:::     :::

ชัยชนะบนกองศพ "ทีมเวิร์คเกมรุก"คือสิ่งที่ไม่พบจากปีศาจแดง

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2562 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
4,061
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
แม้จะเอาตัวรอดเก็บชัยชนะมาได้ แต่สิ่งที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแสดงออกมากลับมีแต่เรื่องน่ากังวล โดยเฉพาะจุดอ่อนสำคัญของเกมรุกที่เห็นได้ชัด

เกมพรีเมียร์ลีกนัดที่5 จบสิ้นลงไปแล้วกับชัยชนะของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่เฉือนจิ้งจอกเลสเตอร์ซิตี้ไป 1 ประตูต่อ 0 จากการยิงจุดโทษของมาร์คัส แรชฟอร์ด เก็บสามแต้มเต็ม ขึ้นมามี8คะแนน จากทั้งหมดที่ควรเก็บได้15แต้ม  เราทำแต้มหายไป7คะแนนเต็มๆ จากการแข่งเพียงแค่5นัดเท่านั้น ซึ่งเป็นช่องโหว่มหาศาลที่ทีมระดับท็อปโฟร์ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ เพราะไม่อย่างนั้นการเก็บคะแนนไปเรื่อยๆ ช่วงท้ายฤดูกาลจะลำบากมาก ดังนั้น5นัดที่ผ่านมา กับผลงานชนะ2นัด(เหย้าทั้งคู่) เสมอ2(เยือน) และแพ้คาบ้าน1 ก็ถือว่าเป็นผลงานที่ไม่น่าพอใจเท่าไหร่ในสายตาของแฟนบอลที่ตั้งความหวังเอาไว้ว่า อยากให้ทีมจบอันดับ1-4เพื่อลุ้นพื้นที่ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลหน้า

แต่ในความเป็นจริงก็คือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนั้น ไม่มีอะไรใกล้เคียงและดีพอจะสามารถไปลุ้นพื้นที่ตรงนั้นได้เลยแม้แต่นิดเดียว ถึงขนาดว่า เอาแค่อันดับไปเล่นยูโรป้าลีกปีหน้า ยังต้องคิดแล้วคิดอีกเลยว่า มันจะยังได้ไปอยู่เหรอ(วะ) ในเมื่อฟอร์มการเล่นที่ออกมา มันไม่ได้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งอะไรเลยของทีม แต่กลับยิ่งเห็นจุดอ่อนเพิ่มมากขึ้นๆเรื่อยๆ อย่างที่แฟนบอลทราบกัน หากว่าติดตามกันโดยตลอดคงจะรู้กันดีว่า ผมพูดถึงอะไร


มีมากมายหลายประเด็นที่ต้องคุยเลยว่า เราอ่อนด้านอะไรบ้าง ถ้าให้ร่ายยาวทีเดียวคงไม่หมดแน่ เกริ่นๆเรื่องเดียวเลยก็คือ ข้อสงสัยในการคุมทีมของโซลชา ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามต่อแฟนบอลสายวิเคราะห์อย่างเราๆท่านๆที่นั่งอ่านบทความอันนี้กันอยู่ว่า โซลชามีฝีมือดีพอหรือไม่ที่จะคุมทีมเรา และทิศทางเป็นยังไงบ้าง เท่าที่เห็นก็คือ

-เน้นทีมเด็กวัยรุ่น อายุน้อย ปั้นรออนาคต

-ระบบ 4-2-3-1

-ใช้เด็กสหราชอาณาจักร

ตอนนี้ที่เหลืออยู่ มีแค่นี้ เพราะเรื่องอื่นๆก็เริ่มหายไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแทคติกใช้การเพรสซิ่งใส่คู่ต่อสู้ + เกมสวนกลับ counter attackอันรวดเร็วและอันตราย เกมเค้าท์เตอร์นี่ไม่เห็นนานมากแล้วเพราะคู่แข่งจับทางได้หมด ส่วนเรื่องเพรสซิ่งก็งูๆปลาๆ ไม่มีประสิทธิภาพสักเท่าไหร่

สำคัญสุดอีกอันนึงก็คือ เรื่องที่ว่า "โซลชาสร้างทีมแบบไม่มีทรงบอลเลย"


ก่อนจะไปถึงตรงนั้นต้องถามก่อนว่า ทรงบอลคืออะไร?  มันมีอยู่จริงหรือไม่ ..

ถ้าถามความเห็นเบื้องต้น ทรงบอลมันคือ "รูปแบบของวิธีการเล่นที่ชัดเจนและใช้งานได้ผลอย่างเป็นระบบ"

ถามว่า วิธีการเล่นของแมนยูคือรูปแบบไหนในตอนนี้ จนกระทั่งถึงเกมล่าสุด ผมพูดตรงๆว่า ผมตอบไม่ได้ เพราะมัน"ไม่มีทรง"

ไม่ว่าจะเป็นเกมเน้นการครองบอล ค่อยๆหาช่องเจาะ(แบบยุคฟานกัล) ก็ไม่ใช่ เพราะทีมไม่เล่นครองบอลเหมือนแมนซิตี้เลย

หรือจะเป็นสายเกมบุกรวดเร็ว ดุดันแบบ direct footballของลิเวอร์พูล ถามว่าทีมเราเล่นบอลไดเร็คต์ไหม  ก็ไม่อีก

หรือจะเป็นบอลริมเส้น เน้นการจู่โจมจากปีก ก็ไม่ชัดเจน / เน้นบอลโด่ง ทีมเล่นลูกกลางอากาศ นี่ก็ไม่ใช่

สรุปแมนยูไนเต็ดเป็นทีมที่เล่นยังไง บอกเลยว่า ตอบไม่ได้


ซึ่งการตอบไม่ได้นี่แหละโคตรอันตราย เพราะมันแปลว่า เราไม่มีรูปแบบการเล่นที่ชัดเจนแน่นอนเลยว่า เราใช้ "วิธี" แบบไหนในการบุกจู่โจมใส่คู่ต่อสู้ ซึ่งทั้งหมดด้านบนที่ร่ายมา มันคือรูปแบบ "วิธี" ที่ีทีมอื่นๆปกติทั่วโลกเขาใช้กัน แตกต่างกันที่คุณภาพการเล่นของแต่ละทีม  แต่แมนยูไนเต็ดในตอนนี้ ไม่มีรูปแบบอะไรให้เห็นเลย ค่อนข้างน่าเป็นห่วงจริงๆ  และก็นั่นแหละ มันย้อนกลับไปที่ตัวของโอเล่ว่า เขาจะพาแมนยูไนเต็ดอยู่รอดจนจบฤดูกาลได้หรือไม่ กับบอลที่ไม่มีทรงแบบนี้  และนี่ยังไม่รวมประเด็นของ "การแก้เกม" ในเชิงแทคติกอีกที่หลายคนจี้จุดอ่อนเอาไว้  ถ้าให้พูดถึงวันนี้ทีเดียวสงสัย10หน้ากระดาษไม่จบแน่ๆ

ดังนั้นวันนี้จึงอยากจะขอหยิบเอาเรื่องหนึ่งที่เป็นข้อสังเกตที่ผมเห็นอย่างชัดเจนจากการแข่งนัดก่อนๆที่แล้วมา รวมถึงนัดนี้ด้วย ว่าการเล่นของเรามันมีปัญหาที่ด้านไหน จากการที่ได้ดูทีมใหญ่ทีมอื่นๆเล่น เป็นตัวเปรียบเทียบชัดเจนว่า สิ่งที่เราขาดคืออะไร ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ขอประมวลให้เห็นภาพใหญ่ก่อน จากนัดที่เพิ่งชนะเลสเตอร์มาเมื่อวาน สิ่งที่เราขาดอยู่ชัดเจนสองด้านใหญ่ๆที่มีปัญหาคือ

1.เกมรุกง่อยกระรอกสุดๆ

2.แดนกลางก็ครองเกม ตั้งบอลไม่ได้

ส่วนการเล่นพาร์ทที่ปลอดภัยเกมที่ผ่านมา คือแนวแผงแบ็คโฟร์3ใน4ตัว แมกไกวร์ บิสซาก้า เลิฟ(ครึ่งหลัง) รวมถึงเดเคอาด้วยที่ทำได้ดี และไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่นักในเรื่องนี้


ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็ออกมาสอดคล้องกับปัญหาที่ผมชี้ไว้นี่แหละ จะเห็นได้ง่ายๆก็คือ ทีมเรามีปัญญายิงเขาแค่1ลูก แถมเป็นลูกจากจุดโทษที่ได้รับอีก เกมโอเพ่นเพลย์นี่แทบจะไม่มีอะไรหวาดเสียวเลย  ลูกใกล้เคียงก็มีอีกสองฟรีคิกเท่านั้น นอกนั้นก็คือความสามารถเฉพาะตัวของแดนเจมส์ล้วนๆ ดังนั้นไอ้ที่มีปัญญายิงได้แค่1ประตูเนี่ย มันชัดเจนว่า เกมรุกเราห่วยสุดๆเพียงใด นั่นคือปัญหาจุดแรก

ส่วนปัญหาจุดที่สอง เรื่องกลางสนามที่ครองเกม ตั้งเกมบุกสู้ทางเลสเตอร์ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ข้อนี้เป็นปัญหาทางด้านแผงมิดฟิลด์เช่นเดิม หลังจากขาดป็อกบาไปก็ดูจะอาการหนักกว่าเดิมอีกที่ต้องส่งเนมันย่า มาติช ลงมาโชว์ฟอร์มย่ำแย่ให้เราได้เห็น  สิ่งที่เกิดขึ้นคือแมนยูมีปัญหามากๆ ต่อบอล รักษาการครอบครองเอาไว้ไม่ดีเลย แม้สถิติเชิงตัวเลขอาจจะดูไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่เห็นอยู่กับตาแฟนบอล มันชัดเจนมากว่า กองกลางเราเล่นกันแย่จริงๆ มีเพียงแม็คโทมิเนย์คนเดียวเท่านั้นที่วิ่งแบกคนเดียวทั่วทั้งสนาม นอกนั้นเละเทะหมดทั้งมาติช มาต้า ไม่มีคนช่วยเขาเลย


จากทั้งหมดสองข้อที่กล่าวมา ซึ่งก็เป็นปัญหาเดิมๆที่อยู่กับเรามาตลอดทุกนัด ไม่ใช่แค่เป็นนัดเลสเตอร์ วันนี้ผมอยากจะโฟกัสหนึ่งเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนมากๆ นั่นก็คือ ปัญหาของเกมรุกว่า ทีมเรานั้นขาดอะไร บกพร่องที่ตรงไหนถึงได้เล่นกันย่ำแย่ และยิงกันยากเย็นแสนเข็ญกันขนาดนี้ทุกนัด ในขณะที่ทีมอื่นๆ ระเบิดถังส้วมกันกระจุยแทบทุกนัดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่ตื่นขึ้นมาแล้วต้องลืมตาก่อนเป็นอย่างแรกนั่นแหละ

ผมพบว่าจุดอ่อนเกมรุกของเรา มันคือเรื่องของการขาด "ทีมเวิร์คในเกมรุก"

ผมเห็นเรื่องนี้ชัดเจนมากๆจากการได้นั่งดูลิเวอร์พูลเล่น(ฮา) จริงๆเรื่องนี้เคยเขียนในบทความ และรีวิวหลังเกมอยู่บ่อยมาก แต่ยังไม่ได้ขยี้ให้เห็นชัดเจนว่ามันมีปัญหาจริงๆ  วันนี้จะดึงมาให้เห็นชัดเจนว่า เพราะอะไร

เริ่มแรกจากการที่ได้นั่งดูทีมอื่น ดูคู่แข่ง คู่ต่อสู้เค้าเล่นกันนั้น ผมรู้สึกว่า มันช่างแตกต่างจากการเล่นของเกมรุกทีมเราเหลือเกิน ตอนนี้เราบุกกันสะเปะสะปะมากๆ ระดับคุณภาพการเล่นรุกของเรา ผมรู้สึกว่ามันไปคนละทิศคนละทาง และการเชื่อมเกม การเล่นด้วยกันแบบ"เป็นทีม" นั้นน้อยมาก เหมือนคนที่ไม่ค่อยได้ซ้อมร่วมกัน ไม่ได้ฝึกการประสานงานร่วมกันมา

เพราะที่เห็นก็คือ นักเตะแมนยูแต่ละคน ต่างคนต่างเล่นเป็นส่วนใหญ่

ได้บอลมาปุ๊บ ที่เราเห็นบ่อยครั้งก็คือ การตัดสินใจแรกของactionในเพลย์การเล่นนั้นๆคือ "การพยายามที่จะไปด้วยตัวเอง" พยายามจะเลี้ยงเอาชนะ / แหวกคู่ต่อสู้ให้ได้ก่อน  และพอเอาชนะไปได้ จึงค่อยคิดที่จะมองหาเพื่อน แล้วค่อยส่งในจังหวะถัดไป


บ่อยครั้งมันจึงเป็นภาพที่ แรชฟอร์ดลากๆๆๆแล้วก็โดนแซะเสียบอล / ลินการ์ดลากๆๆๆๆ ลากเข้าไปกลางดงตีนแล้วก็เสียบอลง่ายๆ / เปเรร่าที่แรงปะทะเยอะกว่ามาต้านิดเดียว ลากๆๆแล้วก็ทำอะไรสร้างสรรค์ไม่ได้ สุดท้ายเสียบอล

ตัวรุกคนที่ไม่เห็นแก่ตัว และมักจะมองเพื่อนก่อนเป็นช็อตแรกทุกครั้งนั้น มันคือ "ฆวน มาต้า" ที่ทัศนคติ และวิธีคิดในการเล่นดีอยู่คนเดียวในแผงเกมรุก  แต่.... ทัศนคติที่ว่า มันจมอยู่กับความเชื่องช้าในการเล่น และสปีดการวิ่ง การเลี้ยงที่ช้า อันไม่สามารถจะเอาชนะตัวประกอบ หรือแนวป้องกันคู่ต่อสู้ได้  ครั้นจะจ่ายให้เพื่อน ก็ไม่มีใครมาเล่นกับเขาเลย  ตัวที่เข้าขากันก็ย้ายออกไปแล้ว (ฮา)  มาต้าจึงเป็นตัวรุกคนเดียวในทีมที่ผมเห็นว่า เล่นมีทีมเวิร์คมากที่สุด แต่สภาพร่างกายเขาไม่พอสำหรับเกมรุกที่มีประสิทธิภาพในการเอาชนะคู่แข่งแล้ว

สิ่งที่ผมเห็นเป็นประจำเวลาดูแมนยูบุก ก็มักเป็นรูปแบบนี้ อย่างที่บอก คือภาพซ้ำเดิมๆของ แรชฟอร์ด ลินการ์ด มาร์กซิยาล ที่พยายามใช้ความสามารถเฉพาะตัว เอาชนะคู่ต่อสู้ บางทีมันก็ลากผ่านได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักไปตายด่านสุดท้าย เสียบอลอีกแบบที่ไม่ได้ประโยชน์อะไร

เพราะเมื่อไปด้วยตัวเอง แล้วเสียบอล นั่นแปลว่า มันคือการจบจังหวะเกมรุกของเราทันที โดยที่ยังไม่ทันได้จ่ายบอลให้เชื่อมไปสู่เพื่อนได้เล่นต่อ ที่เขาอาจจะมีช่องที่ดีกว่าด้วยซ้ำ แต่น้องๆเราเล่นบอลชายเดี่ยวกันเยอะ สิ่งที่เกิดขึ้นมันจึงเป็นแบบนั้น คือพยายามฝืนเอาชนะให้ได้ สุดท้ายก็เสียบอล


แม้กระทั่งแดเนียลเจมส์เอง ก็มีการเล่นที่พึ่งพาความสามารถเฉพาะตัวมากอยู่เช่นกัน แต่สิ่งที่เจมส์ เหนือกว่าคนอื่นๆอย่าง แรช หมาก ลิน ไปแล้วนั่นก็คือ  การเล่นเกมรุกของเขาตอนนี้มันใช้งานได้จริง

1.ความสามารถเฉพาะตัวเขาของจริงที่สามารถเลี้ยงจี้ วิ่งแซง และเอาชนะคู่ต่อสู้ได้

2.แต่กระนั้นเอง การเล่นร่วมกับทีมของ แดนเจมส์ ก็ยังอยู่ในขั้นที่น่าพอใจ เมื่อได้เห็นเขาจ่ายบอลง่ายๆ เล่นชิ่ง1-2แล้ววิ่งจู่โจมริมเส้น  เราเห็นได้บ่อยๆ

จึงไม่แปลกที่ แดเนียล เจมส์ จะเล่นได้ดูดีมีมาตรฐานที่สุดในบรรดาตัวรุกทุกคนของแมนยูไนเต็ดขณะนี้


เขียนมาถึงตรงนี้หวังว่าทุกคนจะมองภาพออก และถ้ายังไม่ชัด ลองนึกย้อนไปเลยว่า นานแค่ไหน กี่สิบนัดแล้วที่ ประตูของพวกเรานั้น ไม่มีลูกประเภท "วิ่งต่อบอลเป็นทีมเวิร์คสวยๆเข้าจู่โจมจากจังหวะโอเพ่นเพลย์" นึกดู ไม่มีแบบนั้นนานมากแล้วที่ทำประตูได้  อย่าว่าแต่ประตูเลย  จะเห็นพวกมันเอามาเล่นระหว่างเกม ยังไม่มีให้เห็นเลย

ภาพเดิมๆก็คือ แรช หมาก ลิน ลากๆๆๆคนเดียวแล้วเสียบอล!

ที่ได้มาหลายๆครั้งก็เป็นบอลฉาบฉวยจู่โจมในเขตโทษ แล้วได้จุดโทษก็เยอะ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นรูปแบบของ "ทีมเวิร์คในเกมรุก" เลยแม้แต่น้อย

ผมว่า ปัญหานี้โคตรน่ากลัว และอันตรายว่า ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป แม้แต่อันดับ6เราก็รักษาไว้ไม่ได้

เรื่องของ "ทีมเวิร์คเกมรุก" ที่ว่านี้ ทำไมถึงดูผู้เขียนกังวลมาก  นั่นก็เพราะว่า มันสะท้อนถึง "คุณภาพ" ในการเล่นน่ะสิว่า มีมากน้อยแค่ไหน  อย่าลืมว่า ฟุตบอลคือกีฬาที่ต้องเน้นทีมเวิร์คเป็นหลัก  มันคือการทำงานร่วมกันเป็นทีม และช่วยกันเล่น ช่วยกันหาจังหวะต่อบอลเข้าไปทำประตูให้ได้ บอลประเภทที่ว่า ต่างคนต่างเล่น มากกว่าเน้นทีมเวิร์ค มันไม่แปลกเลยถ้าจะถูกหยุดได้ หากคุณพยายามใช้แต่ความสามารถเฉพาะตัวอย่างเดียว

เรื่องนี้ผมอยากให้เรา ยอมรับสภาพ และหันไปดูการเล่นของ ทีมใหญ่ทีมอื่นๆบ้าง (ไม่กล้าใช้คำว่าคู่แข่งแล้ว เพราะเราไม่ใช่ผู้ท้าชิงอีกต่อไปละ)


— แมนเชสเตอร์ซิตี้

ถึงแม้จะเพิ่งแพ้ปุ๊กกี้ อะชะละละละล่า มาเมื่อวาน(ฮา) แต่เปรียบให้เห็นภาพ เราจะเห็นว่า เกมบุกของแมนซิ คือตัวแทนที่ดีที่สุดของการเล่นที่ทรงอานุภาพของคำว่า "ทีมเวิร์คเกมรุก" เมื่อการให้บอลเร็ว และเคลื่อนที่จู่โจมช่องว่างตลอดเวลา มันคือตัวอย่างของการเล่นร่วมกันที่ดีมากๆ 

กล่าวคือ แมนซิตี้นั้นเอาจริงๆแล้ว ความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะแต่ละคน อยู่ในระดับworld class แทบทั้งสิ้น ทุกตัว พูดง่ายๆคือพวกนี้สามารถเอาจับมาลงแข่งบอลชายเดี่ยวกันได้สบายๆเลย เพราะเก่งจัดๆทุกคนอยู่แล้ว  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในการเล่นคือ คุณภาพเหล่านั้น พวกเขาเอามาใช้ "ร่วมกัน" ในแบบของทีมเวิร์ค การต่อบอล ความเร็วในการเล่น การวิ่งเจาะโซนเกมรับ และความคมในจังหวะสุดท้าย เกิดจากทั้งความสามารถเฉพาะตัว และการเล่นร่วมกันของทุกๆคนในแนวรุก


— ลิเวอร์พูล

ส่วนคู่กัดตลอดกาลของเรานั้น เกมรุกของพวกเขาสะท้อนรูปแบบที่ชัดเจนของการ "สามประสานแดนหน้า" ได้ชัดมากๆ ซึ่งเป็นรูปแบบที่ทีมใหญ่ๆในโลกปัจจุบันใช้กัน นั่นก็คือ ตัวรุกระดับพระกาฬแนวด้านหน้าสามตัว เล่นด้วยกัน ตัวอย่งก็เช่น MSNของบาซ่า(เมื่อก่อน) / BBC ของเรอัลมาดริด เป็นต้น  และหนึ่งในสามนั้น มันก็คือ SMF แนวรุกหินเหล็กไฟของลิเวอร์พูล S ซาล่าห์ปลาเผา/ M มาเน่จอมพังประตู และ F ฟีมีร์โน่ของน้องเบียร์นั่นเอง

สามคนนี้ของลิเวอร์พูลสะท้อนอะไรให้เราเห็น? คำตอบก็คือ รูปแบบของทีมเวิร์คด้าน "ความเข้าขากันของจังหวะการเล่นและเซนส์บอลที่เท่าเทียมกัน" นั่นเอง  จะต่างจากแมนซิตี้นิดหน่อย ตรงที่เรือใบจะเน้นการครองบอล ต่อบอลสั้นหลายจังหวะจากทุกจุดในสนาม แล้วหาช่องจู่โจมเรื่อยๆ  แต่ทางลิเวอร์พูลจะใช้บอลเร็ว บอลไดเร็คต์เล่นงานศัตรูบ่อยๆ และสิ่งที่สำคัญของบอลแบบนี้ มันคือการ "เล่นร่วมกัน" ของตัวรุกสามตัวอย่างที่บอก

ถึงใครจะบอกว่า มาเน่กับซาลาห์เล่นไม่เข้ากันนี่ ลืมๆมันไปซะ เป็นแค่กระแสข่าว เพราะก็เห็นๆอยู่ว่าพวกเขายังทำเกม เล่นด้วยกันได้อยู่ตลอด อาจจะมีบางจังหวะพลาดบ้าง เห็นแก่ตัวยิงเองไม่จ่ายบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ผิดพลาดบางครั้ง แต่โดยทั่วไปนั้น สิ่งที่ผมชอบของทั้งสามคนคือ การเล่นร่วมกันมันเข้าขา และจังหวะตรงกันมากๆ

โดยเฉพาะเรื่องของ Sense และ Timing การเล่น


คุณจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สามคนนี้ (โดยเฉพาะจอมซัพอย่างฟีโน่) มีคอนเนคชั่นที่ดีด้านของจังหวะการเล่น คือแต่ละคน รู้ว่าจะต้อง "จ่ายไปจุดไหน" สำหรับคนจ่าย และรู้ว่าจะต้อง "วิ่งไปตรงไหน" สำหรับคนวิ่ง

และจุดร่วมกันก็คือ ทั้งสองฝ่ายรู้ได้ด้วยเซนส์ว่า  "เมื่อไหร่" ที่จังหวะ(จ่าย/วิ่ง) นั้นจะเกิดขึ้น  ซึ่งนี่คือเรื่องของtimingการเล่น การจ่ายบอล การวิ่งไปรับในพื้นที่ว่าง

ถ้าหากจะมีโอกาส อยากให้ย้อนกลับไปดูเน้นที่ประตูที่2เป็นหลักเลยจะเห็นชัดมาก (ประตูแรกก็ใช่นะ เป็นทีมเวิร์คเหมือนกัน) จะเห็นได้ว่า ฟีโน่ตัดบอลมาได้ เขามองเพื่อนทันที และทางด้านตัววิ่งอย่างมาเน่ โคตรของโคตรเตรียมพร้อม เพราะว่า วินาทีที่ฟีโน่ตัดบอลได้ มันคือวินาทีเดียวเป๊ะกับที่มาเน่ เริ่มเกร็งขาสปีดต้นออกตัววิ่งทันที (ซาล่าเองก็วิ่งดึงตัวประกบทางขวาเช่นกัน)

โดยที่ไม่ต้องคิดเยอะ เขามองเห็นเพื่อนวิ่ง รู้กันได้ด้วยเซนส์ทันทีว่า ช่องไหน และจะต้องแทงไปจังหวะไหน!

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเฉียบคมสุดๆ จนทำให้เกิดคิลเลอร์พาสทะลุช่องให้มาเน่หลุดไปเดี่ยวๆผู้รักษาประตู ที่แม้จะยิงไม่ได้ในจังหวะแรก แต่ก็เข้าไปกดดันจนโกลพลาดและได้ประตูในที่สุด  การเล่นช็อตนี้ของคู่ฟีมีร์โน่ กับ มาเน่ คือที่สุดของทีมเวิร์คการ "ประสานงานเล่นร่วมกัน" ของตัวรุกแล้ว

เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นเปรียบเทียบกับแมนยูไนเต็ดได้เป็นอย่างดีว่า เราไม่มีแบบนี้เลย

ต้องยอมกัดฟันแคปมาให้เห็นกันจะจะ

โอเค เราอาจจะเห็นมันบ้างจากป็อกบา กับ แรชฟอร์ด แต่มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง หากลองพิจารณาดีๆ ที่บอกกันว่า เราเน้นเกมสวนกลับ เกมเค้าเตอร์ก็จริง แต่การเล่นในพื้นที่เปิดเวลาได้บอลสวน นอกถึงสภาพของตัวรุกเรา มันไม่สามารถเล่นแบบเดียวกันกับ SMF ได้  เพราะไลน์ประสานกันของตัวรุกเรามันต่อบอลกันได้ห่วยมากๆจริงๆ จังหวะการจ่ายบอลบางครั้งก็ช้า(timing)  จ่ายบอลบางทีก็ย้อนหลัง ไม่รู้กัน ไม่เข้ากันกับเพื่อนบ้าง(sense) จะเห็นได้ว่ามันต่างกันกับของลิเวอร์พูลอย่างชัดเจนเลย  ข้อเปรียบเทียบ ข้อแตกต่างมันจึงมากอย่างเห็นได้ชัด

ย้อนกลับมาที่แดเนียล เจมส์   อย่างที่กล่าวไปว่า น้องมีทั้ง ความสามารถเฉพาะตัว ที่เอาชนะคู่แข่งได้ และน้องมีเซนส์การเล่นเป็นทีมเวิร์คที่ "เป็นธรรมชาติ" เล่นง่ายๆ ไม่ฝืน ไปได้ก็ลองไป ไปไม่ได้ก็จ่ายเพื่อน

ไม่รู้ทำไมนะ เมื่อคืนดูน้องเจมส์เล่น แล้วผมเห็นภาพขึ้นมาในใจระหว่างแข่งว่า เด็กคนนี้ ฝีเท้าและเซนส์การเล่นแบบนี้ ถ้าเขามีเพื่อนร่วมทีมที่เล่นเข้าขากัน  คนอย่างเจมส์สามารถไปทดแทนอยู่ในทีมลิเวอร์พูล เล่นกับตัวรุกสามประสานอย่าง ฟีมีโน่ ซาล่า มาเน่ ได้สบายๆเลย 


การเล่นเกมรุกของทั้งสองทีมนี้เป็นตัวอย่างที่ดี ยังไม่ต้องรวมไปถึง ซอน เคน มูร่า ของสเปอร์ และ เมื่อวาน แทมมี่จากเชลซี ที่โชว์พลังทำลายขั้นสุดยอดของแฮททริกอันทรงคุณภาพจากความสามารถเจ้าตัว + เกมบุกที่มีตัวสนับสนุนทีมเวิร์คจัดๆจากเม้าท์/วิลเลียน  ขยี้คู่แข่งสุดหินของแมนยูอย่างวูล์ฟไป5เม็ดเหนาะๆ  นั่นแปลว่า แมนยูที่ทำได้แค่เจ๊าลูกเดียวนั้น มันมีเกมบุกกากขนาดไหนถ้าเทียบกับเชลซี

ทุกทีมที่ว่ามานี้ มีการเล่นเกมรุกที่ดีทั้งสิ้น และไม่มีทีมไหนที่ "เน้นการใช้ความสามารถเฉพาะตัว" เอาชนะไปได้ด้วยตัวคนเดียวเลยสักทีม  ทุกทีมล้วนแล้วแต่มีระบบการเล่นที่ดีทั้งนั้น โดยเฉพาะลิเวอร์พูลเอง ที่ถึงแม้จะบอกว่า เป็นทีมเวิร์คสามประสานแดนหน้า  แต่ในความเป็นจริง ถ้าใครได้ศึกษาและดูบ่อยจริงๆ จะรู้ว่า เกมบุกของลิเวอร์พูลมีทีมเวิร์คที่รวมเอาการเติมเกมของ แบ็คทั้งสองข้าง ขึ้นมากดดันคู่ต่อสู้อย่างโหดเหี้ยมด้วย ซึ่งนั่นแปลว่า ลิพูไม่ได้ใช้ตัวรุกในเกมบุกแค่3คนอย่างที่ใครๆเข้าใจ แต่ในความเป็นจริงคือ พวกเขา "บุกทั้งทีม"  ขึ้นมากันทั้งแผง 

คิดเอาละกันว่า ฟานไดค์โอกาสยิงยังเยอะกว่าแรชฟอร์ดของเราเลย ให้ตายเหอะ! (เข้ากรอบเท่ากันด้วย ไอ้บ้าเอ๊ย)

ไปหาสถิติมาให้เห็นกันแบบจะจะเลย เป็นไงชัดไหม

และทั้งหมดนี้ก็คือ "ส่วนหนึ่ง" เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นของปัญหาความย่ำแย่ในการเล่นเกมบุกของแมนยูไนเต็ด นั่นก็คือเรื่องของทีมเวิร์คอย่างเดียวที่พูดถึง จริงๆแล้วเกมบุกของแมนยูก็มีปัญหาอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเติมของแบ็คที่ยังทำได้ไม่ถึงจุด / การปั้นเกม สร้างสรรค์เกมจากแดนกลางที่ไม่มีเลยชนิดที่เรียกว่า เป็น "0" อย่างแท้จริง เมื่อเราพยายามใช้แผนที่ยึดโยงกับกลางรุก แต่กลับไม่มีกลางรุกดีๆใช้ (ก็ไม่เข้าใจโอเล่เหมือนกัน)  นอกจากนี้ยังไม่รวมถึงคุณภาพของตัวนักเตะ ที่แม้จะเป็นตัวหลัก แต่ฟอร์มการเล่นของแรชฟอร์ด ลินการ์ดพวกนี้ ยังคงไม่ดีพอจะเป็นตัวรุกหลักให้กับทีมเราได้  อย่างที่บอกไปแล้วว่า ตอนนี้คนที่ดีที่สุดคือ แดเนียล เจมส์ ถ้าหากว่า เจมส์ได้คนร่วมเล่นด้วยในแดนหน้าที่ดีกว่าแรช ลิน หมาก ถ้าได้คนที่สร้างสรรค์เกมบุกได้ดีกว่านี้(นึกถึง ฮร เคน เป็นต้น)

เห็นไหมว่า เขียนไปเขียนมา จุดอ่อนที่ต้องแก้ไข แม่งเยอะซะจนผู้เขียน เหนื่อยที่จะพิมพ์แล้ว เพราะมันมีเพียบและร่ายได้ยืดยาวมาก งั้นเอาเป็นว่า จบบทความตรงนี้ไปเลยละกัน  วันนี้เอาแค่เรื่องเดียวที่ชัดที่สุดและผมว่า มันคือปัญหาใหญ่สุดที่แมนยูที่ต้องรีบแก้ไข นั่นก็คือเกมรุกที่ไม่มีทีมเวิร์คของเรานี่ละครับ

และสุดท้าย วิธีการแก้ไขเรื่องนี้เบื้องต้นแบบเฉพาะหน้า นอกจากจะให้มันไปซ้อมทีมเวิร์คร่วมกันให้เยอะกว่าเดิมแล้วนั้น อีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหา "การขาดทีมเวิร์คเกมบุกในบทความนี้" ของเราได้ นั่นคือหาคนที่จะมา"เชื่อมเกมรุก" เข้าด้วยกันเป็นแผ่นเดียวกันนั่นแหละ ที่เราขาด  นี่คือเหตุผลสำคัญมากที่สุดที่ทำให้เกมรุกเรามันไม่เข้ากันเช่นนี้ และคนเชื่อมที่ว่านั่น มันก็เข้าอีหรอบเดิมนั่นแหละ... ย้อนกลับไปคิดถึงบรูโน่เมื่อตอนตลาดยังเปิดอยู่ และมองไปถึงฝีเท้ายอดเยี่ยมของกลางรุกพันธุ์หมาบ้าจากเกมล่าสุดอย่าง"maddog" James Maddison แล้วนั้น..

เราจำเป็นต้องมีกลางรุกชั้นดีเข้าทีมอย่างเร่งด่วนที่สุด!!!

-ศาลาผี-

นุ้งแร๊ด : ไม่มีทีมเวิร์คอะไรว้า มั๊วมั่ว เราออกจะสนิทกันจะตาย / นังลิน : ช่ายช่าย ทีมเวิร์คดีแบบนี้ เล่นด้วยกันยาวๆนะแกร อิดอก ยึดกลางรุกยาวปายยย

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})