:::     :::

7 สตาร์พรีเมียร์ลีกที่เริ่มแย่ แต่จบสวย

วันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
6,338
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
พรีเมียร์ลีก ถือเป็นลีกมหาโหด

โดยว่ากันว่า นี่คือลีกที่เน้นการเข้าปะทะ และเสียบสกัดอย่างหนักหน่วง นักเตะระดับโลกที่ฟอร์มดีหลายคนเอาชื่อมาทิ้งที่นี่ และไม่สามารถแจ้งเกิดได้เป็นผลสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ยังมีนักเตะบางคนที่เริ่มต้นกับการเล่นพรีเมียร์ลีกไม่สวยเท่าไหร่ ก่อนจะค่อยๆปรับตัว จนสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างระเบิด และกลายเป็นตำนานของลีกแห่งนี้

ช่วงนี้ สื่อฟุตบอลระดับโลกอย่าง "FourFourTwo UK" ทำการคัดเลือก "7 ซูเปอร์สตาร์" ที่เริ่มต้นการเล่นในลีกได้อย่างย่ำแย่ แต่ผลสุดท้ายกลับจบแบบสวยงาม


หลุยส์ ซัวเรซ (ลิเวอร์พูล)
ย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูล ในช่วงเดือนมกราคม 2011 แม้ว่าจะยิงประตูในลีกได้ตั้งแต่ในเกมแรกที่ลงสนามเจอกับสโต๊ค ซิตี้ ทว่า 44 เกมลีกหลังจากนั้น เขาผลิตสกอร์รวมแค่ 15 ลูก กระทั่งฤดูกาล 2012-13 เขาก็เริ่มเปล่งประกายออกมา โดยกระหน่ำไป 23 ประตู บวกกับ 11 แอสซิสต์ จากการลงสนามในลีก 33 เกมในฤดูกาลนั้น ก่อนที่ซีซั่น 2013-14 จะกดไป 31 ประตู กับอีก 17 แอสซิสต์ จากฟอร์มร้อนแรงนั้นเอง ส่งผลให้บาร์เซโลน่า ยอมทุ่มเงินมหาศาล ดึงตัวไปร่วมทีม

โรแบร์ ปิแรส (อาร์เซน่อล)
ปิแรส เป็นตัวอย่างที่เด่นชัด สำหรับนักเตะต่างชาติที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ฤดูกาลถึงงัดฟอร์มออกมาในการเล่นพรีเมียร์ลีก เจ้าตัวย้ายจากโอลิมปิก มาร์กเซย มาร่วมทีมปืนใหญ่ ช่วงปี 2000 พร้อมกับยอมรับตามตรงว่า ลีกค่อนข้่างหินเกินกว่าที่เขาจะสามารถรับมือไหว โดยเขายิงในลีกเพียงแค่ 4 ประตูเท่านั้น จากการลงสนามมากกว่า 33 เกม ฤดูกาลต่อมา เขาช่วยให้ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มาครอบครอง พร้อมกับผลงานยิง 9 แอสซิสต์ 6 จากการลงสนามในลีก 28 เกม จนสามารถคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสรด้วย


เธียร์รี่ อองรี (อาร์เซน่อล)
ย้ายจากยูเวนตุส มาร่วมทีมอาร์เซน่อล ในช่วงปี 1999 สนนราคา 11 ล้านปอนด์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม 8 เกมแรกในพรีเมียร์ลีก เขาส่งบอลไปนอนก้นตาข่ายเพียงแค่ลูกเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ ยังต้องรอถึงเดือนธันวาคม กว่าที่สกอร์จะไหลมาเทมา ก่อนจบฤดูกาลแรกกับ "เดอะ กันเนอร์ส" ด้วยผลงาน 17 ประตู กับ 8 แอสซิสต์ หลังจากเริ่มต้นได้กระท่อนกระแท่น ตลอด 7 ฤดูกาลเศษกับทีม เขายิงในลีกได้มากกว่า 157 ประตู จากการลงเล่น 233 เกม กลายเป็นผู้เล่นต่างชาติที่ยิ่งใหญ่สุดคนหนึ่งบนหน้าประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก


เดนนิส เบิร์กแคมป์ (อาร์เซน่อล)
ย้ายจากอินเตอร์ มิลาน มาร่วมทีมอาร์เซน่อล ในช่วงปี 1995 ก่อนจะออกสตาร์ทในพรีเมียร์ลีกอย่างสุดฝืด โดยต้องรอยาวนานกว่า 7 เกม ถึงจะเบิกสกอร์แรกได้ จนหนังสือพิมพ์หลายสำนักต่างพากันพาดหัวข่าวว่า เขาเป็นการซื้อตัวที่เปลืองเงินเป็นอย่างมาก กระทั่งการเข้ามาคุมทีมของอาร์แซน เวนเกอร์ (แบบเต็มตัว) ในฤดูกาล 1997-98 เขาเริ่มฉายแววความฉลาดออกมา โดยยิงไปรวม 16 ประตู กับอีก 11 แอสซิสต์ จากการลงเล่นในลีก 28 เกม หลังจากนั้น โดยรวมแล้วเขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับทีม 3 สมัย 

ดาบิด เด เคอา (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
กลายเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดคนหนึ่งในวงการลูกหนังพรีเมียร์ลีก อย่างไรก็ตาม เขากับเริ่มต้นได้อย่างทุลักทุเลมาก ย้อนกลับไปตอนเล่นพรีเมียร์ลีก ครั้งแรกในปี 2011 เขาก่อความผิดพลาด นำมาซึ่งการเสียประตูหลายครั้ง พร้อมกันนี้ ยังมีร่างกายที่หลายคนมองเหมือนกันว่า บอบบางเกินจะรับมือลีกอังกฤษไหว หนักไปกว่านั้น มีการเรียกร้องให้ขายเขาออกจากทีม และทำการดัน "อันเดอร์ส ลินเดการ์ด" ขึ้นมาเป็นนายทวารมือหนึ่งแทน ช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขา คือการเซฟลูกฟรีคิกของฆวน มาต้า ในเกมที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกเสมอเชลซี 3-3 เขาบอกว่า จังหวะดังกล่าวช่วยเพิ่มความมั่นใจ และยังจะช่วยให้เขาพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ


ดาบิด ซิลบา (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)
เหมือนในรายของดาบิด เด เคอา หลายคนมองว่า ร่างกายที่ค่อนข้างเล็กนั้น จะเอาตัวรอดจากพรีเมียร์ลีก ได้หรือเปล่า เพราะการย้ายมาร่วมทีมในปี 2010 ด้วยค่าตัว 26 ล้านปอนด์ ถือเป็นการซื้อที่สูงเหมือนกัน โดยจาก 4 เกมแรกที่ได้ลงสนามเพียงเกมเดียว เขาบอกว่า เจออุปสรรค และปรับตัวลำบากเหมือนกัน จากนั้น ค่อยๆพัฒนาฟอร์มการเล่น จนสามารถทำ 4 ประตู 8 แอสซิสต์ ในฤดูกาลแรก ก่อนที่ฤดูกาลต่อมา เขาจะพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างสุดระทึก ด้วยผลงาน 6 ประตู บวกกับ 17 แอสซิสต์ โดยรวมแล้ว เขากวาดแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ "เรือใบสีฟ้า" 4 สมัยด้วยกัน

ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา (เชลซี)
ย้ายมาร่วมทีมเชลซี ในราคา 24 ล้านปอนด์ ในช่วงปี 2004 อย่างไรก็ตาม 8 เกมแรกในลีก เขายิงไปเพียงแค่ 2 ประตูเท่านั้น จากนั้น ก็โดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน ชวดการลงสนามไปอีก 6 นัด ก่อนจบฤดูกาลแรก ด้วยการยิงไป 10 ประตู ฤดูกาลต่อมา เขาพัฒนาขึ้นเล็กน้อย ด้วยการยิงในลีก 12 ประตู ก่อนมายิงแตะหลัก 20 ประตูในฤดูกาล 2006-07 กระทั่งปี 2009-10 เขายิงในลีกมากสุดในชีวิตที่ 29 ประตู ถือเป็นดาวยิงที่เฉียบขาด และครบเครื่องคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเชลซี เลยทีเดียว 


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด