:::     :::

''จิ้งจอก'จะแหวกสู่ท็อปโฟร์ซีซั่นนี้

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม 2562 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
1,935
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
นับตั้งแต่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้กลุ่มทุนจากดูไบเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร ฟุตบอลลีกอังกฤษก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

รวมถึงการที่ สเปอร์ส ยกระดับผลงานของสโมสรขึ้นมา ก็ทำให้คำเรียกหาเหล่าขาใหญ่ประจำพรีเมียร์ลีกจาก "ท็อปโฟร์" ก็กลายเป็น "บิ๊กซิกซ์" แทน

เหล่าทีมชั้นนำของลีกที่ประกอบไปด้วย แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, เชลซี, อาร์เซน่อล และ สเปอร์ส สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปใน 6 อันดับแรกของตาราง

แต่ก็จะมีการสอดแทรกเข้าไปบ้างในบางปี แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถจะยืนระยะกันแบบยาวๆได้


และหนึ่งในนั้นก็คือ เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งไม่ใช่แค่เข้าไปอยู่ในกลุ่มบนของตาราง แต่ผงาดก้าวไปถึงขั้นเป็นแชมป์ลีกชนิดหักปากกาเซียนทุกสำนัก

จากทีมที่ต้องดิ้นรนหนีการตกชั้นในปี 2014/15 กลับไปถึงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกในปี 2015/16 สร้างอีกหนึ่งเทพนิยายของโลกลูกหนังขึ้นมาเป็นกรณีศึกษา

นอกจากความเก่งแล้วยังต้องมีโชคมาผสมด้วยในบางครั้ง ไม่งั้นใครก็คงได้ชูถ้วยแชมป์กันง่ายๆไปแล้ว

ทว่าหลังจากนั้น "สุนัขจิ้งจอก" กลับไม่สามารถยืนระยะได้ แม้กระทั่งติดพื้นที่ฟุตบอลยุโรปก็ยังยาก โดยเฉพาะในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

แต่สำหรับปีนี้ถือว่าน่าสนใจกับการเสริมทีมของ เลสเตอร์ ซิตี้ บวกกับนักเตะที่มีอยู่ น่าจะพอมีโอกาสให้พวกเขาสอดแทรกเข้าไปไม่ใช่แค่อันดับ "บิ๊กซิกซ์" แต่เข้าไปถึงใน "ท็อปโฟร์" เลย

ภายใต้การคุมทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ซึ่งอาจจะไม่ได้ถึงขั้นเป็นกุนซือเกรดเอ แต่ประสบการณ์และฝีไม้ลายมือก็ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาเหมือนกัน


เคยคุมทีมเยาวชนของ เชลซี, พา สวอนซี เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก, เคยนั่งเก้าอี้นายใหญ่ ลิเวอร์พูล และประสบความสำเร็จกับ เซลติก น่าจะเป็นใบเบิกทางได้อยู่

เมื่อมองถึงขุมกำลังของ เลสเตอร์ ซิตี้ ณ ปัจจุบันต้องบอกว่าไม่ขี้เหร่เลย เมื่อมองจากผลงานเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล มือกาวที่ได้รับการยอมรับในเรื่องของการเซฟว่าไม่เป็นรองใคร เชื่อได้เลยเขาจะโดดเด่นไม่แพ้ ดาบิด เด เคอา หรือ อาลีสซง หากได้เล่นกับทีมใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือ ลิเวอร์พูล

แนวรับอาจจะเป็นจุดที่น่าหวั่นใจอยู่เมื่อ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ กองหลังคนสำคัญเตรียมที่จะย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งหากใครเคยได้ดูเซนเตอร์ทีมชาติอังกฤษรายนี้เล่นคงต้องยอมรับว่าครบเครื่อง เล่นเกมรับแข็งแกร่ง, ทางบอลดี, พาบอลขึ้นมาเป็นตัวเปิดเกมได้ และมีทีเด็ดจากลูกตั้งเตะช่วยทีมพังประตูได้ 

งานนี้ต้องดูว่า "สุนัขจิ้งจอก" จะหาใครมาแทน และแกร่งพอที่จะยืนยันต่อกรกับเหล่าบรรดาเกมรุกของคู่แข่งในพรีเมียร์ลีกได้หรือไม่


แบ็คสองข้างทั้ง ริคาร์โด้ เปเรยร่า และ เบน ชิลเวลล์ ได้รับการยอมรับว่าเติมเกมบุกได้มันส์ไม่แพ้คร โดยเฉพาะรายหลังที่เคยมีข่าวว่าหลายทีมใหญ่ของลีกอยากได้ตัวไปร่วมทีม

แดนกลางจะเรียกได้ว่าครบเครื่องมี วิลเฟร็ด เอ็นดีดี้, เจมส์ แมดดิสัน, เดมาไร เกรย์ บวกกับตัวใหม่อย่าง ยูริ ตีเลม็องส์ บวกกับกองหน้าอย่าง เจมี่ วาร์ดี้ พร้อมกับตัวใหม่อย่าง อาโยเซ่ เปเรซ ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย

ด้วยศักยภาพทีมชุดนี้มีซึ่งอาจจะบอกได้ว่าดีกว่าชุดได้แชมป์ด้วยซ้ำ น่าจะทำให้พวกเขาสอดแทรกเหล่าทีมชั้นนำขึ้นไปได้

เบรนดอน ร็อดเจอร์ส แสดงให้เห็นแล้วในการเข้ามาคุมทีมในช่วงฤดูกาลที่ผ่านมาในการจัดการส่วนผสมของทีมที่มีอยู่ให้ลงตัว แตกต่างจาก โคล้ด ปูแอล ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากนักเตะอย่างสูงสุด โดยเฉพาะกองหน้าตัวเก่งอย่าง เจมี่ วาร์ดี้ ที่ดูไม่มีความสุขเอาซะเลยจากแผนการเล่นของนายใหญ่ชาวฝรั่งเศส

แต่กับ ร็อดเจอร์ส นั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง, กับโค้ชที่ได้รับการจับตามองว่าเป็นเทรนเนอร์หนุ่มที่น่าตื่นตาตื่นใจ แม้ว่ากับ ลิเวอร์พูล จะไม่เป็นอย่างหวัง แต่เขาก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับทีมในระดับดับขึ้นมา


แม้ว่าความสำเร็จในลีกสกอตแลนด์จะถูกค่อนขอดอยู่บ้างในเรื่องของการผูกขาดความสำเร็จ หลัง เรนเจอร์ส กำลังอยู่ในช่วงที่ฟื้นตัวขึ้นมา แต่คุณไม่อาจมองข้าม "ทริปเปิ้ลแชมป์" และการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดแดนวิสกี้ติดต่อกัน ก่อนย้ายมาอยู่กับ เลสเตอร์ ซิตี้

แต่ถ้ามองถึงแผนการเล่นล้วนๆ, ร็อดเจอร์ส มีสไตล์ฟุตบอลที่เร้าใจไม่น้อย โดยเฉพาะฟุตบอลริมเส้น รวมถึงการเล่นเกมเร็วตั้งแต่แดนหลัง ซึ่งดูจะเข้ากับ "สุนัขจิ้งจอก" หลังประสบความสำเร็จมาแล้วกับการเล่นแบบนี้

เกมรุกของทีมจะเล่นกันตั้งแต่กองหลังเลย จะเห็นได้ว่านักเตะในทีมเกือบทั้งทีมจะมีส่วนร่วมยามทีมเปิดเกมรุก ซึ่งแข้งทุกคนล้วนรู้หน้าที่ของตัวเองว่าควรจะอยู่ในตำแหน่งไหน จากผลงานของทีมช่วงปลายซีซั่นก่อนซึ่งดูเหมือนว่าจะเริ่มเข้าใจระบบของ ร็อดเจอร์ส แล้ว

มาปีนี้กับการคุมทีมเต็มตัวทั้งฤดูกาลย่อมเป็นอะไรที่น่าสนใจซึ่งแฟนบอล เลสเตอร์ ซิตี้ สามารถฝันถึงการกลับไปเล่นในฟุตบอลยุโรปอีกครั้ง หลังบรรยากาศอันสุดยอดของค่ำคืนแชมเปี้ยนส์ ลีกที่ยังตราตรึงอยู่ในใจแฟนๆทุกคน

        

อีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญและน่าจะเป็นปัจจัยหลักคือการที่เหล่าบรรดา "ท็อปโฟร์" ไม่ได้แกร่งอย่างที่ผ่านมาอีกต่อไป

จริงอยู่ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล อยู่ในมาตรฐานที่สูงกว่าคู่แข่งที่เหลือ และคงไม่ต้องพูดถึงทีมจิ้งจอกสีน้ำเงิน แต่เมื่อเป้าหมายคือ "ท็อปโฟร์" ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

หากวัดจากผลงานในฤดูกาลที่ผ่านมา อีก 4 ทีมที่เหลืออย่าง สเปอร์ส, เชลซี, อาร์เซน่อล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดูจะมีปัญหาในเรื่องของฟอร์มการเล่นอย่างชัดเจน

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังเผชิญคงสงสัยในฝีไม้ลายมือของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ว่ามีดีจริงหรือไม่ หลังออกสตาร์ทได้ดีในช่วงแรกที่เข้ามาแทนที่ โชเซ่ มูรินโญ่ แต่หลังจากนั้นกลับเป็นแย่จนมีการวิพากษ์วิจารณ์กันออกมาอย่างแพร่หลาย

นี่ยังไม่รวมถึงปัญหาในทีมอย่าง ปอล ป็อกบา รวมถึง โรเมลู ลูกากู ที่ยังไม่ได้รับการสะสาง รวมถึงเรื่องสัญญาของ ดาบิด เด เคอา ก็ยังคาราคาซังอยู่ด้วย ส่วนเรื่องการเสริมทีมก็ยังไม่ได้เห็นว่าจะมีแข้งดังที่จะเข้ามาพลิกสถานการณ์ของทีมได้เลย

ส่วน อาร์เซน่อล ช่วงหลังดูเหมือนว่าโอกาสลุ้นแชมป์แทบไม่ได้คิดถึงกันแล้ว แค่ประคองตัวให้ไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกก็ยังยาก จริงอยู่ที่คู่หูกองหน้าอย่าง ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมย็อง และ อเล็กซ็องด์ ลากาแซ็ตต์ ทำได้อย่างยอดเยี่ยม แต่กับตำแหน่งอื่นยังคงเป็นคำถามอยู่ว่าดีพอแล้วหรือยัง


ปัญหาสำคัญอีกอย่างของทัพ "ปืนใหญ่" ก็คือเรื่องของงบประมาณเสริมทัพที่มีแค่ 40-45 ล้านปอนด์ นั่นไม่ใช่วิสัยของทีมที่ลุ้นแชมป์หรือแม้แต่พื้นที่ถ้วยใหญ่ของยุโรปแน่นอน มันน้อยเกินไปจริงๆกับตลาดซื้อ-ขายในยุคปัจจุบันที่พ่อค้าแข้งทั้งหลายค่าตัวพุ่งไปถึงไหนต่อไหน

และแน่นอนว่าเหล่า "กูนเนอร์ส" คงไม่มานั่งรอให้ทีมซื้อดาวรุ่งอายุน้อยมาปั้นให้เก่งเหมือนอย่างสมัยของ อาร์แซน เวนเกอร์ แน่นอน เพราะปัจจุบันทีมจะลุ้นพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีกให้ได้แต่ละปีก็แทบรากเลือดแล้ว

กับ เชลซี เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกครั้งหลัง เมาริซิโอ ซาร์รี่ ที่ถือว่าประสบความสำเร็จแต่ไม่เป็นที่ชื่นชอบในเรื่องของสไตล์การทำทีมจนต้องอำลาทีมไป พร้อมกับแต่งตั้ง แฟร้งค์ แลมพาร์ด เด็กเก่าซึ่งมีประสบการณ์คุมทีมมาแค่ปีเดียวเท่านั้นกับ ดาร์บี้ เคาน์ตี้

แม้ว่าจะพาทีมเข้าถึงเกมชิงตั๋วเพลย์ออฟเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก แต่แค่นี้ดีพอสำหรับการคุมทีมระดับ เชลซี รึเปล่า?


อีกปัญหาสำคัญในเรื่องของตลาดซื้อ-ขายที่ทีมถูกลงโทษแบนและไม่สามารถซื้อใครมาร่วมทีมได้ แถมยังต้องเสียตัวเก่งอย่าง เอแด็น อาซาร์ ไป ดูจะเป็นงานหนักของเทรนเนอร์มือใหม่รายนี้อยู่

สเปอร์ส ดูจะเป็นทีมเดียวที่ยังดูคงสภาพเดิมเอาไว้และอาจจะแกร่งขึ้นอีกจากการเสริมทีมหลังอยู่นิ่งไม่มีใครมาเสริมกว่า 1 ปี แม้จะยังคลุมเครืออยู่กับอนาคตของ คริสเตียน เอริคเซ่น ที่อยากจะย้ายทีมเหลือเกิน

แต่การที่ทีมยังมี เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ นั่งเก้าอี้นายใหญ่น่าจะยังพอเป็นตัวชูโรงให้นักเตะมีความไว้วางใจรวมถึงคุ้นเคยหลังร่วมงานกันมานาน

3 จาก 4 ทีมในกลุ่มพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาอยู่ และอาจจะต่อเนื่องไปจนถึงฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งน่าจะเป็นอีกปีที่คาดกันว่าตำแหน่งของ "บิ๊กซิกซ์" อาจจะเกิดการสั่นคลอนได้เหมือนกัน

ฤดูกาล 2019/20 อาจจะเป็นอีกครั้งที่ เลสเตอร์ ซิตี้ อาจจะสร้าง "ปาฏิหาริย์" ขึ้นอีกครั้ง แม้อาจจะไม่ถึงขั้นก้าวไปคว้าแชมป์ แต่กับพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อาจจะไม่ไกลเกินไป


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด