง แต่ผลงานใกล้เคียงกับการมีแชมป์มากที่สุดก็คือปีแรกของการคุมทีมที่พาสโมสรทะลุเข้าชิงชนะเลิศลีก คัพ แต่ไปพ่ายให้กับ เชลซี 0-2

ส่วนทางกุนซือ "หงส์แดง" อยู่กับทีมมาตั้งแต่ปี 2015 พาทีมเข้าชิงแชมป์ถึง 3 รายการทั้งในลีก คัพ และ ยูโรปา ลีก ในปี 2016 รวมถึง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่สุดท้ายลงเอยด้วยการเป็นพระรองทั้งหมด

แต่เทรนเนอร์ชาวเยอรมันก็ทำให้ ลิเวอร์พูล ดีขึ้นอย่างชัดเจนทั้งเกมรุกที่จัดจ้านและเกมรับที่เหนียวแน่น ก้าวขึ้นมาเป็นทีมระดับหัวแถวของยุโรปอย่างเต็มภาคภูมิ

ทั้งสองคนต่างมีฝีไม้ลายมือไม่ธรรมดาในการยกระดับต้นสังกัดให้แข็งแกร่งขึ้นมาจนเป็นที่ยอมรับ ถึงตอนนี้ได้วัดกันแล้วว่าใครคว้ามีโทรฟี่กับสโมสรได้ก่อน คืนวันที่ 1 มิถุนายน จะได้รู้กัน

- ทั้งสองทีมพลิกสถานการณ์จากที่แพ้มาก่อนในเกมแรกในรอบรองชนะเลิศ โดย ลิเวอร์พูล ถล่ม บาร์เซโลน่า 4-0 ที่แอนฟิลด์ หลังโดนอัด 0-3 ในเกมแรก เอาชนะไปด้วยสกอร์รวม 4-3 ขณะที่ สเปอร์ส แพ้คารังให้ อาแจ็กซ์ ก่อน 0-1 แถมเกมที่สองยังตามหลัง 0-2 แต่ยิงสามประตูรวดเอาชนะ 3-2 รวมผลสองเกมเสมอ 3-3 แต่เข้ารอบด้วยกฎประตูทีมเยือน

- ลิเวอร์พูล มองหาแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรปเป็นสมัยที่ 6 ของสโมสร โดยหนล่าสุดที่ได้แชมป์คือการพลิกโค่น เอซี มิลาน เมื่อปี 2005 ขณะที่ทาง สเปอร์ส เข้าชิงแชมป์รายการนี้เป็นครั้งแรกของสโมสร, โดยก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเข้าถึงรอบตัดเชือกเมื่อปี 1961/62 สมัยที่ยังเป็นยูโรเปี้ยน คัพ ส่วนในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สถิติดีที่สุดคือรอบ 8 ทีมสุดท้ายในปี 2010/11

- สโมสรจากชาติเดียวกันเจอกันในรอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีกมาแล้ว 6 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 2000, โดย เรอัล มาดริด เอาชนะคู่แข่งจากสเปนได้ทั้งสามหนในปี 2000 (บาเลนเซีย), 2014 และ 2016 (แอตเลติโก มาดริด) ขณะที่ เอซี มิลาน ชนะ ยูเวนตุส ในการดวลจุดโทษในปี 2003 อีกคู่ บาเยิร์น มิวนิค ชนะ ดอร์ทมุนด์ ในปี 2013

- อีกครั้งหนึ่งเป็นการเจอกันของสองสโมสรจากอังกฤษที่มอสโกในปี 2008 โดยเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอาชนะ เชลซี ในการดวลจุดโทษ 6-5 หลังเสมอในเวลา 1-1

- สเปอร์ส นับเป็นสโมสรที่ 8 ของอังกฤษที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศถ้วยใหญ่ของยุโรป, มากกว่าทุกชาติในยุโรป โดยชาติจากเยอรมันและอิตาลีตามมาเป็นอันดับสองที่ 6 ทีม

- ครั้งนี้ถือเป็นการชิงชนะเลิศในศึกยูโรเปี้ยน คัพ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่จัดขึ้นที่เมืองมาดริด โดยก่อนหน้านี้จัดขึ้นในปี 1957, 1969, 1980 และ 2010 - โดยทั้ง 4 ครั้งจัดที่ซานติอาโก้ เบร์นาเบว - ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 8 ที่เกมชิงแชมป์มีขึ้นที่แดนกระทิง

- ลิเวอร์พูล พบกับ สเปอร์ส มาแล้วทั้งสิ้น 170 เกมรวมทุกรายการ โดย "หงส์แดง" ทำได้ดีกว่าด้วยการชนะ 79 เสมอ 43 แพ้ 48

- ทั้งสองทีมเคยเจอกันมาหนเดียวในบอลยุโรป เกิดขึ้นในศึกยูฟ่า คัพรอบรองชนะเลิศปี 1972/73 โดย ลิเวอร์พูล เปิดบ้านชนะก่อน 1-0 ก่อนไปแพ้ 1-2 เข้ารอบชิงชนะเลิศด้วยกฎประตูทีมเยือน ก่อนเข้าไปชนะ มึนเช่นกลัดบัค 3-2 ด้วยสกอร์รวมสองเกม คว้าแชมป์ไปครอง

- ลิเวอร์พูล แพ้แค่เกมเดียวจาก 14 เกมหลังที่พบกับ สเปอร์ส ย้อนไปเมื่อปี 2013 โดยชนะ 9 เกม

- "หงส์แดง" เก็บชัยชนะเหนือ "ไก่เดือยทอง" ด้วยสกอร์ 2-1 ทั้งสองเกมที่พบกันในลีกฤดูกาลนี้

- นับเฉพาะในเกมชิงชนะเลิศบอลถ้วยทั้งคู่พบกันมาหนึ่งครั้งในเกมลีก คัพปี 1982 โดย ลิเวอร์พูล ที่ตามหลังก่อนพลิกกลับมาเอาชนะไปได้ 3-1 คว้าแชมป์ไปครอง

- สเปอร์ส ถือเป็นสโมสรที่ 40 ที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศถ้วยใหญ่ของยุโรป, และเป็นทีมหน้าใหม่ที่เข้าชิงนับตั้งแต่ เชลซี ในปี 2008

- สเปอร์ส มีโอกาสเป็นทีมที่ 23 ที่คว้าถ้วยยุโรปไปครอง และเป็นทีมใหม่ต่อจาก เชลซี ที่ได้ถ้วยแชมป์ครั้งแรกเมื่อปี 2012

- นี่เป็นการเข้าชิงในบอลยุโรปครั้งที่ 5 ของ สเปอร์ส, และเป็นครั้งที่สองในการเจอกับคู่แข่งจากชาติเดียวกัน โดยครั้งแรกพวกเขาชนะ วูล์ฟส์ ด้วนสกอร์รวม 3-2 ในเกมยูฟ่า คัพเมื่อปี 1971/72 (เยือนชนะ 2-1, เหย้า เสมอ 1-1)

- ไก่เดือยทอง ถือเป็นสโมสรแรกจากอังกฤษที่ได้แชมป์ในเวทียุโรป โดยในศึกยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ เมื่อปี 1962/63 ทีมถล่ม แอตเลติโก มาดริด 5-1

- สเปอร์ส มีโอกาสเป็นสโมสรที่ 6 ต่อจาก ยูเวนตุส, อาแจ็กซ์, บาเยิร์น มิวนิค, เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เคยได้แชมป์เมเจอร์ของยุโรปครบทั้งสามรายการ

- โทบี้ อัลเดอร์แวเรลด์ เป็นหนึ่งในขุนพลของ แอตเลติโก มาดริด ชุดพ่าย เรอัล มาดริด 1-4 ในเกมชิงยูฟ่า แชมเปี้ยน์ ลีกเมื่อปี 2014

- เฟร์นานโด ยอเรนเต้ เป็นหนึ่งในนักเตะของ ยูเวนตุส ที่แพ้ให้กับ บาร์เซโลน่า 1-3 ในเกมชิงยูฟ่า แชมเปี้ยน์ ลีกเมื่อปี 2015

- ดาวิซอน ซานเชซ ลงเล่น 90 นาทีให้กับ อาแจ็กซ์ ในเกมยูโรปา ลีกรอบชิงชนะเลิศที่ทีมพ่ายแพ้ให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2017

- ลิเวอร์พูล ชนะ 5 จาก 8 เกมที่เข้าชิงชนะเลิศถ้วยยูโรเปี้ยน คัพ/ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

- นี่ถือเป็นหนที่สามของ ลิเวอร์พูล ที่เข้าชิงชนะเลิศรายการนี้ได้สองปีติด (1977, 1978  และ 1984, 1985)

- หงส์แดงเข้าชิงชนะเลิศในฟุตบอลยุโรปมาแล้วทั้งหมด 20 ครั้ง โดยชนะได้ 11 หน แบ่งเป็นยูโรเปี้ยน คัพ/ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 5 ครั้ง, ยูฟ่า คัพ/ยูโรปา ลีก 3 ครั้ง และยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 3 ครั้ง

- ซาดิโอ มาเน่ ที่ยิงประตูใส่ เรอัล มาดริด ในเกมชองชนะเลิศเมื่อปีที่แล้ว มีโอกาสเป็นนักเตะคนที่ 8 ที่ยิงประตูได้ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกรอบชิงชนะเลิศมากกว่าหนึ่งลูกต่อจาก แกเร็ธ เบล, ซามูเอล เอโต้, ลิโอเนล เมสซี่, เซร์คิโอ รามอส, ราอูล กอนซาเลซ, มาริโอ มานด์ซูคิช และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้

- สเปอร์ส เสมอ 2 แพ้ 1 จากสามเกมที่มาเล่นที่เมืองมาดริด โดยทั้งหมดเป็นการพบกับ เรอัล มาดริด

- สเปอร์ส ไม่เคยชนะเลยในการมาเล่นที่แผ่นดินสเปน โดยเสมอ 3 แพ้ 3 หนล่าสุดคือการบุกมาเสมอกับ บาร์เซโลน่า 1-1 ในฤดูกาลนี้

- ไก่เดือยทองเป็นทีมที่สองเท่านั้นที่พลิกสถานการณ์จากที่แพ้ในเกมแรกในรอบรองชนะเลิศในบ้านแล้วผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ (แพ้ 0-1 ในบ้าน, ชนะ 3-2 เกมเยือนในการพบกับ อาแจ็กซ์)

- ทีมของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ มีสถิติลงเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาลนี้คือชนะ 6 เสมอ 2 แพ้ 4

-  สเปอร์ส ชนะ 4 จาก 8 เกมที่เจอกับสโมสรชาติเดียวกัน (เสมอ 1 แพ้ 3) โดยการเจอกับ แมนฯ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่เจอกับสโมสรผู้ดีในรอบ 46 ปีนับตั้งแต่เจอ ลิเวอร์พูล ในรอบรองชนะเลิศยูฟ่า คัพเมื่อปี 1973

- สเปอร์ส มีสถิติดวลจุดโทษในเกมยุโรปที่ชนะ 1 แพ้ 2 (ชนะ อันเดอร์เลช 4-3 ในเกมชิงยูฟ่า คัพ 1983/84, แพ้ พีเอสวี 5-6 ในเกมยูฟ่า คัพ รอบ 16 ทีมปี 2007/08 และ แพ้ บาเซิ่ล 1-4 ในยูโรปา ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศปี 2012/13)

- ลิเวอร์พูล มีสถิติลงสนามที่มาดริดโดยชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 2 โดยความพ่ายแพ้ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นในสองหนหลังที่มาเยือนที่นี่ โดยเยือน เรอัล มาดริด ในแชมเปี้ยนส์ ลีกรอบแบ่งกลุ่มปี 2014/15 และเยือน แอตเลติโก มาดริด ในยูโรปาลีก รอบรองชนะเลิศ จบลงด้วยความพ่ายแพ้ที่สกอร์ 0-1 ทั้งสองเกม

- ความพ่ายแพ้ในการมาเยือน บาร์เซโลน่า ในรอบรองชนะเลิศ ทำให้ "หงส์แดง" แพ้ 4 จาก 5 เกมหลังที่มาเยือนสเปน โดยมีสถิติที่ชนะ 7 เสมอ 5 แพ้ 6 

- ลิเวอร์พูล ไม่แพ้เลยใน 5 เกมหลังที่พบกับทีมจากอังกฤษในบอลยุโรป แต่ก็ชนะแค่ 7 จาก 20 เกมหลัง (เสมอ 8 แพ้ 5)

- ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ถือเป็นสโมสรที่สามที่พลิกสถานการณ์จากที่แพ้ก่อน 0-3 ในเกมแรกของรอบตัดเชือกแล้วผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ

- ลิเวอร์พูล แพ้ 6 จาก 14 เกมหลังในบอลยุโรป, ซึ่งความพ่ายแพ้ทั้งหมดเกิดขึ้นในการเล่นนอกแผ่นดินอังกฤษ

- ลิเวอร์พูล มีสถิติยิงจุดโทษในเกมยุโรปอยู่ที่ชนะ 3 แพ้ 1 (ชนะ โรม่า 4-2 ในเกมชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพในปี 1983/84, ชนะ เอซี มิลาน 3-2 ในเกมชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในปี 2004/05, ชนะ เชลซี 4-1 ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกรอบรองชนะเลิศในปี 2006/07 และแพ้ เบซิคตัส 4-5 ในเกมยูโรปา ลีก รอบ 32 ทีมสุดท้ายในปี 2014/15)

- โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิงประตูได้ในเกมเลกที่สองสมัยค้าแข้งกับ บาเซิ่ล ที่เจอกับ สเปอร์ส ในเกมยูโรปา ลีกรอบก่อนรองชนะเลิศในปี 2012/13 รวมถึงยิงประตูให้กับ ฟิออเรนติน่า ในเกมเจอ สเปอร์ส ในรอบ 32 ทีมยูโรปา ลีกเมื่อปี 2016/17 ด้วย

- ฟาบินโญ่ อยู่ในทีม โมนาโก ที่บุกเอาชน สเปอร์ส ทั้งเหย้า-เยือนในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกรอบแบ่งกลุ่มเมื่อปี 2016/17

- อูโก้ โยริส อยู่ในทีม ลียง ที่เจอกับ ลิเวอร์พูล ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกรอบแบ่งกลุ่มในปี 2009/10 โดยไม่แพ้ทั้งสองเกม (บุกชนะ 2-1 และเสมอ 1-1 ในบ้าน)

- เฟร์นานโด ยอเรนเต้ ยิงสองประตูให้ สวอนซี เอาชนะ ลิเวอร์พูล 3-2 ในเกมพรีเมียร์ลีก เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2017

- เดยัน ลอฟเรน อยู่ในทีมดินาโม ซาเกร็บ ชุดที่พ่ายให้กับ สเปอร์ส 0-4 ในเกมยูฟ่า คัพ รอบแบ่งกลุ่มเมื่อปี 2008/09