:::     :::

กว่าจะมี 'ฟานไดค์' ในวันนี้

วันพุธที่ 29 พฤษภาคม 2562 คอลัมน์ ในกะลาครอบ โดย พาสต้า
1,852
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ใครคือกองหลังดีที่สุดในโลกลูกหนังปัจจุบัน

    ???

    จะบอกว่าไม่ได้เข้าข้างตัวเองในฐานะเด็กหงส์แต่อย่างใด ทว่าทุกวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าเขาผู้นั้นก็คือ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์

    ตลอดทั้งฤดูกาลนี้ คุณได้เห็นถึงการป้องกันที่สมบูรณ์แบบจากเขา และนั่นถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของแผงหลัง ลิเวอร์พูล

    โลกที่แสนวุ่นวายนั้นหยุดชะงักลงทันทีที่ลูกบอลโคจรมาเข้าทางปราการหลังดัตช์แมนผู้นี้ท่ามกลางกองเชียร์กว่า 50,000 คนที่แหกปากร้องเพลง Allez, Allez, Allez

    มันคงเป็นเรื่องยากที่เราจะได้จิตนาการว่าดาวเตะวัย 27 ปีจะเด่นดังถึงขนาดคว้ารางวัลบัลลงดอร์ได้ แต่หากวัดกันในเรื่องความเด่นของตำแหน่งตัวเองแล้ว ฟาน ไดค์ ถือว่านอนมาอย่างไม่ต้องสงสัย

    ย้อนกลับไปวันที่ 1 พฤษภาคม ปี 2011 ฟาน ไดค์ ในวัยเพียง 18 ปีได้โอกาสประเดิมสนามในลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกต่อหน้าแฟนบอล 15,000 คนในกรุงเฮก เมืองหลวงฮอลแลนด์

    ฟาน ไดค์ ถูกเปลี่ยนเข้าไปแทน เพ็ตเตอร์ อันเดอร์สสัน มิดฟิลด์ทีมชาติสวีเดนในช่วง 18 นาทีสุดท้ายนัดที่ โครนิงเก้น ต้นสังกัดเอาชนะ เดน ฮาก 4-2

    มันเป็นนัดรองสุดท้ายของเอเรดิวิซี่ลีก ฤดูกาลปกติปี 2010-11 ซึ่ง โครนิงเก้น ที่มี ดูซาน ทาดิช เป็นสตาร์ชูโรงจบอันดับ 5 ของตาราง และได้สิทธิ์ไปเพลย์ออฟเพื่อเล่นยูโรปา ลีก

    จากนั้น ในเกมนัดปิดซีซั่นปกติที่เสมอ พีเอสวี 0-0 ฟาน ไดค์ ก็ถูกเปลี่ยนลงไปแทน อันเดอร์สสัน อีกครั้งในช่วง 13 นาทีสุดท้าย และนั่นเหมือนเป็นการวางรากฐานอาชีพนักเตะของเขาด้วย

    ทิม สปาร์ฟ กองกลางทีมชาติฟินแลนด์ซึ่งค้าแข้งกับ โครนิงเก้น เวลานั้นได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของแข้งดัตช์แมนด้วยความทรงจำที่ยังแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความมั่นใจ ความผ่อนคลาย นั่นคือแคเรคเตอร์ของนักเตะที่พร้อมก้าวขึ้นไปท้าทายความยิ่งใหญ่ในอนาคต

    "ตอน เฟอร์จิล เริ่มเล่นกับทีมชุดใหญ่ เขาถูกส่งลงไปเป็นกองหน้าจำเป็น" สปาร์ฟ เล่าย้อนความหลัง

    "เขาลงมาในช่วง 15-20 นาทีสุดท้าย และก็ทำให้อิมแพ็คท์ในกรอบเขตโทษของฝั่งตรงข้าม ดูเหมือนว่าเขาจะมีความมั่นใจในศักยภาพของตัวเอง ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่เกมแรกๆ กับทีม และอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างจากที่เขาคุ้นเคย นั่นทำให้ผมประทับใจมากจริงๆ"

    "คุณจะเห็นได้เลยว่าเขาจัดการตัวเองได้ดีมากกับเหล่านักเตะที่ประสบการณ์มากกว่า และมีความประหม่าเลยแม้แต่น้อย หรือหลุดตำแหน่งของตัวเองซึ่งสิ่งเหล่านั้นมักเกิดขึ้นอย่างปกติกับเหล่านักเตะอายุน้อย คุณสามารถรู้สึกได้ว่าเขาถูกกำหนดให้อยู่ในสนามที่ใหญ่กว่านี้"

    ฝั่งของ อันเดอร์สสัน เองก็รับทราบถึงพรสวรรค์ของ ฟาน ไดค์ มาอย่างยาวนานตั้งแต่ก่อนที่แข้งดัตช์แมนจะลงสำรองมาแทนเขาสำหรับการประเดิมเส้นทางนักเตะอาชีพ

    "ความประทับใจแรกจาก เฟอร์จิล ก็คือเมื่อตอนที่ผมได้รับบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมกับทีมชุดสอง ผมมีความรู้สึกที่ดีกับเขาตั้งแต่ออกสตาร์ท เขาเป็นคนทะเยอทะยาน แต่ก็อ่อนน้อมถ่อมตน และง่ายต่อการพูดคุยด้วย" อันเดอร์สสันเล่าความทรงจำของเขา

    "จากจุดเริ่มต้น เขามีความใหญ่ และมั่นคงกับลูกบอลที่เท้า แม้ว่าอาจต้องพยายามสักเล็กน้อยในตอนที่เขาจะต้องตัดสินใจ"

    "ความเร็ว และความนิ่งเมื่ออยู่กับลูกบอล และความสามารถในการผ่านบอลของเขาทำให้ผมเซอร์ไพรส์มาก สิ่งเหล่านี้ประกอบเข้ากับความได้เปรียบเรื่องสภาพร่างกายทำให้เขาเป็นนักฟุตบอลที่สมบูรณ์แบบมาก"

    กระนั้น สปาร์ฟ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในทีม มิดทิลแลนด์ ในชุดเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ในปี 2016 มีความทรงจำที่ค่อนข้างเลวร้ายในขณะฝึกซ้อมร่วมกับ ฟาน ไดค์ ในวัยเยาว์เช่นกัน

    แข้งฟินแลนด์กล่าวว่า "เขาเป็นคนที่ดวลด้วยยากมาก แต่ตอนนั้นมันก็ยังไม่ได้ยากอะไรเป็นพิเศษหรอกนะ เขายังคงอยู่ในช่วงก้าวแรกของอาชีพนักฟุตบอล แต่มันน่าหงุดหงิดที่ต้องเจอกับผู้เล่นที่ทั้งใหญ่ และรวดเร็ว"

    "แม้ว่าเขาจะเล่นในเชิงแท็คติกที่ผิดพลาดอยู่บ้าง แต่เขาก็สามารถแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้เพราะเขามีสปีดที่ดี"

    หลังจากเริ่มต้น 4 เกมแรกในซีซั่นถัดมาบนม้านั่งสำรอง ฟาน ไดค์ ก็ได้ลงเล่นในทุกนาทีให้ โครนิงเก้น ในอีก 17 นัดถัดาก่อนที่เขาจะติดโทษแบนจนต้องนั่งเชียร์เพื่อนในสัปดาห์ที่ 22 นัดเจอกับ พีเอสวี

    ประตูแรกของเขาบนลีกสูงสุดเกิดขึ้นในเกมถล่ม เฟเยนูร์ด 6-0 และก็สามารถเก็บคลีนชีตได้ในนัดชนะแชมป์เก่าอย่าง อาแจ็กซ์ 1-0 ซึ่งนั่นถือเป็นไฮไลท์ประจำซีซั่นเช่นเดียวกับที่พวกเขาโดน พีเอสวี ยิง 6 เม็ด และโดน ทเวนเต้ กระหน่ำอีก 4 ลูก

    นอกจากนี้ เขาเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดกับโรคโรคไส้ติ่งอักเสบ เยื่อกระเพาะอักเสบ และไตติดเชื้อ ซึ่งถึงขั้นที่เขาต้องทำประกันเพื่อให้แน่ใจว่าแม่ของเขาจะได้รับการดูแลในกรณีที่ตนเองเสียชีวิตเลยด้วย

    ในที่สุด ฟาน ไดค์ ก็ฟื้นตัวจากโรคนั้น และกลับมาลงสนามทันเกมแรกของซีซั่น 2012-13 ซึ่ง โครนิงเก้น จบอันดับ 7 ของตาราง

    ทว่านั่นก็เป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขากับ โครนิงเก้น พร้อมกับการย้ายไปค้าแข้งที่ เซลติก ก่อนจะร่วมคว้าแชมป์ลีก และลีก คัพ ในเดือนมิถุนายน ปี 2013 จากนั้นดาวเตะดัตช์ก็ย้ายมายัง เซาธ์แฮมป์ตัน ก่อนจะทำให้ทั่วโลกตกตะลึงด้วยการโยกมาสู่ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ในเดือนมกราคม ปี 2017

    ต่อคำถามที่ว่า ทั้ง สปาร์ฟ และ อันเดอร์สสัน ได้มองเห็นหรือไม่ว่าดาวรุ่งในวันนั้นจะก้าวขึ้นมาเป็นกองหลังที่แพงที่สุดในโลกทุกวันนี้

    ???

    "ผมรู้สึกว่าด้วยพลังแผงของเขาจะทำให้เขากลายเป็นกองหลังที่ดีซึ่งพร้อมก้าวไปเล่นในระดับที่ยิ่งใหญ่ แต่กลายเป็นว่าพัฒนาการของเขานั้นดูดีกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลย" สปาร์ฟ กล่าว

    ขณะที่ อันเดอร์สสัน ก็เห็นด้วยกับเรื่องนั้น "ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาได้กลายเป็นกองหลังระดับเวิลด์คลาส แต่ความจริงก็คือผมได้เล่นกับเหล่านักเตะพรสวรรค์มากมายตลอดอาชีพ และมันยากมากที่จะรู้ได้ว่าใครจะประสบความสำเร็จในระดับท็อป"

    "ผมจะบอกว่าสิ่งที่แบ่งแยกเขา และเหล่านักเตะที่ดีเหมือนกันก็คือเรื่องของความคิด และมันก็ยากที่จะเห็นถึงสิ่งเหล่านี้ในช่วงแรก ความสามารถของเขาในการโฟกัสถึงสิ่งที่ยากลำบาก การเรียนรู้ และพัฒนาอยู่เสมอทั้งใน และนอกสนามเป็นกุญแจที่สำคัญ"

    ด้าน สปาร์ฟ กล่าวเสริมว่า "ผมคิดว่าบางจุดก็เป็นเรื่องของความเข้าใจที่จะทำให้ใครก็ตามกลายเป็นกองหลังระดับโลก"

    "ในช่วงแรกของเขากับ โครนิงเก้น เขาอาจไม่ได้ตระหนักถึงความพยายามที่คุณต้องลงทุนทั้งในสนาม และโรงยิม เพื่อจะทำมัน ผมยังจำได้ว่าตัวเอง และคนอื่นๆ เคยเข้าครอสพิเศษกับโค้ชด้านกายภาพครั้งแล้วครั้งเล่า"

    "ในทีแรก เฟอร์จิล ไม่ได้มีส่วนร่วมในกลุ่มเลย แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เข้ามาจอย และทำสิ่งพิเศษที่ถือว่าสำคัญสำหรับเหล่าดาวรุ่งที่พยายามจะทำให้อาชีพค้าแข้งของพวกเขาดีขึ้น"

    "เขาเติบโตอย่างเต็มที่ในเส้นทางนั้น และในฐานะกัปตัน ผมเองสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเขาพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำในอาชีพอย่างไรบ้าง นั่นคือแง่มุมที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขาอย่างเป็นธรรมชาติในช่วงที่เขาเริ่มต้นที่ โครนิงเก้น"

    "ในฐานะนักเตะอายุน้อย คุณจำต้องโฟกัสตัวเองให้มาก นั่นคือสิ่งที่เข้าใจได้ แต่มันเป็นเรื่องดีที่ได้เห็น เฟอร์จิล พัฒนาไปเป็นมนุษย์ที่ต้องรับผิดชอบต่อคนอื่นมากขึ้น"

    การพัฒนาเหล่านั้นเหมือนรางวัลปลอบใจของ ฟาน ไดค์ ที่ต้องพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกกับซีซั่นที่เพิ่งผ่านพ้น

    แต่ยังมีเกมวันเสาร์นี้ที่ถือเป็นหนึ่งในนัดสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาอยู่

    แล้วเราจะได้รู้กันว่า ฟาน ไดค์ จะมีดีกรีแชมป์บิ๊กเอียร์ติดตัวได้หรือไม่

    พาสต้า


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด