:::     :::

รอดตัว

วันอาทิตย์ที่ 06 ตุลาคม 2562 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
9,294
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ทีมที่จะเป็นแชมป์นั้น มีหลายๆ คุณสมบัตินะครับ แต่อย่างที่หลายๆ คนรู้กันนั่นคือ "ต้องชนะในเกมที่ตัวเองเล่นได้ไม่ดี" เพราะจะหวังว่าให้ทีมที่เราเชียร์เล่นดีกันทุกนัด เล่นดีกับทุกทีม ในความเป็นจริง มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยล่ะครับ



2 ทีมฟอร์มแรง

          ถึงแม้ลิเวอร์พูลจะนำหน้าเป็นจ่าฝูงและทำสถิติชนะรวด แต่นอกจากลิเวอร์พูลกับแมนฯซิตี้แล้วอีกทีมที่ฟอร์มดีจนหลายๆ คนให้การจับตามอง คือเลสเตอร์ ซิตี้ ที่ลิเวอร์พูลมาเจอกันในนัดนี้นี่แหละครับ ซึ่งเกมนี้มีประเด็นน่าสนใจหลายอย่างทีเดียวครับ เริ่มจากเป็นการต้อนรับคนคุ้นเคยกันอย่างแบรนแดน ร๊อดเจอร์ส โค้ชคนเก่าของลิเวอร์พูลที่โดนไล่ออกและได้เจอร์เก้น คล็อปป์มาแทนนี่แหละ และก็น่าหนักใจอยู่พอสมควรเหมือนกัน เพราะถึงแม้ว่าจะห่างกันไปนานและยังไงก็ต้องยอมรับว่าร๊อดเจอร์สนั้นพอจะรู้ตื้นลึกหนาบางของลิเวอร์พูลมากพอสมควรเลยล่ะ และอีกเรื่องที่น่าสนใจคือ แม้ลิเวอร์พูลจะฟอร์มแรงในบ้านแค่ไหน แต่ทีมล่าสุดที่พวกเขาเอาชนะไม่ได้ที่สนามแอนฟิลด์ ก็คือเลสเตอร์ ซิตี้นี่แหละครับ จนแฟนๆ หลายคนคิดเลยด้วยซ้ำว่าที่ลิเวอร์พูลพลาดแชมป์ปีที่แล้วก็เพราะว่าเอาชนะเลสเตอร์ในบ้านไม่ได้นี่แหละ และเกมนี้ทั้งสองทีมก็ดูจะพร้อมเต็มที่ทั้งคู่เลย นี่คือด่านสำคัญก่อนที่จะปิดพักเบรกทีมชาติอีกครั้งไป ถ้าลิเวอร์พูลเอาชนะได้พวกเขาจะนำเป็นจ่าฝูงแบบหายใจหายคอคล่องและไม่มีอะไรคาใจในการเบรคพักทีมชาติต่อไป





สูสีกว่าทุกทีม



          ต้องยอมรับเลยล่ะครับว่านี่คือคู่ต่อสู้ที่เล่นกับลิเวอร์พูลในแอนฟิลด์แล้วเกมออกมาคู่คี่สูสีมากที่สุดแล้วตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา และมันไม่ใช่การสูสีแบบที่ลิเวอร์พูลเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐาน แต่เป็นที่ทั้งสองทีมเล่นอยู่ในมาตรฐานที่สูงพอกันทั้งสองทีม และยิ่งเลสเตอร์มาอัดเกมในแดนกลางแบบเต็มที่ทิ้งวาร์ดี้ไว้เป็นหน้าเป้าแค่คนเดียว แถมได้เจมส์ แมดดิสัน กลับมายิ่งทำให้เกมของเลสเตอร์ดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองทีมเล่นกันในเกมที่ความเร็วสูงทั้งสองทีม ไม่มีใครยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เปอร์เซ็นต์การครองบอลของทั้งสองทีมไม่ได้ต่างกันมาก ไม่มีการมาอุดประตูกันทั้งทีมแบบทีมอื่นที่มาเยือนแอนฟิลด์แต่อย่างใด เกมออกมาค่อนข้างสูสีแบบนี้อยู่ที่ว่าใครจะชิงประตูแรกมาได้ก่อนกันนั่นแหละครับ ที่จะชิงความได้เปรียบแบบมหาศาลมาให้กับฝั่งตนเองได้ และก็เป็นลิเวอร์พูลที่ฉวยโอกาสได้คมกว่าจากการจ่ายบอลทะลุให้กับมาเน่ได้อย่างสุดยอด แม้ว่าจะมีจอห์นนี่ อีแวนส์ คุมอยู่และพยายามเหยียดขาสกัดเต็มที่แล้วแต่ก็เหยียดขาไม่ถึงจริงๆ จนทำให้มาเน่หลุดเดี่ยวและยิงสวนชไมเคิ่ลเข้าประตูไปอย่างสวยงาม ทำให้ลิเวอร์พูลสลัดแรงกดดันไปได้และจบครึ่งแรกไปอย่างน่าพอใจด้วยสกอร์ 1-0



บุคลิกของทีมที่ฝังรากลึก


          ครึ่งหลังมาลิเวอร์พูลที่มีความได้เปรียบอยู่ก็ผ่อนเกมของตัวเองลงมา และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เน้นเกมรุกเท่าที่ควร ซึ่งจริงๆ แล้วพวกเขาน่าจะคิดได้และไม่ควรผ่อนแบบนี้ให้เห็นในเกมนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะว่าเมื่อกลางสัปดาห์พวกเขาก็มีบทเรียนมาแล้วกับเรื่องแบบนี้ แต่เกมนี้ทุกอย่างก็เหมือนจะเป็นแบบเดิมอีก จริงอยู่... ที่มันไม่ใช่เรื่องผิด ที่พอทีมนำแล้วจะเลือกที่จะผ่อนเกมลงมาไม่บุกเหมือนก่อนได้ประตู แต่ที่น่าตำหนิคือ เหมือนพวกเขาดูเหมือนจะไม่เน้นในการทำประตูให้หนีห่างออกไปเอาเสียเลย กลับเน้นเล่นเกมรับรักษาประตูมากเกินไปหน่อย ทำให้เราเห็นว่าเกมนี้ มาเน่ถูกสั่งมาให้เล่นเกมรับฝั่งขวา เพื่อที่จะจัดการกับ เบน ชิลเวลล์โดยเฉพาะ และครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเป็นแบบนี้จนดูเหมือนว่านี่จะกลายเป็น"ธรรมชาติ" ของลิเวอร์พูลไปเสียแล้ว มันไม่ใช่เรื่องเสียหายใหญ่หลวงอะไรมากมายนักหรอกครับ แต่ว่าพวกเขาอาจจะต้องกลับไปคิดทบทวนถึงบุคลิกแบบนี้ของทีมตัวเองเพิ่มเติมอีกซักหน่อย และอาจจะต้องเน้นมากขึ้นอีกนิด ซึ่งนั่นน่าจะทำให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่น่ากลัวและสมบูรณ์แบบขึ้นไปกว่านี้อีก


   
กำแพงที่มีรอยร้าว

          ดูเหมือนว่าสัปดาห์นี้ จะไม่ใช่สัปดาห์ที่ดีของ ฟาน ไดค์เท่าไร และดูเหมือนว่าเขากับฟาบินโญ่จะมีปัญหาในการประสานกันพอสมควรเหมือนกัน ถ้าสังเกตให้ดี ลิเวอร์พูลนั้นเสียประตูในรูปแบบที่ว่า ฟาบินโญ่ปล่อยมิดฟิลด์ของทีมคู่แข่งให้ให้เข้ามาในแดนอันตรายแล้วก็ปล่อยให้คู่แข่งผ่านบอลทะลุช่องทะลุผ่านฟาน ไดค์ไปได้หลายต่อหลายครั้ง และถึงตอนนี้อาจจะเรียกได้ว่าหลายๆ ทีมน่าจะสังเกตเห็นแล้ว ว่าจุดอ่อนของฟาน ไดค์คืออะไร และจะเจาะแผงกองหลังของลิเวอร์พูลยังไง ที่เขียนมาตรงนี้ไม่ได้จะตำหนิฟาน ไดค์แต่อย่างใดนะครับ เพราะยังไงถึงฟาน ไดค์จะเก่งแค่ไหน แต่เขาก็ยังเป็นคนธรรมดาเหมือนปกติทั่วไปนั่นแหละครับ ย่อมมีจุดแข็งจุดอ่อนแบบคนอื่นเช่นกัน อยู่ที่ทีมงานลิเวอร์พูลแล้วล่ะครับ ว่าจะจัดการกับลูกแบบนี้ยังไง เพราะว่าช่วงหลังเราเห็นทีมเสียประตูแบบนี้บ่อยมากจริงๆ ซึ่งเกมนี้ก็โดนแบบนี้เช่นกันจากการโดนจ่ายบอลทะลุช่องให้เจมส์ แมดดิสัน ยิงสวนอาเดรียนเข้าไป ทำให้ลิเวอร์พูลอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดๆ เพราะโดนตีเสมอในนาทีที่ 80 นั่นทำให้พวกเขาเหลือเวลาไม่เยอะเลยที่จะทำประตูพลิกขึ้นนำเพื่อเก็บ 3 แต้มในเกมนี้



โชค ดวง ฝีมือ ความพยายาม

          ไม่ว่ามันคืออะไร แต่สุดท้ายมันก็เกิดขึ้นกับลิเวอร์พูลอีกครั้งแล้วครับ เมื่อลิเวอร์พูล เร่งเกมของตัวเองสุดๆ เพื่อที่จะเอาประตูชัยให้ได้ แต่ก็ยังทำได้ไม่ใกล้เคียงเท่าไร และดูเหมือนพวกเขาจะค่อนข้างออกอาการลนลานให้เห็นอยู่เหมือนกัน แต่สุดท้ายเทพธิดาแห่งชัยชนะก็ยิ้มให้พวกเขาอีกครั้ง เมื่อมาร์ค อัลไบรตัน ที่เหมือนจะเป็นพระเอกอยู่แล้วในจังหวะที่วิ่งแน่บมาตัดบอลจากลูกส่งให้โอริกีไป แต่เจ้าตัวดันไปเสียดายบอลไม่ยอมเคลียร์ออก ทำให้มาเน่ที่เกมนี้ขยันเหลือเกินไปฉกเอามาได้ และอัลไบรตัน พยายามเข้าไปแย่งแต่ก็ไปแหย่โดนขามาเน่เต็มๆ ทำให้กรรมการเป่าจุดโทษอย่างไม่ลังเล และสุดท้ายมิลเนอร์ก็สังหารจุดโทษเข้าไปอย่างเลือดเย็น ทำให้ลิเวอร์พูลเฉือนชนะเลสเตอร์ไปได้อย่างหืดจับสุดๆ จริงๆ
   

          แม้จะกระท่อนกระแท่นแค่ไหน หืดจับแค่ไหน แต่ตอนนี้ฟอร์มการเล่นอาจจะต้องเอาไว้เป็นเรื่องรองก่อนล่ะครับ เพราะตอนนี้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม 3 แต้ม คือทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ ถึงตอนนี้พวกเขาก็น่าจะพักเบรคทีมชาติไปได้อย่างสบายใจแล้วล่ะ อย่างน้อยๆ ช่องว่างของคะแนนนำก็ยังเท่าเดิม หรือจะมากกว่าเดิมก็ไม่รู้นะ  ฮรี่ๆ
 






ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด