:::     :::

ผ่าผีด้วยวิถีสายกลาง

วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม 2562 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
5,322
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะต้องเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่อีกครั้งหลังจากล้มเหลวในซีซั่นที่ผ่านมา แต่สิ่งที่เรียกว่าการ "ผ่าทีม" ไม่อาจจะทำด้วยวิธีสุดโต่งด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น

หลังจากจบฤดูกาลที่เลวร้ายของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดลงไป สิ่งหนึ่งที่ทุกคนลงความเห็นตรงกันนั่นก็คือ

การผ่าตัดเปลี่ยนแปลงทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นการเร่งด่วน เพื่อให้ทันเตรียมพร้อมสู้ศึกในฤดูกาลหน้า และให้ผู้จัดการทีมอย่าง Ole Gunnar Solskjaer ได้มีเวลาปรับจูนทีมให้เป็นอย่างที่เขาต้องการ เพื่อให้พร้อมลงเล่นในซีซั่นถัดไป

โอเคว่ามันอาจจะมีปัญหาในเรื่องของทิศทางการบริหารของบอร์ดที่ล้มเหลว และแก้ปัญหาได้ไม่ตรงจุด


หรืออาจจะไม่ได้แก้อะไรเลยเสียด้วยซ้ำ


ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นเรื่องทางด้านบนซึ่งเราจะเอาไว้ว่ากันทีหลัง แต่ในด้านหลักของสโมสร อย่างแรกสุดเลยก็คือ จะต้องปรับปรุงทีมในทันที ไม่ว่าการบริหารหรือsupportจากบอร์ดจะเป็นยังไงก็ตาม สุดท้ายแล้วเรานโยบายเบื้องบน น่าจะเป็นสิ่งที่แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ยากที่สุด หากแฟนบอลต้องการในเร็ววัน


เรื่องบอร์ดมันคือปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุม

..ยกเว้นเสียแต่ว่าจะมีคนดีๆที่ไหนมาซื้อและลงทุนพัฒนาสโมสรเราใหม่ที่ดีกว่าทุกวันนี้ เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ณ ตอนนี้คือ เราจะทำยังไงกับชุดนักเตะปัจจุบันที่มีอยู่ในมือ ที่เต็มไปด้วยปัญหาสารพัน อันแฟนผีด้วยกันเองรู้ดีอยู่แล้ว คงไม่ต้องสาธยายซ้ำให้มากความว่า เราเจอปัญหาที่จุดใดบ้าง เอาแบบภาษาชาวบ้านเลยก็คือ เราต้องซ่อมแซมทีมในระดับขั้น "ผ่าทีม" กันเลยทีเดียว นั่นคือการเปลี่ยนแปลงไปถึงเนื้อในของsquadเราทั้งหมด


ทั้งในเรื่องของตัวนักเตะ วิธีคิด วิธีการจัดการ การฝึกซ้อม และในด้านต่างๆ


สิ่งหนึ่งที่เราจำเป็นต้องทำในตอนนี้เท่าที่ทำได้ ที่ทุกคนพูดถึงกันอยู่หลังจากจบฤดูกาลแล้ว นั่นคือการ ซื้อตัวนักเตะเข้ามาเพิ่ม

จริงๆแล้วการซื้อตัวนักเตะยัดๆๆเข้ามาในทีมนั้น อาจจะช่วยแก้ไขปัญหาได้บางส่วน แต่บอกเลยว่า ไม่ใช่ทั้งหมดแน่นอน เป็นแค่พาร์ทเล็กๆเท่านั้นเอง


สิ่งที่ต้องแก้มากกว่าคือเนื้อในต่างหาก เพราะถ้าไส้เราเน่า ต่อให้กินอาหารอะไรดีๆเข้ามา อาหารมันก็เน่าไปด้วย

เปรียบประหนึ่งการนำเข้านักเตะเก่งๆดีๆเข้ามา แต่ถ้ามาเจอระบบการจัดการห่วยๆ หรือกลุ่มผู้เล่นเจ้าถิ่นดั้งเดิมที่ยึดตำแหน่งเอาไว้ละก็ สภาพก็คงไม่ต่างอะไรกับ5-6ปีที่ผ่านมา

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงจะต้องกระโจนลงไปงมในตลาดนักเตะ เพื่อที่จะหาเลือดใหม่ๆเข้ามาเปลี่ยนถ่าย และแก้ไขจุดที่เป็นจุดอ่อนให้ทีมอยู่ดี มีตัวอย่างให้ดูชัดๆมากจากคู่อริของเราเองอย่าง ลิเวอร์พูล ที่ค่อยๆเสริมทีมแก้จุดอ่อนของตนได้อย่างถูกจุด จนมาถึงวันที่ทีมเขาแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด


แมนยูไนเต็ดควรจะนำเอาตัวอย่างบางส่วนมาปรับใช้เพื่อแก้ไขปัญหาทีมบ้าง


แต่หากย้อนไปมองดูหลายปีที่ผ่านมา เราก็จะเห็นแล้วว่า การทุ่มซื้อนักเตะชื่อดังระดับซุปเปอร์สตาร์เข้ามาร่วมทีมนั้น ก็ไม่ใช่เป็นวิธีแก้ปัญหาได้เลย ไม่ว่าจะแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้าช่วงสั้นๆ1-2ปี หรือแม้กระทั่งช่วยเรื่องแกนทีมในระยะยาวก็ตาม จะเห็นได้ว่า ซุปตาร์เหล่านั้นล้มเหลวกับแมนยูไนเต็ดไปจำนวนมาก


การซื้อบิ๊กเนม จึงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องทั้งหมด


หรือจะครั้นใช้วิธีดั้งเดิมคลาสสิค คือการดันนักเตะดาวรุ่งของสโมสรขึ้นมาเลยทั้งกระบิ แล้วคาดหวังจะให้เกิดClass of 2019 ให้เป็นจริงในเลเวลเดียวกันกับปี92นั้น ยิ่งเป็นไปได้ยากเข้าไปใหญ่ เพราะนั่นคือปรากฏการณ์เดียวที่เกิดขึ้นได้ยาก และแทบไม่มีที่ไหนบนโลกนี้เลยที่จะมีเรื่องแบบนั้นอีก ที่เด็กอะคาเดมี่จะขึ้นชุดใหญ่ แล้วเก่งพร้อมกันทั้งแผงขนาดนั้น

การจะดึงดันใช้แต่ดาวรุ่งท้องถิ่นอย่างเดียว ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง และโอเล่ก็ไม่ควรจะยึดติดกับข้อนี้เกินไป เพราะทีมใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ เขาก็ใช้วิธีซื้อนักเตะเข้ามาร่วมทีมทั้งนั้น บางทีมดีหน่อยที่ผสมผสานกับลูกหม้อตัวเองได้ แต่สุดท้ายแล้วเราก็จำเป็นต้องซื้ออยู่ดี


การจะดึงดันใช้เด็กน้อยลงมา ทั้งๆที่กระดูกยังไม่แข็งพอ อาจจะเป็นการทำร้ายประเพณีดั้งเดิมของสโมสรเสียด้วยซ้ำ

ถ้าส่งเด็กมันลงไป แล้วโดนกระทืบเละกลับมา 5-0 เป็นต้น


ดังนั้น สิ่งที่โซลชาควรจะต้องทำ เหมือนอย่างที่ปรัชญา และวิธีคิดหลายๆสำนัก ไม่ใช่เพียงแค่พุทธ แต่มันคือความเป็นจริงของโลกที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ควรทำอย่างพอเหมาะพอดี และสมดุล ไม่มากไปหรือน้อยไปทางด้านใดด้านหนึ่งอย่างเดียว การจะทุ่มซื้อดาวดังเข้ามารัวๆเหมือนหลายปีก่อน มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง แต่จะให้ดันแต่เด็กน้อยขึ้นมา ก็ไปสู้กับเสือสิงห์กระทิงแรดไม่ไหวอีก


สรุป..วิธีที่สมดุลซึ่งเป็นทางสายกลางนั่นก็คือ

การดันเด็กดาวรุ่งขึ้นมาในทีมชุดใหญ่ที่มีการเสริมทีมเข้ามา ทั้งบิ๊กเนม และตัวมีแววราคาถูก นั่นเอง


ในยุคเซอร์อเล็กซ์ หากใครจะยังจำกันได้ ที่พูดนี่คือไม่ได้ยึดติดกับป๋า แต่มันมีตัวอย่างที่ถูกต้องให้ได้เห็นแล้ว นั่นก็คือ

ป๋าทำทั้งการดันเด็กท้องถิ่นขึ้นมาสู่ในทีม เช่นพวกลูกหม้อสโมสรเราต่างๆ แน่นอนว่า Class of 92เนี่ยหนึ่งละ แต่นอกจากนั้นแล้ว เรายังไม่เคยขาดเด็กจากเยาวชนเลย ไม่ว่าจะเป็น เฟล็ทเชอร์ เวส บราวน์ที่ใครๆว่าห่วย แต่ความจริงเขาคือแบ็คขวาสุดแกร่งชุดแชมป์ยุโรป2008 หรือแม้กระทั่งจอห์น โอเช ก็ตาม


ส่วนการซื้อบิ๊กเนมในระดับการทุ่มซื้อด้วยเงินมหาศาลนั้น แมนยูไนเต็ดซื้อให้ชาวโลกเห็นกันเป็นสถิติโลกมานานแล้วด้วยจำนวนเงินมหาศาลระดับบ้าคลั่ง เพราะอย่าลืมว่าที่เรามี รุดฟานนิสเตอรอย / ริโอ เฟอร์ดินานด์ นั้น มันก็คือการทุ่มซื้อนักเตะเข้ามาด้วยเงินมหาศาลในยุคป๋านั่นแหละ 

ดังนั้นหากเราต้องการที่จะแก้ปัญหาปัจจุบัน แล้วจะมาพูดว่า เลิกทุ่มซื้อดาวดังเข้าเลยทันทีนั้น มันก็อาจจะสุดโต่งเกินไป


เรายังจำเป็นต้องการมีเสริมทีมระดับบิ๊กดีลอยู่ อย่างน้อยๆก็หนึ่งคนเพื่อมาเป็นแกนที่สร้างความแตกต่างให้ทีมได้


และสุดท้ายคือ การนำเข้านักเตะดาวรุ่งที่มีแววจากทีมอื่นตอนที่อายุยังน้อยๆ ข้อนี้เราก็ทำบ่อย และในเคสของลุค ชอว์ นี่ก็ใช่ และมันกำลังจะเกิดขึ้นกับแดเนียล เจมส์ ถ้าเราไปสอยตัวมาจากสวอนซีได้ หรือแม้กระทั่งอีกหลายๆเป้าหมายในปีนี้ของเรา

ไม่ว่าจะเป็นเดแคลน ไรซ์ หรือ นิโคลาส เปเป้ ก็ตามที

นี่คือการทำธุรกิจที่ถูกต้อง



คือซื้อตัวมีแววแบบนี้ก็มีลุ้นว่าเอามาแล้วมันจะเล่นดี มาแล้วเกิดกับสโมสรเรา หรือถ้าเอามาแล้วดับ เราก็จะไม่เจ็บตัวมาก (เพราะราคามันไม่แพง)  วิธีนี้ถือเป็นอันที่เซฟที่สุดในบรรดาสามทางแล้ว สาวกFMน่าจะเข้าใจดี


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สรุปจากทั้งหมดด้านบนที่กล่าวมา เราก็ควรจะใช้ทั้งหมดสามวิธีนั่นแหละในการเลือกซื้อนักเตะเข้ามาเสริมทีม

ไม่ควรทำแต่วิธีใดวิธีหนึ่งอย่างสุดโต่งเกินไป ไม่ว่าจะดันเด็ก หรือซื้อแต่Wonderkids ก็ตามที  บางครั้งเราก็จำเป็นต้องนำเข้าตัวโหดๆเข้ามาเพื่อยกระดับทีมอีกด้วย นึกถึงเคสป็อกบาเอาไว้ก็น่าจะเห็นภาพได้ชัดเจน ซึ่งมันก็มีดีบ้าง แย่บ้าง เป็นเรื่องธรรมดา หากใครจะจำในเคสของเวรอนได้ดี 


จะผ่าผี อย่าผ่าโดยยึดติดกับเด็ก หรือทุ่มเงินเพื่อแลกSexกับฝีเท้าราคาแพง

แต่จงทำด้วยวิถีทางสายกลางที่สมดุล ค่อยๆแก้ไปทีละส่วน ให้เวลากับการแก้ไขปัญหานี้ของOle Gunnar Solskjaer

ที่เขาเองก็เพิ่งจะได้เริ่มงานกับแมนยูไนเต็ดจริงๆ เมื่อจบซีซั่นนี่เองที่เขามีโอกาสจะได้แก้ไขทุกอย่าง ทั้งการเลือกเก็บนักเตะ

และการแก้ปัญหาอื่นในทีมไม่ว่าจะเป็นระบบการเล่น วิธีคิด

หรือแม้กระทั่งเรื่องใหญ่อย่าง ระดับความฟิต ที่น่าเป็นห่วงโคตรๆของนักเตะเรา


ให้เวลาโอเล่ทำงานหน่อย ผมเชื่อว่าเขาทำได้


#BELIEVE

-ศาลาผี-

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด