นั่นคือคำพูดของ เฟรงกี้ เดอ ย็อง แข้งใหม่ บาร์เซโลน่า ที่กำลังจะได้กลายเป็นเพื่อนร่วมทีมกับยอดแข้งอาร์เจนไตน์อย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่อึดใจ

    และนั่นคือเอฟเฟ็คท์ของ เมสซี่ ที่หาคำอธิบายได้ยาก

    เมสซี่ มีสถานะเหนือมนุษย์กับแข้งที่เด็กกว่า อายุเท่ากัน กระทั่งโตกว่า ชื่อของเขาถูกวางไว้บนหิ้งในแบบที่ไม่มีใครสามารถแตะต้องได้ มันจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะบอกลาฟลอร์หญ้าไปนั่นแหละ

    นักเตะบางคนอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ หรือ จอร์ดี้ อัลบา นั้นเป็นตัวอย่าง การที่พวกเขาต้องมาเล่นภายใต้ร่มเงาของ เมสซี่ ก็เหมือนอยู่ในบทบาทของเพื่อนเจ้าสาวเท่านั้นทั้งที่ตัวเองก็เป็นซูเปอร์สตาร์ดัง

    แต่ก็มีอีกหลายคนที่มีความมั่นใจในตัวเองค่อนข้างสูงมากกว่าการที่จะอยากอยู่ใต้ร่มเงาของกองหน้าทีมชาติอาร์เจนตินา

    พวกเขาเหล่านั้นรู้สึกว่าตัวเองใหญ่กว่าที่จะต้องมาเป็นหมายเลขสองรองจากใคร

    ซลาตัน อิบราฮิโมวิช คือคนดังในขวบปีที่สองของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในการนั่งนายใหญ่ยักษ์กาตาลัน และนั่นก็คือช่วงปีแรกๆ ที่ เมสซี่ เริ่มสถาปนาตัวเองกลายเป็นแข้งระดับท็อปของโลก

    ขณะที่ ซลาตัน ใช้ใช้โอกาสเปลืองในจังหวะง่ายๆ หลายต่อหลายครั้งในนัดเยือน เรอัล ซาราโกซ่า แต่ตัดภาพมาที่ เมสซี่ เขาตะบันแฮตทริกได้ในนัดเดียวกัน และนั่นทำให้กองเชียร์มีความรู้สึกที่แตกต่างกันไประหว่างทั้งสองแข้ง

    กวาร์ดิโอล่า เลือกที่จะปรับ เมสซี่ ที่แต่เดิมประจำทางกราบขวาไปยืนเป็นกองหน้าตัวกลางมากยิ่งขึ้นซึ่งเป็นการผลักดาวเตะสวีดิชให้กระเด็นไกลจากคำว่าคีย์แมนใหญ่ออกไปเรื่อยๆ

    แต่!!!

    อิบราฮิโมวิช ก็ไม่ใช่คนเดียวที่พบเจอกับเรื่องนั้น

    เนย์มาร์ รู้กดไลค์ให้กับสิ่งนี้อย่างแน่นอน

    ดาวเตะบราซิเลี่ยนเล่นเคียงข้าง เมสซี่ และ ซัวเรซ จนช่วยกันก่อร่างสร้างเกมรุกที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานมากที่สุดของโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

    ทว่ามันก็ไม่ได้เพียงพอต่อความต้องการของ เนย์มาร์ เลย

    กองหน้าบราซิลเคยบอกว่าเขาอยากได้รางวัลบัลลงดอร์ด้วยตัวเอง หรือจะให้พูดอีกนัยหนึ่งก็คือเขาต้องการหลีกหนีจากร่มเงาของ เมสซี่ และพิสูจน์ให้โลกได้เห็นว่าเจ้าตัวสามารถสร้างแรงบัลดาลใจให้กับทีมได้ด้วยตัวเอง

    กระนั้น ดูเหมือนว่าแผนการที่ เนย์มาร์ วางเอาไว้จะไม่ประสบผลสำเร็จสักเท่าไหร่ เนื่องจากดาวยิงบราซิเลี่ยนนั้นติดโผบัลลงดอร์ ปี 2018 ด้วยอันดับที่ 12 เท่านั้น

    แต่พิษภัยจากร่มเงาของ เมสซี่ ก็ยังไม่ได้หมดไป และ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ กำลังเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นอยู่ในปัจจุบัน

    คูตินโญ่ เคยเป็นหัวใจสำคัญในการรังสรรค์เกมรุกให้กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ ลิเวอร์พูล และเขาก็ได้รับการคาดหมายว่าจะเติมเต็มช่องว่างของ เนย์มาร์ และ อันเดรส อิเนียสต้า ที่หายไปในถิ่นคัมป์ นู

    แต่!!!

    อย่าลืม เมสซี่ ไม่ได้เป็นเพียงดาวซัลโวหลักของสโมสร เขายังเป็นเจ้าแห่งการสร้างสรรค์โอกาสอีกด้วย

    แม้ทั้งสองน่าจะเป็นคู่หูที่ดูน่ากลัวสำหรับฝ่ายตรงข้ามในสนาม แต่ คูตินโญ่ ก็ล้มเหลวในการหาเคมีที่จะเข้ากับสตาร์อาร์เจนไตน์

    ด้วยการที่ เมสซี่ รับหน้าที่ 'เดอะ แบกส์' การสร้างสรรค์โอกาสหลักๆ ให้กับทีม คูตินโญ่ เลยกลายเป็นเหมือนคนไม่มีตัวตน ไม่มีผลงาน ไม่มีความโดดเด่นให้เห็นเลยตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

    ดังนั้น คำถามก็คือ แล้วถ้า อองตวน กรีซมันน์ ย้ายเข้ามาล่ะจะเป็นยังไง

    ???

    เมื่อสัปดาห์ก่อน ซีอีโอ ของ แอต. มาดริด มิเกล อังเคล คิล ได้ออกมาเปิดเผยความลับทุกคนล้วนรู้กันมาก่อนหน้าแล้วว่า กรีซมันน์ จะย้ายไปอยู่กับ บาร์ซ่า ในซัมเมอร์นี้

    ยักษ์ใหญ่กาตาลันกำลังอยู่ในช่วงเตรียมตัวกับการใช้ชีวิตหลังหมดยุค ซัวเรซ เนื่องจากหัวหอกอุรุกวัยที่กำลังโรยราลงไปเรื่อยน่าจะมองหาบ้านใหม่ในอีก 12 เดือนข้างหน้า

    เมื่อมองไปบนหน้ากระดาษแล้ว กรีซมันน์ ดูจะเป็นตัวแทนที่ยอดเยี่ยม

    แน่นอนว่าเขาอาจเคยเป็นพระเอกในทีมตราหมี แต่ทีมของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ก็มีปรัชญาการทำงานเป็นทีมมากกว่าใช้ความสามารถส่วนบุคคล

    แต่กับที่ บาร์ซ่า กองหน้าแชมป์โลกจะต้องยอมรับในความเหนือกว่าของ เมสซี่ ทว่าช่วงเวลาของเขาในการทำงานกับ 'เอล โชโล่' แสดงให้เห็นถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนในตัวเอง

    กรีซมันน์ จะเป็น ซัวเรซ มากกว่า เนย์มาร์ และมีความหลากหลายพอที่จะเล่นได้ทุกที่ไม่ว่า เมสซี่ จะอยู่เบื้องหน้า หรือตรงกลาง

    ดังนั้น มันช่างน่าสนใจเหลือเกินว่า กรีซมันน์ จะเป็นดีลที่ยอดเยี่ยมสำหรับ บาร์ซ่า จริงหรือไม่?

    และเขาจะสามารถหลบหลีกพิษภัยในเงามืดของ เมสซี่ ได้รึเปล่า?

    พาสต้า