:::     :::

ใช้โอกาสเปลือง...แล้วไง

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม 2562 คอลัมน์ ในกะลาครอบ โดย พาสต้า
1,645
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เราเคยเข้าใจว่ากองหน้าที่เก่งกาจ ยิงประตูระดับดาวซัลโวต้องมีความเป็นเพชรฆาต เฉียบคม ใช้โอกาสไม่เปลือง

    แต่ ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมย็อง กองหน้าจากค่าย อาร์เซน่อล ทำให้ความคิดเหล่านั้นแตกต่างออกไป

    ดาวซัลโวจากแคมป์ปืนใหญ่มีสถิติที่น่าสนใจสองอย่าง

    ประการแรก ไม่มีนักเตะคนไหนในพรีเมียร์ลีกที่พลาดโอกาสทอง หรือก็คือ 'big chances' มากกว่าเขาคนนี้ตลอดทั้งซีซั่น 2018-19

    และที่สำคัญกว่านั้นก็คือไม่มีนักเตะคนไหนในพรีเมียร์ลีกที่ทำประตูได้มากกว่าเขาตลอดทั้งซีซั่น 2018-19 เช่นกัน

    ฟังดูมันย้อนแย้งชอบกล...แต่นั่นดันคือเรื่องจริง

    จะบอกว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่มันเป็นแบบนี้มาตลอดเส้นทางอาชีพของเขาอยู่แล้ว หรือจะให้เปรียบเทียบก็ราวกับหมาล่าเนื้อที่พร้อมใช้ความเร็วพุ่งเข้าหาเหยื่อ แต่กว่าจะได้เหยื่อแต่ละตัวก็สิ้นเปลืองพลังงานไปพอสมควรเลย

    หลังจากย้ายไปร่วมทัพ แซงต์-เอเตียน แบบสัญญาถาวรในปี 2011 เขาสร้างความสุขให้กับแฟนๆ ด้วยการพลาดโอกาสทองแบบเป็นที่จดจำหนึ่งครั้ง เพื่อทำประตูได้ในหนถัดไป

    มันเป็นแบบนี้มาตลอดจนกระทั่งย้ายไปยังทีมสร้างชื่ออย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

    แม้เขาจะพลาดโอกาสงามๆ สักกี่ครั้ง และแฟนบอลก็พร้อมจะลืมมันแบบหมดใจอยู่เสมอเมื่อมองถึงสถิติอันสวยหรูยิง 141 ประตู จากการลงเล่นเพียง 213 เกม

    สาวกเดอะ กันเนอร์ส เองก็คงยังจำกันได้สำหรับการพลาดโอกาสใส่สกอร์แบบน่าเขกกบาลในนัดพบ เชลซี เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาจนขนาดที่เพื่อนร่วมทีมอย่าง มัตเตโอ เกนดูซี่ ซึ่งยืนลุ้นอยู่ทรุดลงไปกองกับพื้นกลางสนามประมาณว่า 'มึงพลาดได้ยังไง'

    ดังนั้น หากเราจะบอกว่า โอบาเมย็อง เป็นกองหน้าที่ใช้โอกาสเปลืองก็คงไม่ผิดอะไร

    แต่สำหรับตัวเขา มันสำคัญเหรอ

    ???

    ก็ไม่ใช่เลยซะทีเดียวหรอก

    บรรดาดาวยิงชั้นยอดในอดีตที่ผ่านมาอาทิเช่น อลัน เชียร์เรอร์, แกรี่ ลินิเกอร์ หรือคนอื่นๆ เคยบอกเอาไว้ว่าการที่คุณจะเป็นกองหน้า คุณต้องไม่สะทกสะท้าน หรือใส่ใจกับการพลาดโอกาสทอง

    พวกเขาแนะนำให้บรรดากองหน้าทุกคนโยนสิ่งเหล่านั้นออกไปจากใจ และก็แค่พังสกอร์ในโอกาสต่อไป ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ โอบาเมย็อง ทำมาอยู่เสมอ

    และเขาเองก็ไม่ใช่คนเดียวในโลกลูกหนังที่มีลักษณะในเชิงนี้

    หากพูดชื่อของ แอนดี้ โคล เราจะรู้กันดีว่าเขาคือดาวยิงที่ใช้โอกาสเปลืองแค่ไหน แต่ตามสถิติก็มีเพียงแค่ เวย์น รูนี่ย์ และ เชียร์เรอร์ เท่านั้นนะที่ทำประตูในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกได้มากกว่าเขา

    จะให้เห็นภาพชัดก็ต้องคนนี้เลย เอดินสัน คาวานี่ ซึ่งถูกวิจารณ์เป็นมุมกว้างถึงการขาดสัญชาตญาณนักล่าในตัว

    แต่ดาวยิงอุรุกวัยก็ทำประตูได้ไม่ต่ำกว่า 25 ลูก (รวมทุกรายการ) ในแต่ละปีมาตลอด 8 ซีซั่นติดต่อกันแล้ว ซึ่งนั่นเป็นจำนวนที่น่าทึ่งมาก

    สิ่งนี้อาจจะบอกว่าการพลาดโอกาสทองต่างๆ นั้นเป็นเรื่องเล็กมากหากเทียบกับการไม่มีโอกาสทำอะไรเลย

    เหตุผลที่ฟอร์มของ เฟร์นานโด ตอร์เรส กับ เชลซี เป็นเช่นนี้ก็น่าจะมาจากการขาดความมั่นใจ ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะพลาดจังหวะนาทีทองเหมือนกับกองหน้าคนอื่นๆ ที่เราได้ยกมา

    จุดเด่นที่สุดของ โอบาเมย็อง ก็คือความเชื่อมั่นในตัวเองที่ค่อนข้างสูง ประมาณว่า 'กูจะพลาดอีกกี่ครั้งก็ช่างแม่มมัน' อะไรแบบนี้

    เขาอาจจะมีผิดพลาดเยอะ แต่เขาก็ไม่ได้ผิดพลาดจากโอกาสที่คนอื่นป้อนมาให้เลยซะทีเดียว เขาสามารถสร้างสรรค์โอกาสให้ตัวเองไม่ว่าจะด้วยจากความเร็วที่ไม่มีใครเทียบได้ การเคลื่อนที่อย่างชาญฉลาด หรือจะเป็นการตอบสนองที่ว่องไว นั่นคือความหิวกระหายที่เขาต้องการจะทำประตูอยู่เสมอ

    ย้อนกลับไปฤดูกาลที่แล้ว โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็ทำลายสถิติยิงประตูมากที่สุดสำหรับการแข่งขันพรีเมียร์ลีกแบบ 38 นัด

    และเขาก็มีสถิติพลาดโอกาสทองมากที่สุดในลีกสูงสุดเมืองผู้ดีซีซั่นนั้นด้วย

    เซร์คิโอ อเกวโร่ ประสบความสำเร็จเป็นสองเท่าจากเดิมในปี 2014-15

    ประเด็นก็คือ ฤดูกาลนั้น เขาก็เป็นคนที่มักจะพลาดโอกาสทองอยู่บ่อยๆ ด้วย นั่นหมายความว่าบางครั้งตัวบ่งชี้สำหรับการเป็นกองหน้าชั้นยอดนั้นอาจพิจารณาจากโอกาสพังประตู ซึ่งยิ่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีกว่าเท่านั้น

    เราอาจนึกคิดว่าดาวยิงชั้นยอดจำเป็นต้องเปลี่ยนโอกาสหนึ่งครั้งให้เป็นหนึ่งประตูให้ได้

    แต่เราจะชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของเหล่านักล่าสังหารจำพวกที่ว่ามาว่าบางทีเราอาจต้องพิจารณาคำจำกัดความในแบบอื่นด้วยเช่นกัน

    และหากวัดในเรื่องของอัตราการลงสนาม หรือจำนวนนาทีที่อยู่บนฟลอร์หญ้า แน่นอน โอบาเมย็อง คือผู้ชนะเลิศของตำแหน่งดาวยิงสูงสุดประจำพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่เพิ่งจบไปอย่างไม่ต้องสงสัย

    ดาวเตะวัย 29 ปีได้เป็นตัวจริงในเกมลีกไป 30 นัด ซึ่งเทียบกับของ ซาดิโอ มาเน่ นั้นออกสตาร์ท 35 นัด และ ซาลาห์ ก็ 11 คนแรก 37 นัด

    เทียบจำนวนนาที โอบาเมย็อง เล่นไป 2,733 นาทีในลีกฤดูกาลนี้ ซึ่งน้อยกว่า มาเน่ ตั้ง 353 นาที และน้อยกว่า ซาลาห์ ถึง 529 นาที

    ขณะเดียวกัน เมื่อวัดค่าเฉลี่ยจำนวนประตูต่อนาที ดาวซัลโวจากค่ายปืนใหญ่ก็มีเรตที่เหนือกว่า

    โอบาเมย็อง 124.2 นาทีต่อหนึ่งประตู

    มาเน่ 140.3 นาทีต่อหนึ่งประตู

    ซาลาห์ 148.3 นาทีต่อหนึ่งประตู

    แถมมองไปยังทีมแล้ว ดาวเตะกาบองก็อยู่ในทีมที่มีเกมรุกแย่กว่าอีกด้วย

    ลิเวอร์พูล จบฤดูกาลด้วยการมีคะแนนมากกว่า อาร์เซน่อล อยู่ 27 แต้ม แถมยิงได้ตั้ง 89 ลูก หันมองมาฝั่งกันเนอร์สมีเพียง 73 ประตูเท่านั้น

    ดังนั้น หากจะบอกว่า โอบาเมย็อง สมควรได้รับเครดิตมากกว่าทั้ง มาเน่ และ ซาลาห์ ที่มีสภาวะแวดล้อมกับทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ดีกว่าก็คงไม่ใช่เรื่องคุยโม้โอ้อวดจนเกินไป

    นอกจากนี้ บางทีเขาก็ไม่ได้ลงเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าด้วย มีหลายเกมทีเดียวที่ต้องถูกถ่างออกไปยืนริมเส้นเพื่อเปิดโอกาสให้ อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ ได้รับบทบาทดังกล่าวแทน

    หากพูดถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย เราก็ไม่ควรลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเอมิเรตส์ เมื่อแฟนบอลต่ำช้าบางคนของ สเปอร์ส ขว้างกล้วยซึ่งหมายถึงการ 'เหยียดผิว' ลงมาใส่ โอบาเมย็อง

    ปฏิกิริยาตอบโต้ของเขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงการควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อย่างน่าทึ่ง

    ดังนั้น กับการเล่นพรีเมียร์ลีกแบบเต็มเม็ดซีซั่นแรกของ โอบาเมย็อง ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

    และแม้เขาจะใช้โอกาสทองสิ้นเปลืองไปมากเท่าไหร่

    เขาก็พร้อมจะระเบิดตาข่ายคืนได้มากเท่านั้น

    พาสต้า


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด