:::     :::

ทั้งชนะ... ทั้งคลีนชีต

วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
1,647
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
วีกนี้คงเป็นสัปดาห์ที่แฟนบอล เชลซี มีความสุขมากที่สุดหลังจากที่ต้องเผชิญหน้ากับช่วงเวลาแห่งความอึดอัดมาตลอดตั้งแต่เปิดฉากซีซั่นนี้

เปิดหัวด้วยการพ่ายยับต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, พ่ายแพ้ในการดวลจุดโทษในเกมชิงถ้วยยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ, มีปัญหาจากการเล่นในบ้านที่ไม่ชนะสักที, ประเดิมเกมแรกในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกด้วยการแพ้คารังอีก และที่สำคัญก็คือการเสียประตูมาทุกเกม

ไม่เว้นแม้แต่เกมกับทีมรองบ่อนอย่าง กริมสบี้ ในคาราบาว คัพ ที่ทีมคว้าชัยชนะอย่างสวยงาม 7-1 ก็ยังไม่วายโดนเจาะตาข่าย

แต่ในเกมพรีเมียร์ลีกนัดล่าสุดกับการคว้าชัยในบ้านเป็นเกมแรกในเกมลีกภายใต้การคุมทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ยังเป็นเกมแรกที่ทีมสามารถรักษาคลีนชีตได้อีกด้วย


สิ่งที่ต้องบอกคือชัยชนะเหนือ ไบรท์ตัน 2-0 ในเกมเมื่อวันเสาร์ ไม่ได้มาแบบง่ายๆหรือโชคช่วย แต่เป็นการร่วมกันเล่นและจากการวางแผนของนายใหญ่

เพราะจากผลงานในครึ่งแรกต้องยอมรับว่า "สิงห์บลูส์" ไม่ได้เหนือกว่าผู้มาเยือนเลย แม้จะมีโอกาสพังประตูไม่น้อยแต่ไร้ซึ่งความเด็ดขาด

ทว่าการแก้เกมในครึ่งหลังนี่แหละที่ทำให้ทีมได้ประตูในที่สุด แน่นอนว่าต้องยกความดีความชอบให้กับการแก้เกมของ แลมพาร์ด แต่ลองเจาะลึกไปลงไปว่ามีจุดไหนบ้าง

นักเตะสองคนจากเกมบอลถ้วยกลางสัปดาห์อย่าง มาร์กอส อลอนโซ่ (โดนเปลี่ยนตัว) และ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ได้ลงสนามต่อ โดยเฉพาะรายหลังที่เล่นมาเต็ม 90 นาที ยังได้รับความไว้วางใจให้ลงเล่นต่อ ซึ่งถือว่าพอเข้าใจได้เพราะแบ็กซ้ายมีปัญหา ส่วนแดนกลาง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ยังมีอาการบาดเจ็บ แม้ว่าจะมี มาเตโอ โควาชิช อยู่อีกคนก็ตาม


เกมครึ่งแรกทีมอาจจะมีโอกาสพังประตูมากมาย แต่ถ้ามองจากภาพรวมแล้วทีมไม่ได้ครองเกมอย่างเบ็ดเสร็จ ทำให้การบุกไม่ได้ต่อเนื่องเท่าที่ควร อาจจะมีเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่นั่นยังไม่เพียงพอสำหรับการเจาะตาข่ายผู้มาเยือน แม้จะมีจังหวะโหม่งของ แทมมี่ อบราฮัม ที่ชนเสา, ลูกยิงของ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ที่ติดเซฟ

แต่การที่เกมสามารถยืดหยุ่นได้โดยเฉพาะในระบบการเล่น ซึ่งดูผิวเผินจะเล่นในระบบ 4-3-3 หรือปรับเป็น 4-2-3-1 แต่เห็นได้ชัดว่า จอร์จินโญ่ ยืนลึกลงไปหน้าแผงหลังมากกว่าปกติ ทำให้ทีมสามารถปรับอีกรูปแบบที่ 4-1-4-1

อีกอย่างคือการบีบเกมสูงจนนำมาซึ่งจุดโทษในช่วงต้นครึ่งแรกที่ อดัม เว็บสเตอร์ ไปช้าโดน เมสัน เมาท์ ที่รออยู่แล้วโฉบเข้ามาจนสุดท้ายเสียจุดโทษก่อนที่ จอร์จินโญ่ จะสังหารเข้าไป


แม้จะได้ประตูขึ้นนำแต่ทีมก็ยังไม่ได้เหนือกว่ามากนัก นำมาซึ่งการเปลี่ยนตัวอย่าง คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ที่ลงเล่นแทน เปโดร โรดรีเกซ ที่ทำงานหนักวิ่งมาตลอด อีกคนก็คือ มาเตโอ โควาชิช แทน รอสส์ บาร์คลี่ย์ ที่ดูล้าลงไป

การแก้เกมครั้งนี้ทำให้เกมของทีมดีขึ้นทันตาและกลับมาครองเกมอีกครั้ง และทีมก็ได้ประตูที่สองจากการทำเกมขึ้นมาของ ฮัดสัน-โอดอย ที่ไหลให้ วิลเลี่ยน ที่ยิงแฉลบ แดน เบิร์น เข้าไป

ในแดนกลาง โควาชิช ลงมาคุมจังหวะทำให้เกมของทีมมีช้า-มีเร็ว ที่สำคัญคือเล่นบอลง่าย ไม่มีเสี่ยงทำให้การครอบครองบอลของทีมดีขึ้น


ตลอดทั้งเกม เชลซี หาโอกาสทำประตูได้ถึง 24 หน โดยมี 10 ครั้งที่เข้ากรอบ พร้อมกับสถิติครองบอล 52% อาจจะไม่มากนักเพราะทุกครั้งที่ได้บอลทีมจะลุยใส่ทันทีไม่มีการต่อบอลไปมาให้เสียอารมณ์ 

จอร์จินโญ่ ดูจะเล่นอย่างมีความสุขมากขึ้นหลังแฟนบอลเริ่มเอาใจช่วยหลังจากที่ถูกมองว่าเป็นลูกรักของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ มิดฟิลด์ทีมชาติอิตาลีแสดงให้เห็นว่าการย้ายมาค้าแข้งในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยแต่เพราะจากฝีเท้า

การกำกับเกมของเขาช่วยให้ เมสัน เมาท์ และ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ทะยานไปข้างหน้าได้อย่างไม่ต้องกังวล เพราะนอกจากจะคุมเกมดี การอ่านเกมก็ยอดเยี่ยมพร้อมกับมีลูกบู๊แย่งบอลกลับมาให้เพื่อนได้อีกด้วย

เชลซี เล่นแบบไม่มีผ่อน ทุกครั้งที่ได้บอลทีมจะพยายามหาโอกาสพังประตูอยู่เสมอ นั่นคือจุดแข็งที่บีบให้ผู้มาเยือนไม่กล้าเติมเกมสูง และเมื่อตัดเกมได้ก็มักจะเสียบอลกลับมาอยู่เสมอ

        

การบีบเกมสูงอยู่ตลอดนี่แหละที่นำมาซึ่งประตูแรกของทีมในเกมนี้ กดดันคู่แข่ง ถ้าเตะบอลทิ้งก็โดนบุกกลับมา หากเสี่ยงต่อบอลหน้าประตูหรือในเขตโทษตัวเองก็มีโอกาสโดนฉกและเสียประตูซึ่งเกมนี้ทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ทำได้สำเร็จเป็นอย่างดี

อีกจุดที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือเกมรับที่ในที่สุดก็รักษาคลีนชีตได้สักทีในฤดูกาลนี้

การขาด อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ที่เจ็บถือว่าส่งผลอย่างชัดเจน ในขณะที่คนที่ลงเล่นแทนอย่าง คูร์ท ซูม่า ดูจะมีข้อผิดพลาดอยู่พอสมควร

ในที่สุด แลมพาร์ด ก็กล้าที่จะให้ ฟิคาโน่ โทโมรี่ ลงสนาม และเจ้าตัวก็ไม่ทำให้ผิดหวังกลายเป็นคนสำคัญในแนวรับของทีมไปแล้วในตอนนี้

โทโมรี่ เรียกได้ว่าเป็น "ม้านอกสายตา" ที่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะเป็นตัวหลัก เพราะหากจะไล่เรียงลำดับเซนเตอร์ รือดิเกอร์ คงเป็นเบอร์หนึ่งของทีม ตามด้วย อันเดรียส คริสเตนเซ่น และ ซูม่า ส่วน โทโมรี่ คงรั้งท้าย


แต่นายใหญ่ชาวอังกฤษกล้าเดิมพันกับเด็กและสิ่งที่ได้รับกลับมาก็ต้องบอกว่าคุ้มค่าเหลือเกิน

ในเกมนี้การประสานงานกับ คริสเตนเซ่น ก็ทำได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากลูกบนภาคพื้นดิน กองหลังเชลซียังทำได้ดีในการป้องกันลูกกลางอากาศ ซึ่งคนสำคัญก็ต้องยกให้คู่เซนเตอร์ เพราะคนอื่นๆในทีมไม่ได้มีจุดเด่นในเรื่องนี้เท่าไรนัก

ถือเป็นสัญญาณที่ดีในหลายๆด้านของ เชลซี ทั้งเรื่องของผลงาน, การแก้เกม, นักเตะที่เจ็บค่อยๆกลับมา และความมั่นใจจากชัยชนะในบ้านสองเกมติดต่อกัน


11 แต้มจาก 7 เกมอาจจะดูน้อยไปหน่อย แต่แนวโน้มของทีมดูจะดีขึ้นเรื่อยๆ กับปัจจุบันที่ขึ้นมารั้งอันดับ 6 ของตารางแล้ว

ต่อจากนี้ทีมมีเกมสำคัญสองนัดรออยู่ก่อนพักเบรกทีมชาติทั้งการเยือน ลีลล์ ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกหลังเกมแรกพ่ายคารังให้กับ บาเลนเซีย และเยือน เซาธ์แฮมป์ตัน ในพรีเมียร์ลีก

โมเมนตัมกำลังมาแบบนี้หากชนะได้ทั้งสองนัดก็คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงเกินไปมั้ง


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด