:::     :::

'เอียน รัช' ตำนานแห่งลุ่มน้ำเมอร์ซี่ย์

วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2560 คอลัมน์ ในกะลาครอบ โดย พาสต้า
3,505
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
หากคุณลองนึกภาพนักเตะ ลิเวอร์พูล ขึ้นมาสักคน เอียน รัช คงเป็นลิสต์รายชื่อลำดับต้นๆ อย่างแน่นอน

    เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีกโดยมีคะแนนมากกว่าทีมอันดับ 2 อย่าง วัตฟอร์ด ถึง 11 แต้มในการคุมทัพฤดูกาลสุดท้ายของ บ็อบ เพสลี่ย์ ก่อนที่ปี 1983-84 จะสร้างผลงานอันเป็นที่จดจำภายใต้การกุมบังเหียนซีซั่นแรกของ โจ เฟแกน

    แม้ ลิเวอร์พูล จะเริ่มต้นด้วยความพ่ายแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในถ้วยแชริตี้ ชิลด์ แต่นั่นก็คือความผิดหวังเพียงแค่เศษเสี้ยวเมื่อเทียบกับความสำเร็จในท้ายที่ สุดของซีซั่นนั้น

    รัช ออกสตาร์ฤดูกาลกับประตูเปิดหัวที่สนามโมลินิวซ์ และท็อปฟอร์มด้วยการซัดได้ถึง 49 ลูกให้กับทั้งสโมสรและในนามทีมชาติ "ผมยิงจุดโทษในเกมยูโรเปี้ยน คัพ นัดชิงชนะเลิศ (ช่วงดวลเป้า) ดังนั้นผมจึงพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่ามันคือ 50! ต่างหาก"

    "ผมกวาดได้ทุกรางวัลส่วนตัว ทั้งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี และแข้งยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าว ขณะเดียวกันผมก็ยังเป็นนักฟุตบอลจากสหราชอาณาจักรคนแรกที่คว้ารางวัลดาว ซัลโวสูงสุดของยุโรปด้วย"

    "มีอยู่เกมหนึ่ง พวกเราเปิดบ้านถล่ม ลูตัน ไปถึง 6-0 และผมก็ยิงได้ตั้ง 5 ประตู คุณจะไม่มีทางลืมช่วงเวลาแบบนั้นได้เลย"

    มันแตกต่างอย่างชัดเจนจากวันแรกๆ ของเขาในถิ่นแอนฟิลด์ เมื่อตอนนั้น รัช ยังคงเป็นดาวรุ่ง และมีเพียงประสบการณ์จากการเล่นให้ เชสเตอร์ ซึ่งมันก็ทำให้เขายังมีความสงสัยในศักยภาพของตัวเองว่าจะประสบความสำเร็จกับ สโมสรแห่งนี้ได้หรือไม่?

    "ผมบอกปัด ลิเวอร์พูล ในตอนแรก เพราะผมคิดว่าตัวเองยังไม่ดีพอ ผมเป็นเด็กอายุเพียง 18 ปีที่ขี้อายในการมาเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล"

    "พ่อของผมทำงานในโรงงานเหล็กกล้า พี่ของผมเองก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นผมจึงคิดว่าตัวเองมีความสุขดีอยู่แล้วที่ได้เล่นให้กับ เชสเตอร์"

    "แต่พอลองมาคิดดูอีกที หากผมเล่นที่ เชสเตอร์ เรื่อยไปแต่ละวันจนกระทั่งอายุ 30 หรือ 35 ปี แล้วมันจะได้อะไรล่ะ?"

    "พวกเขาจ่ายเงินถึง 300,000 ปอนด์ เพื่อผม ซึ่งมันถือเป็นสถิติโลกสำหรับดาวรุ่งในตอนนั้น และผมก็รู้สึกว่าตัวผมเองยังดีไม่พอ"

    "ในตอนที่ผมต้องไปฝึกซ้อมกับ เรย์ คลีเมนซ์, อลัน แฮนเซ่น, เคนนี่ ดัลกลิช, แกรม ซูเนสส์, เทอร์รี่ แม็คเดอร์ม็อตต์ และอีกหลายคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ผมไม่พูดเลยสักคำในห้องแต่งตัว พวกเขาเอาแต่มุ่งมั่นในการคว้าแชมป์มิคกี้เมาส์ (ลีก คัพ) ผมก็เลยคิดว่าเฮ้ย! อะไรกัน พวกนี้ไม่เห็นจะมีความพยายามเอาเสียเลย"

    "จากนั้น อีกสองสามเดือนถัดมา ผมรู้ได้ทันทีว่าตัวเองมีดีพอ ผมไปซ้อมกับพวกเขา แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องการเข้ากับคนอื่นๆ ในทีม ทว่าผมก็ก้มหน้าพยายามต่อไปเรื่อยๆ และเป้าหมายต่อไปก็คือการมุ่งมั่นสู่ 11 ตัวจริง"

    หงส์แดง คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้ถึง 3 ครั้งจาก 6 ปีหลังสุด แต่นี่คือซีซั่นแรกสำหรับการคุมทัพของ เฟแกน ซึ่งแชมป์ยุโรปสมัยที่ 4 ถือเป็นความท้าทายสุดยิ่งใหญ่ของพวกเขาในทีมทั้งหมด

    "เกมยุโรปปีนั้น พวกเราเล่นกันที่แอนฟิลด์ไม่ดีนัก เราทำได้เพียงเปิดบ้านเสมอกับ แอธ. บิลเบา 0-0 ในเกมเลกแรก ซึ่งมันทำให้เราทุกคนค่อนข้างผิดหวัง พวกนั้นมาเน้นเกมรับเพียงอย่างเดียว แต่ เฟแกน ก็ยังเชื่อมั่นในตัวเราอยู่"

    "เราไปเยือนและเอาชนะได้ 1-0 โดยผมเป็นคนทำประตู มันน่าแปลกใจเพราะ อลัน เคนเนดี้ เปิดบอลด้วยเท้าขวาซึ่งเขาไม่ถนัดเอาเสียเลย ส่วนผมก็ส่งบอลซุกก้นตาข่ายด้วยลูกโหม่งที่ผมเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านนี้ เหมือนกัน"

    ดาวยิงชาวเวลช์เป็นคนทำประตูชัยที่ บิลเบา โดยนั่นไม่ได้มีความสำคัญเพียงแค่หนึ่งจากทั้งหมด 49 ลูกที่เขายิงไป แต่มันคือสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความเชื่อว่าจะสามารถประสบความสำเร็จในเส้น ทางสายยุโรปได้

    "ในรอบตัดเชือก เราเปิดรังเอาชนะ บูคาเรสต์ ไป 1-0 ซึ่งมันก็ถือเป็นผลงานที่ดีก่อนพวกเราจะต้องออกไปเยือนที่นั่น"

    "มันถือเป็นค่ำคืนที่น่ากลัวเลยทีเดียว เพราะเราต้องเล่นท่ามกลางเสียงฟ้าฝ่า และสายฝน รวมถึงแฟนบอลกว่า 80,000 คนที่คอยส่งเสียงโห่ใส่เรา"

    "แต่พวกเราก็ยังบุกไปคว้าชัยได้ 2-1 และผมยิงถึงสองประตูในเกมนั้น ซึ่งมันก็ทำให้เราได้ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ"

    สำหรับคู่หูคนสำคัญของ รัช คงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก เคนนี่ ดัลกลิช ซึ่งถือเป็นพาร์ทเนอร์ที่ช่วยผลักดันจนเขาสามารถดึงศักยภาพสูงสุดของตัว เองออกมาได้อย่างแท้จริง

    "โอ้! แน่นอน ไม่มีอะไรต้องสงสัยเลย เขารู้ว่าจะทำยังไงในการช่วยผมให้เล่นเข้ากับจังหวะของเกม เราเล่นกันแบบมีคนหนึ่งยืนสูงกว่า และ เคนนี่ ก็เล่นอยู่ข้างหลังผม ผมคิดว่า เคนนี่ เป็นคนที่อ่านเกมได้ดีมากๆ"

    "เขามีประสบการณ์เหลือล้น เพราะว่าเขาเล่นบอลยุโรปมาตั้งแต่ปี 77 มันต้องใช้เวลาถึงปีหรือสองปีเลยในการปรับตัวให้เข้ากับการเล่นถ้วยยุโรป แต่หากคุณได้รับการช่วยเหลือจาก เคนนี่ แล้ว ทุกอย่างมันจะง่ายขึ้นเป็นกองเลยทีเดียว"

    สำหรับพรีเมียร์ลีก ในปัจจุบันคือเวทีที่ถือว่ามีการชิงชัยยากที่สุดแห่งหนึ่งในลีกยุโรป ซึ่งก็ไม่ต่างจากอดีตที่แทบจะไม่เคยมีนักเตะจากฟุตบอลลีกอังกฤษที่สามารถซิว รางวัลดาวซัลโวสูงสุดของยุโรปได้เลย

    "ฟร้านซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ เคยบอกไว้ว่านักเตะจากอังกฤษหรือเยอรมันไม่มีทางคว้าตำแหน่งดาวซัลโวยุโรป ได้หรอก เพราะมันเป็นลีกที่ยาก มันจะง่ายกว่าหากคุณอยู่ในฮอลแลนด์ แต่ผมก็โชคดีเหมือนกันที่ มาร์โก แวน บาสเท่น เจ็บยาวไปเกือบครึ่งซีซั่น เพราะหากเขาฟิตเต็มถังแล้วล่ะก็ เขาคงยิงได้ถึง 40 หรือ 50 ลูกได้ง่ายๆ เลย"

    ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นสมัยที่ 15 โดยยังเล่นไม่ครบตามโปรแกรมที่เหลือของฤดูกาล โดยพวกเขาสามารถเอาชนะคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง เอฟเวอร์ตัน ในศึกลีก คัพ รอบชิงชนะเลิศ นัดรีเพลย์ มาได้ก่อนหน้านั้นแล้ว

    "เราคว้าแชมป์ลีกขณะที่ยังมีเกมเหลืออยู่ในมือ มันก็ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจได้เยอะอยู่นะ แต่ผมก็รู้สึกว่าในฤดูกาลนั้นผมมีพร้อมทั้งเรื่องของอายุ, ร่างกาย และจิตใจอยู่แล้ว"

    สำหรับถ้วยแชมป์ที่เอาชนะ โรม่า มาได้นั้นถือเป็นหนึ่งในการชิงชัยที่โดดเด่นสุดตลอดกาลของยูโรเปี้ยน คัพ นัดชิงชนะเลิศเลยทีเดียว นั่นก็เพราะการแข่งขันจัดขึ้นที่สนามสตาดิโอ โอลิมปิโก้ ซึ่งก็คือถิ่นเหย้าของทัพหมาป่าเหลือง-แดงนั่นเอง

    โรม่า บุกชนะ ดันดี ยูไนเต็ด 2-0 ในเกมเลกแรกของรอบรองฯ ที่แทนนาไดซ์ พาร์ค และก็กลับมาถล่มในแมตช์เลกสองที่สนามของตัวเองจนผ่านเข้ามาเล่นในรอบชิงชนะ เลิศ

    "ปีนั้นที่เล่นฟุตบอลยุโรปผมเรียนรู้อะไรได้เยอะเลยนะ และเมื่อคุณผ่านเข้าไปเล่นนัดชิงชนะเลิศกับ โรม่า ที่โรม มันถือเป็นอะไรที่ไม่เคยเจอมาก่อน แถมเรายังไปเอาชนะพวกเขาที่นั่นได้ด้วย มันเป็นเหมือนกับฝันไปเลยแหละ"

    สาวกหงส์แดงเดินทางมาจากเมอร์ซี่ย์ไซด์นับพัน แต่แน่นอนอยู่แล้วว่าคงไม่อาจสู้แรงสนับสนุนจากฝั่งเจ้าถิ่นได้ ทว่า รัช เองก็ยังยืนยันว่าเขารับรู้ได้ถึงเสียงเชียร์เหล่านั้นแม้จะไม่สามารถระบุ ได้ว่ามีจำนวนมากน้อยแค่ไหนก็ตาม

    "มันเหมือนเกมเยือนของเรา ดังนั้นผมเลยไม่รู้ว่ามีแฟนจากลิเวอร์พูลเดินทางมาเชียร์มากน้อยเท่าไหร่ บางทีเปอร์เซ็นต์อาจจะต่างกันถึง 80-20 เลยก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเราได้ยินก็คือเสียงสนับสนุนจากแฟนบอล และผมก็คิดว่าต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อตอบแทนเสียงเหล่านั้น"

    "ฟิล นีล ยิงประตูให้เราขึ้นนำ แต่ โรม่า ก็มาตามตีเสมอได้ และหลายคนคิดว่าพวกเขาอาจถึงขั้นพลิกกลับมาเอาชนะได้เลย ทว่าเราก็ไม่ได้หวั่นเกรงอะไร พวกเรามีความมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม"

    "เราไม่ได้ไปโรมเพื่อรับความพ่ายแพ้ และผมคิดว่าทีมสปิริตเป็นสิ่งที่ทำให้เราเอาชนะในเกมนั้น"

    ผลการแข่งขันจบลงที่สกอร์ 1-1 หลังจากต่อเวลาพิเศษก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็ทำให้ต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ

    แน่นอนหนึ่งในความทรงจำชั้นยอดก็คือท่า สปาเก็ตตี้ เลก (เจอร์ซี่ ดูเด็ค นำมาใช้อีกครั้งสำหรับนัดฯ ชิงที่อิสตันบูลในอีก 20 ปีถัดมา) ของ บรูซ กร็อบเบลาร์ แต่ รัช ยังคงจำเหตุการณ์ช่วงที่ต้องเดินออกจากกึ่งกลางสนามเพื่อทำหน้าที่เพชรฆาต ได้เป็นอย่างดี

    "โอ้! มันเป็นการเดินที่ยาวนานสุดในชีวิตเลย มันช่างแตกต่างจากการยิงจุดโทษที่แอนฟิลด์เหลือเกิน มันรู้สึกเหมือนกำลังจะสติแตกเมื่อต้องเดินออกจากเส้นกลางสนาม"

    "การออกไปทำสิ่งนั้นต่อหน้ากองเชียร์กว่า 80,000 คนที่กำลังโห่ร้องใส่คุณ ความเชื่อมั่นของคุณจะหายไปในทันที"

    "โชคดีที่นายทวารฝ่ายตรงข้ามทำให้การตัดสินใจของผมง่ายขึ้น เพราะผมเห็นเขาขยับตัวไปทางขวามือ มันไม่ใช่ลูกยิงที่ยอดเยี่ยมอะไรหรอก แต่เพราะว่าผมเห็นเขาขยับไปก่อน ผมจึงรู้ทันทีว่าหากบอลพุ่งตรงกรอบมันจะต้องเข้าแน่ๆ"

    "คุณจะเห็นได้เลยว่าผมโล่งใจแค่ไหนเมื่อบอลเข้าประตู อะไรที่อยู่ในใจมันถูกปลดปล่อยออกมาหมดเลย ผมทำสำเร็จ และพวกเราก็ยังคงมีโอกาสชนะอยู่"

    ท้ายที่สุดแล้ว อลัน เคนเนดี้ เป็นคนยิงปิดกล่องให้พวกเราชนะในช่วงดวลเป้า 4-2 หลังจาก กร็อบเบลาร์ เป็นฮีโร่ และทีมของ เฟแกน คว้าได้ถึง 3 แชมป์ในฤดูกาลนั้น รัช เองก็ไม่เคยลืมถึงช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองไปได้เลย

    "มันเป็นช่วงเวลาที่ดีจริงๆ ผมคิดว่าพวกเราทุกคนคงจะพาภรรยา หรือแฟนมาด้วย และก็คงฉลองกันจนบ้าไปเลยล่ะ!"

    "ถ้าให้ผมย้อนกลับไปนะ มันเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เราไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น เราแทบไม่ได้หลับได้นอนด้วยซ้ำ มันเป็นค่ำคืนที่สุดยอดมาก"

    "มันค่อนข้างแปลกตาเมื่อผมถ่ายรูปคู่กับถ้วยยูโรเปี้ยน คัพ และแฟนบอลก็อยู่ที่นั่นกับพวกเราด้วย"

    "พวกเราทั้งหมดร่วมร้องเพลงด้วยกันในตอนเย็น และก็ยังไปแห่ฉลองบนรถบัส เมื่อพวกเรากลับถึงลิเวอร์พูล มีกองเชียร์จำนวนมากมาต้อนรับเรา ซึ่งมันก็เป็นประสบการณ์อันน่าเหลือเชื่อ"

    รัช ถูกวางให้ติดอยู่ในทีมสปิริตปี 1983-84 แต่เขากลับรู้สึกว่าทีมในปี 1986 นั้นอาจจะดีกว่าชุดรุ่งเรืองของตัวเขาเองเสียด้วยซ้ำ

    "มันเป็นทีมสปิริตที่ดี ทีมในปี 86 อาจจะดูดีกว่าปี 84 ด้วยซ้ำ แต่สำหรับปี 84 ก็ยังมีนักเตะระดับคุณภาพอย่าง เคนนี่ ดัลกลิช, ฟิล นีล, มาร์ค ลอว์เรนสัน, อลัน แฮนเซ่น, อลัน เคนเนดี้, รอนนี่ วีแลน, แกรม ซูเนสส์, เดวิด ฮ็อดจ์สัน, ไมเคิ่ล โรบินสัน, เคร็ก จอห์นสตัน รวมถึง บรูซ กร็อบเบลาร์ ที่ยืนอยู่หน้าปากประตู"

    ในฤดูกาลถัดมา ลิเวอร์พูล ต้องเสียแชมป์ลีกให้กับคู่แค้นอย่าง เอฟเวอร์ตัน (รัช ยิงไป 26 ประตู) และ เฟแกน ก็สละเรือพร้อมถูกแทนที่ด้วย ดัลกลิช

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด