:::     :::

อาถรรพ์ของคล็อปป์ ?

วันพุธที่ 29 พฤษภาคม 2562 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
7,630
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำทีมแพ้ในรอบชิงชนะเลิศมา 6 ครั้งติดแล้วนะครับ แต่ครั้งนี้มันต่างกัน.... ต่างกันตรงไหน ? ลองมาดูกันครับ

          อีกไม่กี่วันก็จะถึงเกมนัดสุดท้าย และเป็นนัดที่สำคัญที่สุดของลิเวอร์พูในฤดูกาลนี้แล้วนะครับ การเจอกันในรอบชิงชนะเลิศของแชมเปี้ยนลีกส์กับสเปอร์นี้ ผลการแข่งขัดของมันจะเป็นตัวบ่งบอกอะไรหลายๆ อย่างกับสิ่งที่ลิเวอร์พูลทำในฤดูกาลกาลนี้และส่งผลไปถึงฤดูกาลหน้าเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ลิเวอร์พูลจะดูเป็นต่อในนัดชิงนี้ก็ตาม แต่ว่าแฟนๆ ลิเวอร์พูลทั้งหลายก็น่าจะอดห่วงไม่ได้เกี่ยวกับ”อาถรรพ์นัดชิง” ของเจอร์เก้น คล็อปป์ที่ว่าไว้นี่แหละครับ



อาถรรพ์นัดชิงของคล็อปป์ ?
   

          ที่ผ่านมาการพ่ายแพ้ของเจอร์เก้น คล็อปในนัดชิงนั่นมีด้วยกันดังนี้ครับ

   
              ปี 2013 คุม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แพ้ บาเยิร์น มิวนิค 1-2 พลาดแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

              ปี 2014 คุม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แพ้ต่อเวลา บาเยิร์น มิวนิค 0-2 พลาดแชมป์เดเอฟเบ โพคาล 

              ปี 2015 คุม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แพ้ โวลฟ์สบวร์ก 1-3 พลาดแชมป์เดเอฟเบ โพคาล

              ปี 2016 คุม ลิเวอร์พูล แพ้ จุดโทษ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-3 พลาดแชมป์แคปิตอล วัน คัพ                                             

              ปี 2016 คุม ลิเวอร์พูล แพ้ เซบีญ่า 1-3 พลาดแชมป์ยูโรป้า ลีก

              ปี 2018 คุม ลิเวอร์พูล แพ้ เรอัล มาดริด 1-3 พลาดแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก    
                                                                                              


          คุณเห็นอะไรในความพ่ายแพ้ของเจอร์เก้น คล็อปป์ไหมครับ  สิ่งที่ผมมองเห็นคือ มันไม่ใช่อาถรรพ์อะไรเลยครับ แต่กลับกัน มันคือความยอดเยี่ยมของเจอร์เก้น คล็อปต่างหาก ถ้าเราสังเกตกันดีๆ ทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ที่เข้าชิงชนะเลิศในฟุตบอลถ้วยทั้งหมดเขาอยู่ในสถานะ “ทีมรอง” แทบจะทั้งหมดเลยครับ หรือจะพูดง่ายๆ ว่าจริงๆ ทีมของคล็อปป์นั้นไม่ได้มีศักยภาพที่จะมาถึงนัดชิงเสียด้วยซ้ำ แต่ความยอดเยี่ยมของเขานั่นเองที่ทำให้ทีมของเขาทะลุเข้าชิงแบบเซอร์ไพรซ์แทบจะทุกครั้งที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้

          เริ่มจากปี 2013 , 2014 ที่คู่แข่งเป็นบาเยิร์น มิวนิค ซึ่งไม่ต้องบอกก็น่าจะพอรู้กันครับ ว่ายังไงบาเยิร์นก็เป็นต่ออยู่แล้ว  ต่อด้วยปี 2016 ที่เขาเข้ามาคุมลิเวอร์พูลเป็นปีแรก แต่พาทีมเข้าชิงถึง 2 รายการกับแมนฯซิตี้ ที่ไม่ต้องบรรยายอะไรมาก ก็พอจะเดาออกว่าทีมไหนแกร่งกว่ากัน และต่อเนื่องกับทีมเซบีญ่าที่ดูจะสูสีกันหน่อย แต่ยังไงประสบการณ์ของเซบีญ่าในถ้วยนี้ก็ดูจะเป็นต่อลิเวอร์พูลแน่นอน และสุดท้ายก็ต้องมาพ่ายแพ้เพราะความผิดพลาดส่วนบุคคลของผู้เล่น และความเก๋าเกมของเซบีญ่าไปในที่สุด



          และในครั้งล่าสุดกับนัดชิง UCL ปีที่แล้ว ที่ต้องบอกว่า เข้าชิงแบบเป็นรองสุดกู่ทั้งตัวผู้เล่นและประสบการณ์ และสุดท้ายความผิดพลาดส่วนตัว(อีกแล้ว) ก็ทำให้ลิเวอร์พูลพลาดแชมป์ในปีดังกล่าวไป จะมีก็แค่ปี 2015 นั่นแหละครับ ที่ดูจากชื่อชั้นแล้วดอร์ทมุนด์ของคล็อปป์ดูจะเป็นต่อ โวลฟ์สบวร์ก เสียหน่อยแต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ปีนั้นเป็นปีที่ย่ำแย่ของดอร์ทมุนด์เลยครับ พวกเขาเสียดาวยิงคนสำคัญอย่างโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ไปและฟอร์มหลุดจนช่วงหนึ่งถึงกับอยู่ในโซนตกชั้นกันเลย เพราะงั้นความพ่ายแพ้ต่อโวลฟ์บวร์กก็ไม่ใช่เรื่องน่าเซอร์ไพรซ์แต่ประการใดเลย  ซึ่งจะเห็นได้ว่าคล็อปป์นั้นพาทีมที่อาจจะเรียกได้ว่า “ทุลักทุเล” เข้าชิงเกือบทุกครั้งเลยทีเดียว หรือเราอาจจะพูดได้ง่ายกว่านั้นคือ ที่ผ่านมาทีมของคล็อปป์นั้นไม่ใช่ทีมที่ดีที่สุดของเขาที่เขาต้องการเลย แต่เป็นความยอดเยี่ยมของการจัดการ และการกระตุ้นลูกทีมของคล็อปป์เองต่างหากที่ทำให้เขาพาทีมในสภาพดังกล่าวเข้าชิงได้ต่อเนื่องติดๆ กันแบบที่เราเห็นกันมาอย่างชินตานั่นเอง



ครั้งนี้ต่างกัน ?   


          จากที่เขียนไปข้างต้น หลายๆ คนก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากครับว่าทำไมครั้งนี้ผมถึงคิดว่ามันต่างกันไปจากครั้งก่อนๆ เพราะครั้งนี้ลิเวอร์พูลหรือทีมของคล็อปป์อยู่ในฐานะทีมที่ “เป็นต่อ” ครับ และน่าจะเป็นไม่กี่ครั้งทีี่ทีมของเขาอยู่ในสถานะนี้ และความต่างที่สำคัญที่สุดก็คือ ครั้งนี้ทีมของคล็อปป์นั้นเรียกได้ว่า แข็งแกร่งสุดๆ อย่างที่เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า  "นี่คือทีมที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมา ผมไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งในรอบชิงชนะเลิศด้วยทีมที่ดีขนาดนี้มาก่อน" นั่นแหละครับ ซึ่งคำกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องเกินจริง หรือโอ้อวดของคล็อปป์แต่อย่างใด จริงอยู่ที่ทีมนี้พลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกไป แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่าลิเวอร์พูลของเขานั้นทำพลาดอะไรแต่อย่างใด แต่เป็นความยอดเยี่ยมของทีมคู่แข่งอย่าง แมนฯ ซิตี้ต่างหากที่สุดยอดเหลือเกินจนทำให้พวกเขาพลาดการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในรอบ 29 ปีนี้ไป แต่นั่นก็ไม่สามารถลบภาพความจริงที่ว่า ลิเวอร์พูลทีมนี้คือ “ทีมที่ยอดเยี่ยม” ไปได้อย่างแน่นอนครับ ขุมกำลังของพวกเขาแข็งแกร่งในทุกๆ ด้าน  ทุกๆ ตำแหน่ง เลยจริงๆ และสำหรับตัวผมเองที่เป็นแฟนลิเวอร์พูลมานานแสนนาน(ฮา) นี่ก็เป็นลิเวอร์พูลชุดที่ดีที่สุดเท่าที่เคยดูมาเหมือนกันครับ ซึ่งตรงนี้แหละครับ ทีมผมมองว่าครั้งนี้มันแตกต่างกันออกไป และยิ่งเมื่อเทียบทีมนี้ของคล็อปป์กับทีมที่เขาพาเข้าชิงครั้งที่ผ่านๆ มา ก็น่าจะยิ่งเห็นถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจนจริงๆ





เทียบกับปีก่อน


          ปีก่อนลิเวอร์พูลชุดที่ได้เข้าชิงนั้น ถ้าเทียบกับขุมกำลังกับชุดนี้ ยังไงก็ต้องบอกว่า มันช่างแตกต่างกันมากมายเหลือเกินจริงๆ เริ่มจากตำแหน่งผู้รักษาประตู ที่ไม่ว่าคุณจะรักคาริอุสแค่ไหน แต่ยังไงก็หนีความจริงไม่พ้นหรอกครับ ว่าเขาคือ 1 ในสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ลิเวอร์พูลพ่ายแพ้ไปในปีก่อนจริงๆ โดยคล็อปป์นั้นนำเข้าอาลีสซง เบ็คเกอร์เข้ามาแทนที่ และด้วยฝีมือและความยอดเยี่ยมของอาลีสซง ก็ทำให้เห็นถึงความแตกต่างในตำแหน่งนี้ได้อย่างชัดเจนโดยใช้เวลาไม่นานเลยครับ ตำแหน่งผู้รักษาประตูของลิเวอร์พูลที่ดูจะเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน ได้ถูกแก้ไขได้อย่างยอดเยี่ยมจากการมาของพ่อหมีคนนี้นี่เอง  ส่วนในแผงหลังแม้จะเป็นผู้เล่นหน้าเดิมๆ แต่ว่าพวกเขานั้นเล่นด้วยความเข้าขาและรู้ใจกันมากขึ้นกว่าเดิมไปอีกระดับนึงเลย ผลงานในการเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีก เป็นเครื่องยืนยันความแข็งแกร่งของแผงหลังชุดนี้ได้เป็นอย่างดี ในตำแหน่งกองกลางการมาของฟาบินโญ่และเกอิต้าช่วยให้แผงกองกลางของทีมแน่นขึ้นและยกระดับขึ้นไปอีก สองนักเตะผู้มาใหม่นี้ทำให้ทีมมีความหลากหลายและช่วยกระตุ้นนักเตะเก่าอยู่ให้รีดฟอร์มออกมาอย่างเต็มประสิทธิภาพอย่างมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนมากๆ ถ้าเราไม่ลืมกัน ปีที่แล้วแฟนบอลยังบ่นหรือด่านักเตะอย่าง ไวนัลดุม หรือ เฮนโด้กันอยู่ไม่น้อยเลยครับ แต่ปีนี้เสียงบ่นด่าเหล่านั้นได้เปลี่ยนมาเป็นเสียงเชียร์ไปซะแล้ว ในแดนหน้าถึงแม้จะเป็นผู้เล่นชุดเดิมๆ แต่ต้องไม่ลืมว่าปีที่แล้วลิเวอร์พูลเล่นโดยเสียกองหน้าตัวความหวังของทีมอย่าง ซาลาห์ไปครับ แต่ในปีนี้ทั้ง 3 คนน่าจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันตั้งแต่ต้นเลย  และที่สำคัญที่สุดคือขุมกำลังสำรองครับ ในปีก่อนที่ซาลาห์เจ็บต้องถูกเปลี่ยนตัวออกไป ในม้านั่งสำรองนั้นมองไปแล้วก็ถึงขั้นต้องถอนหายใจกันเลยทีเดียว แต่ในปีนี้ต่างออกไปเมื่อพวกเขามีทั้ง ชาคิรี่ , โอริกี้ , แชมเบอร์เลน , ลอฟเรน , โจ โกเมส ฯลฯ ซึ่งดูแล้ว คล็อปป์สามารถหยิบใช้ได้อย่างไม่เคอะเขินอะไรเลยถ้าต้องมีการเปลี่ยนตัวลงไปแทนตัวจริง  เมื่อเทียบกับปีก่อนให้เห็นกันชัดๆ แบบนี้ ต้องบอกว่าลิเวอร์พูลนั้น มาไกลจริงๆ


   
          ลิเวอร์พูลทีมนี้ยอดเยี่ยมและแข็งแกร่งจริงๆ ครับ พวกเขาไล่ทำลายสถิติและเรื่องราวในอดีตมาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง ถ้าอาถรรพ์ของเจอร์เก้น คล็อปป์มีจริง และหวังจะให้มันลบล้างออกไปได้ด้วยทีมไหนซักทีม ก็ต้องเป็นทีมลิเวอร์พูลชุดนี้ของเจอร์เก้น คล็อปป์นี่แหละครับ !
    
    


  




ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด