:::     :::

"ใต้อุโมงค์แห่งตำนาน"ของสองปีศาจแห่งยุคสมัย.. รอย คีน VS วิเอร่า

วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
6,519
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เรื่องราวการปะทะกันของสองปีศาจกัปตันทีมคู่แข่งแย่งแชมป์ที่เก่งกาจที่สุดของยุค90s ..คีน วิเอร่า และเหล่าพยานจะเปิดเผยเรื่องราวฟาดปากกันในอุโมงค์ที่ว่า

พวกเขาทั้งสองคนต่างเป็นหัวใจหลักของยอดทีมทั้งสองแห่งเกาะอังกฤษร่วมสิบปี แต่มีช่วงเวลาหนึ่งเดียวกันที่ติดอยู่ในความทรงจำของเหล่าแฟนฟุตบอล

กีฬาชกมวยมี Ali กับ Frazier วงการเทนนิสมี Borg กับ McEnroe แต่ฟุตบอลมี Keane กับ Vieira

พวกเขาต่างแขวนสตั๊ดมาเป็นเวลานานแล้ว แต่แฟนแมนยูและแฟนอาร์เซอนอลต่างก็คร่ำครวญโหยหาต่อความเป็นจริงที่ว่า พวกเขาไม่มีนักเตะอย่างรอย คีน กับปาทริค วิเอร่าอีกต่อไป

ชายผู้เป็นสัญลักษณ์ของสโมสรทั้งคู่ ทั้งคีนและวิเอร่าต่างก็ห้ำหั่นกันมาหลายศึกหลายคราในสนาม ทั้งที่ไฮบิวรี่และโอลด์แทรฟฟอร์ด แต่ศึกที่ไม่มีใครลืมนั้นกลับเป็นสงครามที่อยู่นอกสนามมากกว่า

ในช่วงปลายทศวรรษ 1990s ถึงต้น 2000s ความเป็นปรปักษ์กันระหว่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและอาร์เซนอลกลายเป็นหนึ่งในภาพจำของพรีเมียร์ลีก และชายสองคนนี้ก็สู้รบกันมาอย่างยาวนาน

พวกเขาเผชิญหน้ากันหลายครั้งในการปะทะกันอย่างดุเดือด แต่ครั้งที่น่าจดจำมากที่สุดระหว่างคีนกับวิเอร่า เกิดขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ปี2005ที่สนามเหย้าเก่าของอาร์เซนอลนั่นก็คือ "Highbury" นั่นเอง

สนามสุดคลาสสิคที่แม้แต่แฟนผีอย่างเราก็ยังรักมัน

โทรทัศน์และกล้องถ่ายภาพอยู่ถูกที่ถูกเวลาและจับภาพเหตุการณ์นี้ได้พอดี กล้องส่องเข้าไปถ่ายในอุโมงค์อันคับแคบของสนามไฮบิวรี่ เห็นรอยคีนที่กำลังหงุดหงิดกับอะไรบางอย่างที่วิเอร่าพูด ในขณะที่กรรมการผู้ตัดสินอย่างเกรแฮม โพลล์พยายามระงับเหตุแยกทั้งสองฝ่ายและหยุดการเข้าไปปะทะกันนั้น แต่คีนไม่ได้ออกความเห็นของเขา

จากนั้นเพื่อนร่วมทีมของวิเอร่าอย่าง ปาสคาล ซีกอง และ เดนนิส เบิร์กแคมป์ได้นำตัวเขาออกไปจากจุดเกิดเหตุนั้น ในขณะที่รอยคีนพยายามแหวกฝูงคนตรงนั้นตามเข้าไป แล้วตะโกนใส่กัปตันทีมอาร์เซนอลอย่างเดือดดาลว่า

"มึงออกไปเจอกับกูในสนามเลย เดี๋ยวรู้แน่"

แล้วคีนก็ถูกบอกให้สงบสติอารมณ์โดยโพลล์ ผู้ซึ่งบอกให้เขาใจเย็นๆลงหน่อยก่อนลงไปในสนาม 

ช็อตการจะเอาเรื่องเพื่อปกป้องลูกทีมของคีนในตำนาน

ต่อมาในภายหลังถึงได้รู้ความจริงว่า ที่คีนโมโหนั้นเขาบอกว่าเป็นเพราะแกรี่ เนวิลล์ถูกข่มเหงกลั่นแกล้ง ซึ่งแกรี่ก็ได้เปิดเผยมันกับSoccer AMเมื่อไม่นานมานี้

"ผมได้ยินเสียงฝีเท้าตามมาจากด้านหลังของผม และวิเอร่าก็ตะโกน เฮ่ย เนวิลล์ เนวิลล์! คืนนี้มึงจะไม่ได้เตะพวกกูอีกแล้วล่ะ"

เนวิลล์เล่าย้อนความทรงจำ

"รอยหันขวับมาเลยทันทีที่ได้ยินแล้วพุ่งเข้าไปหาเลย เขา(วิเอร่า)บีบขวดน้ำสาดไปใส่รอยคีน จากนั้นก็นั่นละครับ นรกแตก"


"ผมแค่รู้สึกว่าพวกเขาข่มเหงแกรี่"  คีนเผยความรู้สึกในหนังสือของเขา The Second Half

"ผมไม่คิดว่าไอ้แบบนั้นเรียกว่าแค่ขู่ขวัญนะ มันคือการข่มเหงกลั่นแกล้งกันต่างหาก"

แล้วรอยก็เสริมอีกว่า

"ผมอยู่ที่นั่นก็แค่เพื่อทำงานของผม ลงสนามไป หาทางเอาชนะ เสร็จแล้วก็จบ แต่ตอนนั้นมันเหมือนยังกะสังเวียนชกมวยแน่ะ มีชั่งน้ำหนัก ตั้งโต๊ะแถลงข่าว ซึ่งผู้คนก็ลืมๆเรื่องพวกนี้ไปบ้าง แต่ที่นั่นเราจะล่อกันจริงๆ มันคือการต่อสู้ของจริง"

"ในปัจจุบันนี้ฟุตบอลอาจจะขาดพลังงานแบบนั้นไปบ้าง พวกความเข้มข้น เกมตึงเครียดๆ แต่หลายปีหลังจากนั้นผู้คนก็เอาเรื่องอุโมงค์เรื่องนี้ขึ้นมาพูดถึงกันบ้าง และพวกเขาก็ไม่จำผลการแข่งขันนัดนั้นเลยด้วยซ้ำ"

Arsenal 2-4 Manchester United (เกมพรีเมียร์ลีก วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2005)

No word is needed

ก็เป็นเช่นดังที่คีนตั้งข้อสังเกตไว้ เวลาผู้คนระลึกถึงเหตุการณ์อุโมงค์อันโด่งดังเรื่องนี้ ส่วนใหญ่แล้วเขาแทบจะไม่ได้จำเกมนั้นกันเลยจริงๆ ความตึงเครียดเกินจุดทะลักเดือดก่อนเริ่มเตะ ทำให้มันกลายเป็นความคลาสสิคในความเป็นปรปักษ์กันระหว่างทั้งสองทีม และในที่สุดมันก็ได้ปลดปล่อยออกมาใส่กันในที่สุด

เพียงแค่8นาทีผ่านไป วิเอร่าที่นำทีมอาร์เซนอลและเกมดูดีเหมือนว่าวันนี้มันน่าจะเป็นวันของเขาในการบดขยี้ปีศาจแดง เขาเองกดประตูขึ้นนำให้กับไอ้ปืนใหญ่ แต่10นาทีหลังจากนั้น ในนาทีที่18 กลับเป็นยูไนเต็ดที่ตอบโต้กลับมาด้วยประตูของ ไรอัน กิ๊กส์ (รูนีย์แอสซิสต์)

อาร์เซนอลขึ้นนำอีกครั้งก่อนพักครึ่งด้วยการจบสกอร์ของเบิร์กแคมป์ หมดครึ่งแรกอาร์เซนอลนำแมนยูไนเต็ด 2-1

แต่อย่างไรก็ตาม โมเมนตัมทุกอย่างก็ย้ายมาอยู่ฝั่งปีศาจแดง ด้วยเวลาเพียงแค่สิบกว่านาทีในครึ่งหลัง เจ้าหนุ่มน้อยคริสเตียโน่ โรนัลโด้ก็เบิ้ลประตูสองเม็ดรวดทำให้พวกเขาขึ้นนำแทน (นาที 54 / 58)

ทุกสนามที่เด็กหนุ่มผู้นี้ไป มักจะจบลงด้วยความเงียบของแฟนเจ้าถิ่นเสมอ นัดนี้ก็เช่นกัน ยิงปุ๊บเรียกตีนปั๊บ!

เด็กๆของอเล็กซ์ เฟอร์กูสันทำได้ดีกว่าและควบคุมสถานการณ์ได้ แต่เมื่อเกมเหลือ20นาทีสุดท้าย นาทีที่69พวกเขาเหลือแค่10คนจากการโดนไล่ออกของมิคาเอล ซิลแวสต์ที่เฮดบัตต์ปะทะกับยุงเบิร์ก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ยันเอาไว้อยู่ และมาตอกตะปูปิดฝาโลงในนาทีสุดท้ายของเกม เมื่อตัวสำรองที่ลงมาอย่าง จอห์น โอเช หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปเนียนๆจากความอัจฉริยะของพอล โสคลส์ จากนั้นโอเชก็โชว์ลูก "ชิพ-หาย" กระดกข้ามหัวอัลมูเนียไปแบบนิ่มๆประหนึ่งเป็นคันโตน่ากลับชาติมาเกิดใหม่ยังไงยังงั้น ทำให้ผู้มาเยือนเอาชนะไปได้ในที่สุดด้วยสกอร์ 2-4

ชายผู้ลอดดากฟิโก้มาแล้ว ลูกชิพแค่นี้ก็เหมือนกับแค่ตื่นมาแล้วต้องแปรงฟันตอนเช้าเท่านั้นเอง

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีมมีดังนี้

อาร์เซนอล : Almunia; Lauren (Fabregas '83), Campbell (Hoyte '79), Cygan, Cole; Ljungberg, Flamini (Reyes '70), Vieira, Pires; Bergkamp, Henry.

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด : Carroll; G. Neville, Ferdinand, Silvestre, Heinze; Fletcher (O'Shea '61), Keane, Scholes; Ronaldo (Brown '70), Giggs (Saha '77), Rooney.

ปัจจุบันนี้แฟนๆของทั้งแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและอาร์เซนอล ได้ระลึกย้อนเรื่องราวความเป็นคู่อริระหว่างคีนกับวิเอร่าในยุคนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับยุคสมัยแห่งความสุขความสำเร็จของทั้งสองทีมระหว่างยุคนั้น

นักเตะทั้งคู่ตอนนี้ได้รีไทร์มานานแล้ว แต่พวกเขาก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอลอยู่ มีอาชีพทั้งเป็นโค้ชและกูรูผู้เชี่ยวชาญทั้งคู่ จึงได้มีโอกาสร่วมงานกันบ้างเป็นระยะๆ

เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเมื่อมันจบลง และมาสรุปนับรวมการเจอกันของทั้งคู่แล้ว รอยคีนเฉือนวิเอร่าไปแค่นิดเดียว โดยที่ทั้งคู่เจอกันทั้งหมด 12 ครั้งในพรีเมียร์ลีก โดยที่เป็นฝั่งคีนและแมนยูไนเต็ดเอาชนะไปได้4ครั้ง แพ้3ครั้ง และเสมอไปทั้งหมด5ครั้ง (นับเฉพาะการเจอกันในลีก)

ภายใต้การเป็นลูกทีมของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันและการได้พิชิตเกียรติยศต่างๆกับแมนยูไนเต็ดนั้น รอยคีนได้แชมป์ลีกไปทั้งหมด 7 สมัย  แชมป์เอฟเอคัพ 4 สมัย ในทางตรงกันข้าม วิเอร่าได้แชมป์ลีก3สมัย ถ้วยเอฟเอคัพ3สมัย ซึ่งสมัยสุดท้ายที่เขาได้นั้นก็คือการเอาชนะทีมของคีนในรอบชิงเอฟเอคัพปี2005นั่นเอง

อาถรรพ์เอฟเอคัพที่ริโอ เฟอร์ดินานด์ไม่อยากจำมัน

ในปี 2013 บริษัทสถานีโทรทัศน์ ITV ได้นำเอาสารคดีที่มีชื่อว่า "Keane and Vieira Best of Enemies" นำมาออกอากาศให้ผู้ชมได้รับชมกัน ผลิตโดย LoveSport และกำกับโดย Tim Mackenzie-Smith โดยที่ในภาพยนตร์สารคดีนั้นจะได้เห็นคีนกับวิเอร่ามาเผชิญหน้ากันตัวต่อตัวในการสืบสวนสอบสวนเรื่องราวย้อนรำลึกในอาชีพนักฟุตบอล และความเป็นคู่อริของพวกเขา

ทั้งคู่แสดงความเคารพซึ่งกันและกันโดยพูดคุยมุมมองของพวกเขาในช่วงเวลาที่เป็นผู้นำสโมสรของตนเอง และแน่นอน เหตุการณ์ในอุโมงค์ที่ไฮบิวรี่ก็ถูกหยิบยกมาด้วยเช่นกัน

"ทุกๆครั้งที่พวกเราลงไปเผชิญหน้ากันในสนาม มันจะต้องเดือดอย่างแน่นอน"  วิเอร่าเท้าความย้อนกลับไป

ใช่.. มันเป็นเช่นนั้นแหละ!


อีกฟากหนึ่งของมุมมอง เราดูกันแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้ากล้อง คำพูดของรอยคีน และวิเอร่า แต่จากอีกจักรวาลเงียบๆหนึ่งอันไกลโพ้นที่ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ ชายหนุ่มผู้มีเปลวเพลิงอยู่บนหัวยังกะGhost Rider .. เขาผู้นั้นคือ พอล สโคลส์ ได้เปิดเผยเรื่องราวที่มันทำให้ทุกอย่างปะทุความเดือดขึ้นระหว่างคีโน่กับปาทริคในครั้งนั้น

เรื่องราวการปะทะในอุโมงค์เกิดขึ้นก่อนเกมพรีเมียร์ลีกในปี2005 และสโคลส์ก็ได้เปิดเผยเรื่องราวขึ้น

เหตุการณ์นี้มักจะเป็นเรื่องแรกๆเสมอเวลาที่คุณคิดขึ้นมาเกี่ยวกับการเจอกันของอาร์เซนอลกับแมนยูไนเต็ด และเราก็ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับภาพจำระดับตำนานครั้งนี้ของพรีเมียร์ลีก


วิเอร่าและรอยคีนได้มีการถกเถียงปะทะกันอย่างดุเดือดซึ่งกระตุ้นให้อุณหภูมิของการเจอกันก่อนเกมของพวกเขา ได้ระอุขึ้นในปี2005

ช่วงเวลานั้นคือยุคที่อาร์เซนอลและแมนยูไนเต็ดเป็นทีมระดับผู้นำ คู่แข่งแย่งแชมป์ลีกกัน ดังนั้นการเจอกันแต่ละครั้งมันจึงเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่มากไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันในรายการไหนๆ และแน่นอน ในเกมพรีเมียร์ลีกปี2005นั่นด้วยล่ะ

ก่อนหน้านี้ทุกคนสนใจแต่การประจันหน้ากันของทั้งสองทีมในอุโมงค์นั้น แต่ตำนานยูไนเต็ดอย่างพอล สโคลส์ เปิดเผยผ่านสารคดีของ Channel 5 หัวเรื่อง "The Feud: Ferguson v Wenger"  ว่า จริงๆแล้วมันมีเรื่องกันมาก่อนหน้านั้นแล้ว

สาเหตุที่ตอนนั้นวิเอร่าเหม็นขี้หน้าแกรี่ เนวิลล์มากๆเพราะว่าเกมก่อนนั้นเขาเล่นรุนแรงใส่โฮเซ่ อันโตนิโอ เรเยส (ยูไนเต็ดVSอาร์เซนอล ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด) และวิเอร่าก็อยากให้เนวิลล์รู้ว่า เขาจะต้องตกเป็นเป้าหมายเล่นงานจากวิเอร่าอย่างแน่นอน

อันนี้ก็เรื่องจริง เรเยสถือเป็นเป้าหลักของแนวรับยูไนเต็ดเพราะเขาอันตรายมาก #RESPECT จึงต้องเข้าบอลหนักใส่ แต่ทุกอย่างก็ยังเล่นอยู่ในเกมจริงๆ

"วิเอร่าพูดอะไรบางอย่างใส่แกรี่ เนวิลล์ตอนวอร์มอัพ ซึ่งแม่งบ้ามากๆ" สโคลส์กล่าว

"ตอนวอร์มอัพเนี่ยนะ ใครเค้าจะมานั่งคิดเรื่องว่า เฮ้ย! จะพูดอะไร หรือ จะคุยอะไรใส่ผู้เล่นคนอื่นๆดี"

"รอยรู้สึกว่าปาทริคพยายามจะข่มเหงกลั่นแกล้งเขา ผมไม่คิดว่าจะมีใครในพวกเราหรอกนะที่จะถูกกลั่นแกล้งได้"

สโคลส์ยืนยันว่าคีนได้รับรายงานว่าเนวิลล์ถูกทำเช่นนั้น และเขาก็รู้ว่าเขาจำเป็นต้องออกมาทำอะไรแล้ว

"แกรี่เข้าเข้ามาในห้องแต่งตัวและพร่ำบ่น บอกทุกๆคน และผมไม่รู้ว่ารอยคีนจะฟังอยู่รึเปล่าด้วยซ้ำ"

"คุณรู้ไหม รอยคีนก็ใส่รองเท้า ดื่มเครื่องดื่มและกินอะไรของเขาไปเฉยๆ ส่วนแกรี่ก็พร่ำในห้องแบบว่า เฮ้ยวิเอร่าพูดงี้ว่ะ วิเอร่าแม่งพูดแบบนี้ใส่กูว่ะ มันบอกมันจะทำแบบนี้ใส่กู มันจะทำแบบนี้ใส่กู "

"นางเอกจริงๆแกรี่เอ๊ย"

ว่าแล้วนางเอกก็ดูดปากกับพระเอกโชว์ต่อหน้าธารกำนัล

แต่เห็นกันชัดแล้วว่า ที่แกรี่พูดๆในห้องแต่งตัว มันคือการหว่าน "เมล็ดพันธุ์แห่งการเอาคืน" ลงบนผืนดินในจิตใจของรอยคีนให้งอกและเติบโตขึ้น และก็นั่นแหละ รอยคีนที่ฟัง และเก็บเอาไว้ในใจ จึงระเบิดคำพูดในตำนานอย่างที่เราทราบกันว่า มึงออกไปเจอกับกูเลยมา เดี๋ยวรู้กัน อย่างที่เราได้รู้กันหมดแล้วตอนที่เขาปะทะกับชายฝรั่งเศสผู้นั้น

คีนได้ย้อนความถึงสิ่งที่เขาพูดหลังจากแมตช์นั้นที่ยูไนเต็ดชนะ 4ประตูต่อ2

"ผมพูดว่า มีอะไรมาเจอกับกูนี่  ง่ายๆแค่นั้นเอง" เขาบอกกับนักข่าว

"ถ้าหมอนั่นอยากจะข่มขู่ลูกทีมของผมคนอื่นๆสักคนนึงในทีม  ผมคิดว่า แกรี่เนวิลล์ จะตกเป็นเป้าหมายที่ถูกทำแบบนั้นได้ง่ายมาก  แบบนั้นผมแม่งยอมไม่ได้ว่ะ"

และประโยคสุดท้ายนั้น คือคำพูดของยอดลูกพี่อย่าง "รอย คีน" นั่นแหละ

-ศาลาผี-

เหตุการณ์ในอุโมงค์ : https://www.youtube.com/watch?v=GwcpFXOsrY8

ไฮไลท์แมตช์ในตำนาน ARS 2-4 MUFC https://www.youtube.com/watch?v=Fu0V6ihkhJ0

Source :

https://www.goal.com/en/news/roy-keane-vs-patrick-vieira-the-bitter-rivalry-behind/1m5fgp98bpw6b1qfde4bitvkqp

https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/paul-scholes-reveals-what-sparked-14103785

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด