:::     :::

แข้งระดับโลกกับดีลที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น

วันจันทร์ที่ 01 กรกฎาคม 2562 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
5,364
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ในฐานะนักฟุตบอล เชื่อว่าทุกคนหวังที่จะไต่เต้าเพื่อก้าวขึ้นไปเล่นในระดับสุงสุดอย่าง 5 ลีกใหญ่ของยุโรปที่มีแฟนบอลให้ความสนใจไปทั่วโลก

โดยเฉพาะในรายการที่มีเสน์ห์อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รายการชิงแชมป์สโมสรฟุตบอลที่แม้จะเป็นการแข่งขันแค่ในยุโรป แต่ได้รับการยกย่องว่าเป็นทัวร์นาเม้นต์ที่ถือว่าดีที่สุดโลกสำหรับสโมสร

มันคงจะเป็นภาพที่แปลกประหลาดน่าดูหากในช่วงซัมเมอร์ คุณเห็นภาพ ลิโอเนล เมสซี่ โยกไปค้าแข้งในลีกแองโกล่า หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไปเล่นสโมสรในบังกลาเทศ

จริงอยู่กับฟุตบอลสมัยนี้หลายสิ่งหลายอย่างเป็นไปได้ด้วย "เงิน" ทำให้เรามีโอกาสเห็นแข้งดังหลายคนย้ายไปเล่นในลีกจีนพร้อมค่าเหนื่อยที่ติดอันดับต้นๆของโลก หรือในเมเจอร์ลีกที่มีซูเปอร์สตาร์ไปค้าแข้งในช่วงบั้นปลาย รวมถึงที่ญี่ปุ่น

แต่ถ้ามันเป็นอะไรที่แปลกกว่านั้นล่ะ มันจะเป็นยังไงกัน

วันนี้พาไปดูกับแข้งระดับโลกที่ไม่มีใครไม่รู้จัก แต่เลือกไปค้าแข้งกับสโมสรที่ใครหลายคนไม่รู้จักกัน

เอริค เฌมบ้า-เฌมบ้า กับการเป็นนักเตะไร้ค่า (ตัว)


หากไม่บอกหลายคนคงลืมชื่อนี้ไปแล้ว และถ้าหากไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่าปัจจุบัน เอริค เฌมบ้า-เฌมบ้า ยังคงโลดแล่นอยู่ในสังเวียนหญ้าอยู่

อดีตกองกลางทีมชาติแคเมอรูนกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเมื่อทาง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ดึงตัวมาร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2013 จากสโมสรน็องส์ ในฝรั่งเศส แน่นอนว่าทั้งแฟนบอลและเหล่ากูรูในอังกฤษแทบไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร

แต่การเซ็นสัญญานักเตะวัย 22 ปีรายนี้มาสู่ทีม เป้าหมายก็คือการเข้ามาเป็นตัวแทนของ รอย คีน กัปตันทีม "ปีศาจแดง" ในอนาคต

ระยะเวลา 18 เดือนภายใต้ชายคาโอลด์ แทรฟฟอร์ด อย่าว่าแต่จะก้าวขึ้นมาเป็นมิดฟิลด์ตัวแทนโคตรกัปตันพันธุ์ดุ นอกจากโอกาสลงสนามไม่เยอะแล้ว ผลงานเข้าขั้น "ห่วยแตก" จนสุดท้ายโดนขายให้กับ แอสตัน วิลล่า ในปี 2005 หลังลงเล่นให้ทีมในพรีเมียร์ลีกเพียง 20 เกม ยิงประตูไม่ได้เลย หากรวมทุกรายการก็ยิงได้แค่เม็ดเดียวในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่พบกับ พานาธิไนกอส

และนั่นเป็นครั้งล่าสุดที่ เฌมบ้า-เฌมบ้า ย้ายทีมแบบมีค่าตัวเพราะหลังจากนั้นการย้ายทีมแต่ละครั้งจนถึงปัจจุบัน เจ้าตัวย้ายแบบ "ฟรี" มาตลอด

        

ที่วิลล่าก็ถือว่าล้มเหลวก่อนโดน เบิร์นลี่ย์ ยืมตัวไปใช้งาน จากนั้นก็เร่ร่อนไปทั่วกับ กาตาร์ เอสซี ในกาตาร์, โอบี โอเดนเซ่ ในเดนมาร์ก, ฮาโปเอล เทล อาวีฟ ในอิสราเอล, ปาร์ติซาน ในเซอร์เบีย, เซนต์ เมียร์เรน ในสกอตแลนด์, เชนไนยิน ในอินเดีย, เปอร์เซบา ในอินโดนีเซีย, ชาโตบริย็องต์ ในฝรั่งเศส

และล่าสุดกับสโมสรวัลลอร์เบ-บัลไลเกส สโมสรในสวิตเซอร์แลนด์ที่เชื่อว่าแฟนบอลในบ้านเราคงไม่มีใครเคยได้ยินชื่อมาก่อน

นี่คือสโมสรในลีกระดับ 5 ของประเทศ หรือดิวิชั่น 5 นั่นเอง

จากคนที่ได้รับการคาดหมายว่าจะมาเป็นตัวแทนของ รอย คีน สุดท้ายกลายเป็นนักเตะไร้ค่าที่กับสโมสรระดับลีกล่างสุดๆของแดนนาฬิกาก็ยังแทบไม่ได้ลงเล่นเลย

พอล เมอร์สัน ลงสนามในวัย 49 ปี


อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษคนดัง สามารถเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเขาคือ "ตำนาน" ของสโมสรอาร์เซน่อล

หลังค้าแข้งกับ "ปืนใหญ่" มากว่า 300 เกม เจ้าตัวก็เล่นกับหลายสโมสรที่แฟนบอลบ้านเรารู้จักดีอย่าง มิดเดิ้ลสโบรช์, แอสตัน วิลล่า และ พอร์ทสมัธ ก่อนจะลดลงไปเล่นในลีกระดับล่างกับ วอลซอลล์ และ แทมเวิร์ธ ในช่วงวัยที่ทะลุ 38 ปีไปแล้ว

เมอร์สัน ประกาศแขวนสตั๊ดในปี 2006 แต่หลังจากนั้นในปี 2012 เจ้าตัวกลับมาค้าแข้งอีกครั้งกับ วิตตัน แอธเลติก โดยลงเล่นไป 3 เกมยิงไปหนึ่งประตู หลังจากนั้นยังจะไปเล่นกับ เวลส์พูล ทาวน์ สโมสรในเวลส์ โดยมี คริส กามาร่า ที่อยู่ในวัย 55 ปี!

เรียกได้ว่าเหมือนมาเตะบอลเล่นกันมากกว่า

หลังจากนั้นเจ้าตัวก็เลิกเล่น แต่ก็ยังกลับมาลงสนามอีกครั้งกับทีม เคเรา ในดิวิชั่น 3 ของลีกเวลส์ ในปี 2017 โดยลงสนามไปหนึ่งเกมในวัย 49 ปี!

ปัจจุบัน เมอร์สัน ทำหน้าที่เป็นกูรูฟุตบอลของสกาย สปอร์ต ที่แฟนบอลบ้านเราคงคุ้นหน้าและคุ้นเคยกับทรรศนะของเขากันเป็นอย่างดี

เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ กับสโมสรในวัยเด็ก

        

หนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในโลกผ่านประสบการณ์เฝ้าเสามาอย่างโชกโชนทั้งกับสโมสรและทีมชาติ คว้าแชมป์ในการเล่นกับสโมสรเป็นว่าเล่น

อดีตมือกาวคนดังเริ่มต้นเส้นทางอาชีพกับ อาแจ็กซ์ ในปี 1990 โดย 9 ปีในรังอัมสเตอร์ดัม อารีน่า เจ้าตัวคว้าแชมป์เอเรดิวิซี่ 4 สมัย, ดัตช์ คัพ 3 สมัย, ดัตช์ ซูเปอร์ คัพ 3 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยน์ ลีก 1 สมัย, ยูฟ่า คัพ 1 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย และ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพอีก 1 สมัย

จากนั้น ฟาน เดอร์ ซาร์ ย้ายมาเล่นกับ ยูเวนตุส 2 ปี ตามด้วยกับ ฟูแล่ม (ที่ยอมรับตอนหลังคิดผิด) กระทั่งมาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเป็นคนสำคัญช่วยให้ "ปีศาจแดง" ได้โทรฟี่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกมาครองจากการเซฟจุดโทษของ นิโกล่าส์ อเนลก้า ในเกมชิงชนะเลิศกับ เชลซี เมื่อปี 2008


หลังประสบความสำเร็จกับยูไนเต็ด ในปี 2011 ฟาน เดอร์ ซาร์ ประกาศแขวนสตั๊ด แต่หลังจากนั้นในปี 2016 ก็มีเหตุที่เจ้าตัวหวนกลับมาสวมถุงมือเฝ้าเสาอีกครั้ง

แม้หลายคนจะทราบว่า ฟาน เดอร์ ซาร์ แจ้งเกิดมากับ อาแจ็กซ์ แต่ก่อนหน้านั้นเจ้าตัวเคยอยู่กับ วีวี นอร์ดไวค์ สมัยเป็นวัยรุ่นมาก่อน และเมื่อทีมมีปัญหาผู้รักษาประตูมือหนึ่งอย่าง มุสตาฟา อเมซริเน่ บาดเจ็บ อดีตมือกาวปีศาจแดงก็กลับมาเฝ้าเสาอีก "หนึ่งเกม" ในนัดพบกับทีม จอแดน บอยส์ 

เกมดังกล่าว ฟาน เดอร์ ซาร์ เซฟจุดโทษให้ทีมด้วย แต่ก็เสียประตูก่อนผลแข่งขันจะจบลงด้วยการเสมอกันไป 1-1

เอ็ดการ์ ดาวิดส์ ผู้เล่นผู้จัดการทีมนอกลีก

        

ภาพนักฟุตบอลฝีเท้าเยี่ยม เล่นฟุตบอลสไตล์ที่ดุดัน และสวม "แว่นตา" ทุกครั้งยามลงสนาม คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เอ็ดการ์ ดาวิดส์

ใส่เกร็ดเข้าไปสักหน่อยกับสาเหตุที่เจ้าตัวต้องสวมแผ่นมาจากการที่ถูกตรวจพบว่าเป็น "ต้อหิน" สมัยค้าแข้งกับ ยูเวนตุส ซึ่งมันเสี่ยงต่อการที่จะตาบอดได้ ทำให้เจ้าตัวไม่สามารถเล่นฟุตบอลอันเป็นที่รักในแบบปกติได้อีกแล้ว

โชคดีที่ทีมแพทย์พยายามคิดและหาวิธีรักษาดวงตาของ ดาวิดส์ จนในที่สุดก็พบว่าแข้งทีมชาติฮอลแลนด์จะต้องใส่แว่นกันลมทุกครั้งยามลงสนามหากหวังค้าแข้งและรักษาดวงให้คงอยู่ต่อไป ซึ่งแน่นอนว่ามันสร้างความรำคาญแต่สุดท้ายก็ชินและกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ใครก็เลียนแบบยาก

ในชีวิตค้าแข้ง ดาวิดส์ อยู่กับยอดทีมของยุโรปมาตลอดทั้ง อาแจ็กซ์, เอซี มิลาน, ยูเวนตุส, บาร์เซโลน่า, อินเตอร์ มิลาน และ สเปอร์ส กระทั่งช่วงท้ายมาเล่นกับ คริสตัล พาเลซ ระยะสั้นๆ

หลังแขวนสตั๊ดไปในปี 2010 แต่จู่ๆในปี 2012 ดาวิดส์ ก็ประกาศเซ็นสัญญาเป็น "ผู้เล่น-ผู้จัดการทีม" ของสโมสรบาร์เน็ต ทีมในลีก ทูของอังกฤษ พร้อมกับความเท่ห์ที่สวมเสื้อหมายเลข 1 ของสโมสรที่ปกติจะเป็นของผู้รักษาประตูเท่านั้น

แม้จะอายุขึ้นหลัก 40 แต่ ดาวิดส์ ยังไม่ทิ้งลายความดุโดยในเจ้าตัวลงเล่นเกมสุดท้ายของตัวเองเมื่อเดือนธันวาคมปี 2013 ด้วยการถูกใบแดงไล่ออก ขณะที่ทีมพ่าย ซาลิสบิวรี่ 1-2 กระทั่งหนึ่งเดือนให้หลังจะประกาศลงจากตำแหน่งกุนซือไป

ถึงจะไม่ได้ช่วยทีมประสบความสำเร็จอะไร แต่ครั้งหนึ่งสโมสรอย่างบาร์เน็ตก็คุยได้ว่าเคยมียอดแข้งอย่าง เอ็ดการ์ ดาวิดส์ ทั้งเป็นนักเตะและผู้จัดการทีมให้สโมสรมาแล้ว

โซคราเตส ค้าแข้งกับลีกระดับ 9!

        

ถ้าพูดถึงฟุตบอลทีมชาติบราซิล ทุกคนอาจจะนึกถึง เปเล่, โรนัลโด้ หรือ โรนัลดินโญ่ แต่เชื่อได้ว่าไม่มีใครรู้จัก โซคราเตส แน่นอน

ตัวรุกทีมชาติบราซิลที่กดไป 22 ประตูในนามทีมชาติ เป็นกัปตันทัพแซมบ้าในฟุตบอลโลก 1982 และเป็นนักเตะยอดเยี่ยมอเมริกาใต้ในปี 1983 ถือเป็นตัวบอกชั้นดีถึงความยอดเยี่ยมของ โซคราเตส

แม้ความสำเร็จจะมีแค่อันดับ 3 และรองแชมป์ในโกปา อเมริกา แต่ชื่อของเขาก็อยู่ในฮอล ออฟ เฟมของทีมชาติบราซิล ด้วยฝีเท้าสไตล์แซมบ้าที่ใครก็ชื่นชอบ

ตลอดชีวิต 15 ปีในเส้นทางอาชีพ โซคราเตส เล่นกับ โบตาโฟโก้, โครินเธียนส์, ฟิออเรนติน่า, ฟลาเมงโก้ และ ซานโต๊ส ก่อนกลับไปแขวนสตั๊ดกับ โบตาโฟโก้ ในปี 1989

                

ทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติ เลิกเล่น ใช้ชีวิต แต่ทว่าให้หลังอีก 15 ปี, ในปี 2004 โซคราเตส กลับโผล่มาเล่นฟุตบอลอีกครั้งกับสโมสรการ์โฟธ ทาวน์ สโมสรในนอร์ทเธิร์น เคาตี้ส์ อีสต์ ลีก หรือลีกในอันดับ 9 ของอังกฤษเลย

ในวัย 50 ปี, โซคราเตส ลงเล่นให้กับทีมที่มี ไซม่อน คลิฟฟอร์ด ประธานสโมสรการ์โฟธ ทาวน์ซึ่งรู้จักกันเป็นการส่วนตัวในเกมที่พบกับ ทัดแคสเตอร์

แม้ในเกมนั้นจะไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ชื่อของ โซคราเตส ก็เรียกแฟนบอลเข้ามาชมเกมได้ถึง 3,000 คน มากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรเลย


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด