:::     :::

ปากคำของอลันสมิธต่อโรนัลโด้ และช่วงเวลาตั้งไข่ที่แมนยูไนเต็ด

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2562 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
5,633
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
จากปากคำของเพื่อนร่วมทีมอย่างสมัดเจอร์ และมุมมองของเขาที่มีต่อโรนัลโด้ในช่วงเวลาแรกๆที่แมนยูไนเต็ดนั้น รวมถึงจากโค้ชและคู่แข่งด้วย

ในเกมการแข่งขันอันเป็นที่น่าจดจำระหว่างแมนยูไนเต็ดกับอาร์เซนอล ฤดูกาล2004/2005 คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กดคนเดียว2ลูก ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของประตูทั้งหมดที่ทีมยิงได้และเอาชนะไอ้ปืนใหญ่คาบ้าน หลังจากที่ยิงได้ เขาก็ทำมือจุ๊ปากเพื่อส่งภาษากายตอกแฟนบอลเจ้าบ้านให้เงียบๆไป

โรนัลโด้ : "ซรื้อทู้กอย่าง ที้Shopeeeee"

"พูดถึงความสามารถที่ยอดเยี่ยมของเขา สำหรับผมแล้วนั้น ผมจำได้มันคือตอนที่เราแพ้จุดโทษในเอฟเอคัพรอบชิงปี2005กับอาร์เซนอล เกมนั้นผมเป็นตัวสำรอง แต่เมื่อคุณลองมองย้อนกลับไปดูผลงานของเขานั้น เขาโคตรจะโดดเด่นมากๆเลย บางทีมันอาจจะเป็นสิ่งที่มอบความเชื่อมั่นในตัวเขาเองที่ทำให้ก้าวต่อไปข้างหน้า และสามารถเป็นอะไรก็ได้ตามที่เขาอยากจะเป็น  ซึ่งในการที่เห็นเขาดวลสู้กับแอชลีย์ โคล ทำให้คุณรู้สึกเชื่อแบบนั้นล่ะ"

อลัน สมิธ อดีตกองหน้าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกล่าวเอาไว้

สมัดเจอร์ และ คริสตี้

โรนัลโด้ได้ลงสนามทั้งหมด 42นัด ทั้งในพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนส์ลีก ของฤดูกาล 2004/05 เขายิงในลีกไปได้5ประตู แต่ในขณะนั้น เชลซีของโจเซ่ มูรินโญ่ ก็ได้แชมป์ลีกไปครอง ส่วนยูไนเต็ดตามอยู่ห่างมากในอันดับ3 และก็กระเด็นตกรอบจากบอลยุโรปด้วยเพียงแค่รอบ16ทีมสุดท้าย

ฤดูกาลที่สองของโรนัลโด้นั้นก็ยังไม่มีความมั่นคงแน่นอน เขาถูกโหวตรางวัลFIFPROพิเศษในตำแหน่งดาวรุ่งแห่งปีจากการโหวตของแฟนบอล แต่ว่าเขาก็ยังไม่สามารถยึดตำแหน่งนักเตะตัวจริงคนสำคัญของทีมได้อยู่ดี และทุกอย่างก็ยิ่งแย่ลงในปี 2005/06

อลัน สมิธตอบมาด้วยรอยยิ้มตอนที่กล่าวเรื่องที่เขาได้รับแอสซิสต์จากโรนัลโด้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นจาก70กว่าแมตช์

"สำหรับการเล่นปีกแล้ว เขาแทบจะไม่ค่อยครอสบอลมาให้หรอก แต่คุณก็เข้าใจแหละว่า เขานั้นจะมอบอะไรให้กับทีมได้บ้าง เขานั้นสามารถดวลได้ทีเดียวสอง สาม หรือสี่คนเบื้องหน้าเขาได้ และจากนั้นเขาก็จะดีดลูกบอลส่งต่อให้คนอื่น"

ช่างเป็นคู่ที่น่าจิ้นอะไรเช่นนี้

ความหลงใหลที่มากที่สุดอันดับหนึ่งของโรนัลโด้คือเรื่องฟุตบอล อันดับสองคือการเลี้ยง

"เวลาที่คุณยังเป็นหนุ่มๆอยู่นั้น คนเราก็มักอยากจะโดดเด่น เล่นท่ายากๆในการเคลื่อนที่หรือเลี้ยงบอล หรือบางอย่างที่ทำให้คุณนั้นแตกต่างไปจากคนอื่นๆนอกจากเรา  มันคือสไตล์ของผม มันคือชีวิตผม"  โรนัลโด้กล่าวเอาไว้

กับความสูงที่เกือบๆ190เซ็นติเมตร เขาสนุกสนานกับการใช้สปีดในการวิ่งแซงยาวๆใส่คู่ต่อสู้ ในตอนนั้นโรนัลโด้เล่นตำแหน่งปีกทั้งสองด้านอยู่ แม้เขาจะได้รับโอกาสให้เจิดจรัสอยู่บ่อยครั้งในการทำประตูเป็นสไตรค์เกอร์ตัวที่สอง หรือเป็นฟอร์เวิร์ดตัวกลางในตอนฝึกซ้อม เหมือนกับการอยู่กับอะคาเดมี่ที่สปอร์ตติ้ง ที่เขาเป็นปีกที่มีจิตวิญญาณกระหายของจอมพังประตู

"ดูดวิชาจากกูไปตั้งเยอะทำคุย" โอเล่ กุนนาร์ โซลชา มีรูปคู่กับโด้เฉยๆและไม่ได้กล่าวเอาไว้เช่นนี้

ในระยะหลังเขารักที่จะอยู่กับการเฝ้าทำประตู แม้ว่าในแรกเริ่ม เฟอร์กูสันเองก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะยิงได้เป็นกอบเป็นกำเช่นนั้น แต่ในทางตรงกันข้าม คาร์ลอส เคย์รอซ เชื่อมั่นเสมอว่า บริเวณกรอบเขตโทษ สุดท้ายแล้วจะเป็นพื้นที่อันตรายของเขา

"มันคงไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาที่จะวิ่งสปรินท์ทีนึง 20 80เมตรในเกมแข่งขัน เมื่อเวลาผ่านไป พอเขาอายุ28-29 ผมมั่นใจว่าเขาจะกลายเป็นกองหน้าขนานแท้แน่ๆ"

เคย์รอซยังชี้ว่าเขาเองก็ลำบากที่ต้องชี้ให้เห็นความคิดนี้เรื่องโด้(กับการยิงประตู)ให้เห็นเช่นกัน

"เขาไม่ชอบจะเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้าหลักของทีม"

เคย์รอซ : ทำไมเอาแต่ใจตัวเองจังลูก / โด้ : ก็มันเป็นมายสตาวล์ยาว8เมตร

ทีมจะรับมือยังไงเพื่อหยุดยั้งปีกจอมพริ้วคนนี้ให้ได้ผู้ซึ่งมีศักยภาพมหาศาล และจะก่อกวนแนวรับคู่ต่อสู้ให้เจอปัญหาหนักหน่วงทุกครั้งที่เขามีพื้นที่เล่น

"คุณต้องเข้าไปประชิดตัวเขาให้มากที่สุด อย่าให้เขาได้มีเวลาคิด และได้เล่นกับฟุตบอล จะทำให้ง่ายขึ้นถ้าอยากจะหยุดเขา" ชาบี้ อลองโซ่ วิเคราะห์เอาไว้ ชายผู้ซึ่งได้เผชิญหน้ากับปีกชาวโปรตุเกสผู้นี้มาทั้งในสถานะของนักเตะลิเวอร์พูล และนักเตะทีมมชาติสเปน

"เมื่อคุณดวลตัวต่อตัวกับเขา มันก็จะมีอยู่สองทางนั่นแหละ ไม่ไปทางขวาก็ไปทางซ้าย ดังนั้นคุณจะต้องบีบให้เขาเหลือพื้นที่จะไปน้อยที่สุด ขั้นตอนเช่นนี้ทำก็เพื่อจะช่วยกับทางฟูลแบ็คเวลาที่ต้องเจอเขาเล่นปีก แต่สุดท้ายเขาก็จะพิฆาตคุณด้วยพละกำลังที่จะต่อต้านออกมาจากร่างกายเขา การวิ่งอย่างไม่หยุดยั้งของเขามันจะทำให้คุณเหนื่อยทั้งสมองและขาเลยทีเดียว"

คุณชาย VS เจ็ทโด้

ทั้งหมดด้านบนนี้คือการแปลถอดความออกมาแบบเต็มๆ จากส่วนหนึ่งของหนังสือ Cristiano Ronaldo The Biography โดยนักเขียนและนักข่าวชาวสเปน Guillem Balagué นั่นเอง ซึ่งดึงออกมาสั้นๆเพียงแค่สามหน้า ในหน้า 164 ถึง 166 จากบทที่สี่ของหนังสือที่มีชื่อว่า Flourishing in Manchester (เฟื่องฟูในแมนเชสเตอร์)

โดยที่เรื่องราวส่วนใหญ่ก็จะเล่าถึงช่วงชีวิตของCR7 ตอนที่ขณะนั้น ก็ยังไม่ได้มีชื่อCR7ด้วยซ้ำ ยังคงเป็น "โด้จิ๋ว" ของเหล่าแฟนบอลปีศาจแดงชาวไทยอยู่เลย หากใครจะยังจำกันได้ (เชื่อว่านักข่าว นักหนังสือพิมพ์ยุคนั้นก็คงลำบาก เวลาจะทำข่าวทีนึงเพราะชื่อดันไปเหมือน R9เป๊ะ เลยจำเป็นต้องมีเอกลักษณ์จุดจำหน่อยเพื่อให้เข้าใจแยกกันว่าคนละคน) บทความนี้ย้อนรำลึกไปถึงอดีตแมตช์คลาสสิคที่เอาชนะอาร์เซนอล 4-2 ซึ่งเป็นนัดเดียวที่มีช็อตต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ในอุโมงค์ที่รอยคีนฟาดปากกับวิเอร่า ก่อนที่ในเกม ไรอันกิ๊กส์จะทั้งยิง ทั้งจ่ายสองแอสซิสต์เต็มๆให้กับโรนัลโด้คนเดียว  

ในเกมนั้นประตูสุดท้ายยังเป็นลูกชิพฟ้าประทานของจอห์น โอเชีย ที่เราไม่อยากกล่าวถึงในบทความเพราะกลัวแม่งแย่งซีน!

เห็นมั้ย มันมาลงจุดคั่นพารากราฟพอดี ตูต้องลงรูปเอ็งจนได้ นี่มันบทความโรนัลโด้นะเฟ้ย!!!

นอกจากนั้นเราจะเห็นได้ว่านี่คือมุมมองของอลัน สมิธ เพื่อนร่วมทีมระยะสั้นๆของโรนัลโด้ ซึ่งโด้เข้าทีมมาก่อนสมิธซะอีก1ปี และสมิธก็ออกจากทีมไปก่อนโด้2ปี คือออกไปตอนก่อนทีมเราจะได้แชมป์ยุโรปสมัยที่3นั่นแหละ  แต่ภาพของวีรกรรมในการขยี้โรม่า 7-1 จากอลันสมิธและผองเพื่อนในแชมเปี้ยนส์ลีก ก็ประทับใจและเป็นที่จดจำไม่ต่างกัน

แม้ว่าทั้งสองคนจะมีโอกาสเล่นร่วมกันไม่มากนักเพราะสมิธเองก็อยู่ในสถานะกองหน้าสำรองที่มีทั้งรุด และรูนีย์ยึดตัวจริงอยู่ เขาเข้ามาในสถานะของตัวแทนดิเอโก้ ฟอร์ลัน แต่สุดท้ายแล้วด้วยความจำเป็นในการใช้งาน สมิธที่มีความทุ่มเทและความบ้าระห่ำอยู่ในตัวสูง จึงถูกนำไปใช้งานในฐานะมิดฟิลด์ตัวรับซะอีก ดังนั้นเรื่องการประสานงานของเขากับโด้จึงมีโมเมนต์ด้วยกันน้อยมากอย่างที่ในหนังสือบอกไว้ว่า สมิธได้แค่แอสซิสต์เดียวจากโด้เท่านั้น (ฮา) อย่างที่เขาบอกไปว่า ปีกเบอร์7รายนี้ก็ไม่ค่อยจะครอสบอลมาให้เท่าไหร่หรอก เพราะเขาก็มักจะใช้วิธีลากเลื้อยวิ่งแข่ง เอาชนะคู่ต่อสู้ มากกว่าที่จะเป็นwingerที่เน้นการครอสบอลเหมือนสไตล์ของเดวิด เบ็คแฮม ดังนั้นสมิธจะได้บอลจากเขาน้อยก็ไม่แปลก

และยิ่งไม่แปลกอะไรเลยกับแชมป์ "บอลชายเดี่ยว" ประจำโอลด์แทรฟฟอร์ดช่วงขวบปีแรกๆ 2003-2005รายนั้น!

ไอ้หล่อสองตัวนี้นะ ถ้ามาเล่นด้วยกันยุคนี้รับรอง หญิงเชียร์แมนยูกันทั้งโลก พูดเลย

ส่วนนอกจากนี้ก็ยังมีมุมมองของคาร์ลอส เคย์รอซ ที่มองเห็นศักยภาพของโด้ในการที่เขาจะกลายเป็นเครื่องจักรถล่มประตูในอนาคต คืออันนี้แม่นจริงไรจริง เพราะสุดท้ายแล้วโรนัลโด้ก็คือStrikerระดับตำนานโลกอีกคน แถมจากอดีตจนถึงตอนนี้34แล้ว เจ้าตัวก็ยังไม่อยากจะเล่นกองหน้าตัวเป้าอยู่ดี ยังคงชอบที่จะเล่นด้านข้าง และมีพื้นที่ให้จู่โจมแบบเดิมไม่ต่างกับตอนหนุ่มเลย

เป็นเรื่องราวสมัยอดีตที่ถอดความโดยตรงไม่มีผิดเพี้ยนแก้ไขไปจากหนังสือต้นฉบับของ Guillem Balagué ใครสนใจจะอ่านมากกว่านี้อีกลองไปหาตามร้านหนังสือต่างประเทศดูอาจจะยังมีขายอยู่ หายากหน่อย รายละเอียดเพียบอ่านไม่หมดแน่ๆ สำหรับแฟนผีก็มีเรื่องราวสมัยอยู่แมนยูไนเต็ดข้างในนั้นเยอะ เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่รู้ อย่างเช่นเรื่องนี้ที่แปลมาเช่นกันก็ถือว่าเป็นการเปิดเผยมุมมองเพื่อนร่วมทีม โค้ช และคู่แข่งออกมาได้อย่างเห็นภาพมากๆ

ทั้งโรนัลโด้และอลันสมิธ คือตำนานแมนยูไนเต็ดที่ยังอยู่ในดวงใจตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม

และวันนี้ที่อัพบทความ (16 สิงหาคม) เมื่อปี2003 ก็คือวันเปิดตัววันแรกของเจ้าของหมายเลข7คนใหม่คนนั้น กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และสร้างตำนานเลื้อยสยองโลกให้คงอยู่จนถึงทุกวันนี้

CR7... RED LEGEND

-ศาลาผี-

source : Guillem Balagué, Cristiano Ronaldo The Biography(2016) Fully Updated. P.164-166

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด