สำหรับทีมที่เกี่ยวข้องกับ จอห์น เทอร์รี่, เงินทุนจากรัสเซีย และพวกนักเลงฮูลิแกน แม้แต่แฟนสิงห์บลูส์เองก็คงไม่ได้แปลกใจอะไรที่ได้ยินเรื่องดังกล่าว

    แต่เมื่อ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เข้ามาเป็นผู้นำทางให้พวกเขา พร้อมกับการถูกแบนห้ามซื้อนักเตะใหม่ ปรัชญาของสโมสรก็เปลี่ยนแปลงไป และนั่นอาจรวมถึงความคิดเห็นของสาธารณชนด้วย

    การสำรวจที่ว่านั้นถูกจัดทำโดย เดอะ มิร์เรอร์ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2018 ที่ขอให้แฟนบอลจากทุกสโมสรในพรีเมียร์ลีกแสดงความคิดเห็นถึงทีมที่พวกเขา 'เกลียด'

    เชลซี กลายเป็นอันดับ 1 ของชาร์ทที่ 68.7% ขนาดที่กล้าเอาชนะทีมอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งตามมาเป็นอันดับสองที่ 68.1%

    ที่เหลือก็จะเป็น ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล, เวสต์แฮม และ สเปอร์ส ซึ่งกลายเป็นกลุ่ม 'บิ๊กซิกซ์' ของทีมที่ถูกเกลียดมากที่สุด

    ทำไม เชลซี ถึงต้องโดนเกลียดมากขนาดนี้

    มันก็อาจเพราะพวกเขาดันทะลึ่งคว้าแชมป์ลีกสูงสุดด้วยวิธีการที่หลายคนหมั่นไส้

    ตั้งแต่ที่ โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทกโอเวอร์สิงห์บลูส์ตอนปี 2003 เชลซี ก็มีนิสัยเสพติดชัยชนะ และพร้อมทำทุกอย่างที่น่าเกลียดน่าชังในสายตาของคนทุกหมู่เหล่า

    น่าเกลียดด้วยสไตล์ 'พาร์ค เดอะ บัส' และ 'แนวทางการเล่นที่น่าเบื่อ'

    นอกจากนี้พวกเขายังมีแทคติกที่ถูกกล่าวขานว่าน่าเกลียด โดย จอห์น เทอร์รี่ เป็นปรมจารย์ และ ดีเอโก้ คอสต้า ก็เป็นหนึ่งในศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับฝ่ายตรงข้ามในพรีเมียร์ลีก ซึ่งนั่นมันไม่ได้ช่วยให้ชื่อเสียงของสโมสรดีขึ้นเลย

    ขณะเดียวกัน เชลซี ยังถูกตราหน้าว่าชอบทำธุรกิจที่น่าเกลียด เป็นจุดเริ่มต้นของทีมที่ใช้เงินซื้อความสำเร็จแบบครอบคลุม โดยไม่มีการให้โอกาสเหล่าแข้งโฮมโกรว์นเลย นอกเหนือจาก เทอร์รี่ ที่ทะลุขึ้นมาได้ในทีมชุดใหญ่

    ความสำเร็จของ สิงห์บลูส์นั้นถูกสร้างขึ้นมาจากการที่ฝ่ายตรงข้ามโดนกลั่นแกล้ง เมื่อมีการพูดถึง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา หรือ คอสต้า ซึ่งเรื่องนี้บรรดากองเชียร์ของ อาร์เซน่อล สามารถรับรองได้

    พวกเขามักจะพากันรุมใส่ผู้ตัดสิน เล่นแบบเน้นผลสุดๆ และทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม

    มันเป็นเรื่องง่ายมากผู้คนส่วนใหญ่จะไม่ชอบทีมที่เล่นในรูปแบบ 'วินนิ่ง เดอร์ตี้' แต่ก็ใช่ว่าปัญนอกสนามของพวกเขาที่ส่งผลต่อความนิยมจะไม่มีเลย

    ครั้งหนึ่ง โชเซ่ มูรินโญ่ เคยเรียก อาร์แซน เวนเกอร์ ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในความล้มเหลว

    แอชลี่ย์ โคล สมัยสวมชุดสิงห์บลูส์ก็เคยกระหน่ำปืนอัดลมใส่เด็กฝึกงานจนเป็นข่าวฉาวมาแล้ว

    ส่วนเรื่องของ เทอร์รี่ นี่ไม่ต้องเล่า วีรกรรมในด้านลบเพียบ!

    แม้แต่เด็กหนุ่มโกลเด้นบอย อย่าง เอแด็น อาซาร์ ยังเคยเตะเด็กเก็บบอลในเกมพบ สวอนซี มาแล้วเลย

    ดังนั้น เชลซี กับคำว่า 'classless' หรือพวกไร้ชนชั้นจึงดูเหมือนจะเดินจูงมือกันมาหลายปีแล้ว

    แต่สิ่งทั้งหมดกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป

    แลมพาร์ด กลายเป็นผู้จัดการทีมที่คนทั่วไปชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นฝีมือที่เริ่มต้นมากับ ดาร์บี้ และโปรไฟล์อันสวยหรู

    นักเตะที่แทบไม่มีใครรู้จักอย่าง ฟิคาโย่ โทโมรี่, เมสัน เมาท์ และ แทมมี่ อบราฮัม กลายเป็นคลื่นพายุของเวทีพรีเมียร์ลีกในปีนี้ และก็เดินตามรอยเท้าของ รอสส์ บาร์คลี่ย์ เข้าแคมป์ทีมชาติชุดใหญ่ของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ไปหมดแล้ว

    นอกจากนี้ หันกลับหลังก็ยังมี รีซ เจมส์ และ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ที่กลับมาฟิตอีกครั้ง รวมถึง รูเบน ลอฟตัส-ชีค ที่อยู่ไม่ไกลกับการคัมแบ็กแล้ว มันทำให้ตอนนี้ เชลซี เหมือนกลายเป็นอนาคตของทัพสิงโตคำรามอย่างไม่ต้องสงสัย

    ทีมนี้ภายใต้การนำของ แลมพาร์ด เล่นฟุตบอลได้อย่างรวดเร็ว และน่าตื่นตาตื่นใจ พร้อมการันตีประตูอยู่เสมอในทุกนัดที่ลงสนาม เมื่อเราได้ดูพวกเขาเล่นในฤดูกาลนี้

    การเอาชนะ วูล์ฟส์ ด้วยสกอร์น่าเหลือเชื่อ 5-2 และชัยชนะเหนือ เซาธ์แฮมป์ตัน 4-1 ในเกมล่าสุดทำให้ชื่อของ สิงห์บลูส์กลับมาอยู่ในข่ายท็อปโฟร์อีกครั้ง ทั้งที่เปิดหัวซีซั่นด้วยการโดน แมนฯ ยูไนเต็ด ถล่มขาด 4-0 ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

    มีหลายเสียงวิจารณ์ที่พุ่งเป้าหาทีมของ แลมพาร์ด อย่างรวดเร็วหลังจากเกมในเมืองแมนเชสเตอร์ แต่เขาก็ค่อยๆ พิสูจน์ตัวเองไปพร้อมกับเด็กๆ จนมีสถิติชนะมาตลอด 4 นัดหลังสุดในทุกถ้วยด้วยการยิงไปถึง 15 ประตูในช่วงดังกล่าว

    นี่คือสิ่งที่ไม่น่าจะมีใครคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับ เชลซี ซึ่งรั้งอันดับ 5 ในปัจจุบัน

    พวกเขาเต็มไปด้วยนักเตะหนุ่มจากอะคาเดมี่ที่มีพรสวรรค์ และความหิวโหยมากกว่าที่ใครหลายคนคาดหวัง

    เมื่อปีที่แล้ว เชลซี อาจจะมีภาพติดลบสำหรับแฟนบอลส่วนใหญ่

    ทว่าภาพความเกลียด 68.7% ในวันนั้นน่าจะแปรเปลี่ยนเป็นหนึ่งในทีมที่ใครหลายคนรักมากที่สุดแล้วในวันนี้

    พาสต้า