แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือว่าหลังพิงฝาจากผลงานที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 30 ปี ส่วน ลิเวอร์พูล กำลังเดินหน้าไล่ล่าสถิติเก็บชัยชนะติดต่อกันนานที่สุดในลีก

แต่อย่างที่รู้กันว่าเวลาเจอกันให้มองข้ามเรื่องผลงานล่าสุดออกไปก่อน เพราะเมื่อถึงแมตช์แห่งศักดิ์ศรีอะไรก็เกิดขึ้นได้ 

มีอะไรหลายอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และก็มีอะไรอีกหลายอย่างที่จะเกิดขึ้นในเกมนี้ด้วย

เรื่องไหนที่น่าสนใจน่าจับตาบางลองไล่เรียงกันดู

เจอร์เก้น คล็อปป์ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์

ลิเวอร์พูล บุกมาเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงโอลด์ แทรฟฟอร์ดได้ 5 เกมในพรีเมียร์ลีก แต่ไม่เคยเกิดขึ้นในยุคของ เจอร์เก้น คล็อปป์

นายใหญ่ชาวเยอรมันที่เข้ามารับงานคุมทีมในถิ่นแอนฟิลด์เมื่อปี 2015 มีผลงานในการคุมทีมมาเยือนโรงละครด้วยสถิติเสมอ 3 แพ้ 1 ถือสังเวียนที่ไม่สามารถพาทีมบุกมาเอาชนะนานกว่าคู่แข่งทีมอื่นในลีก

แน่นอนว่าเกมในวันอาทิตย์นี้ดูมีความหวังที่สุดจากฟอร์มการเล่นที่กำลังมั่นใจสุดๆ 

รวมถึงผลงานในบ้านปีนี้ของ "ปีศาจแดง" หากไม่นับเกมแรกที่ชนะ เชลซี พวกเขาไม่ได้ยิงคู่แข่งเกินเกมละ 1 ประตูเลยใน 5 นัดหลังที่เจอกับ คริสตัล พาเลซ, เลสเตอร์ ซิตี้, อัสตาน่า, รอชเดล และ อาร์เซน่อล

ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทั้งยิงประตูและแอสซิสต์อย่างท่วมท้นตั้งแต่ปี 2016 แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยยามที่เจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ว่าจะที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด หรือ แอนฟิลด์

แน่นอนว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ถือเป็นหนึ่งในทีมที่ใครก็อยากยิงทั้งนั้น กองหน้าทีมชาติอียิปต์ก็หวังอยู่เช่นกัน แม้จะยังไม่ได้เคยทำได้

เกมนี้รายงานบอกว่าจะลงเล่นได้หลังหายเจ็บที่ข้อเท้า สภาพร่างกายอาจจะไม่ได้เต็มร้อยเท่าไรนัก

เชื่อเถอะว่าเจ้าตัวจะหาทางทำอย่างเต็มที่เพื่อเล่นงานยูไนเต็ดให้ได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ชัยชนะของ ลิเวอร์พูล

ถึงตอนนี้ ลิเวอร์พูล เก็บชัยชนะในลีกมาแล้ว 17 เกมติดต่อกัน ตามหลังสถิติสูงสุดของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น

ซึ่งชัยชนะที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดจะทำให้พวกเขาทาบสถิติและอาจจะสร้างสถิติใหม่ขึ้นมาในเกมถัดไป

ถึงตอนนี้ "หงส์แดง" เก็บชัยชนะเกมเยือนในลีกมาแล้ว 8 เกมติดต่อกัน ซึ่งมีแค่เกมล่าสุดกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เท่านั้นที่ยิงคู่แข่งได้ลูกเดียว ที่เหลือยิงได้อย่างน้อยเกมละ 2 ประตูทั้งสิ้น โดยเสียไปเพียง 6 ลูกเท่านั้น

เป้าหมายการมาในเกมนี้ไม่ใช่เพียงแค่เกมแห่งศักดิ์ศรี แต่ยังมีสถิติเป็นแรงจูงใจให้พวกเขาอีกด้วย

ช่างเป็นโปรแกรมที่เลือกมาได้เหมาะเจาะพอดีจริงๆเลย

สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ VS ฟาบินโญ่

คงไม่มีใครปฏิเสธว่า สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ เป็นฟันเฟืองคนสำคัญของแผงกองกลาง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เวลานี้ไปแล้ว

นับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ มิดฟิลด์ทีมชาติสกอตแลนด์คือคนที่ทุ่มเทให้สโมสรอย่างสุดๆยามที่ลงสนาม จนล่าสุดก็เพิ่งคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายนของสโมสรมาครอง

แม็คโทมิเนย์ เข้าสกัดบอลคู่แข่งชนะไปแล้ว 7 ครั้งในซีซั่นนี้ อัตราสำเร็จที่ 44 เปอร์เซ็น ส่วนเปอร์เซ็นต์จ่ายบอลสำเร็จอยู่ที่ 81 เปอร์เซ็นต์ ทำไป 1 ประตูในฤดูกาลนี้

ทางฝั่ง ลิเวอร์พูล มี ฟาบินโญ่ เป็นกำลังสำคัญลงสนามทั้ง 8 เกมในซีซั่นนี้ การมีเขาทำให้กองหลังของทีมเล่นได้ง่ายมากขึ้น

มิดฟิลด์ทีมชาติบราซิลเขาสกัดบอลสำเร็จไปแล้ว 12 หนในซีซั่นนี้ คิดเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ และมีสถิติผ่านบอลสำเร็จที่ 87 เปอร์เซ็นต์ เหลือแค่ประตูที่ยังยิงไม่ได้แต่ก็สร้างสรรค์โอกาสทำประตูได้มากกว่า

ประวัติศาสตร์บอกว่า...

ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน การมาเยือนโอลด์ แทรฟฟอร์ดก็ไม่เคยเป็นเรื่องง่ายอยู่แล้ว

ครั้งสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล เดินทางมาเยือนโรงละครแห่งความฝันในฐานะจ่าฝูงต้องย้อนไปเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1996

ซึ่งในเกมครั้งนั้น เดวิด เบ็คแฮม พังประตูชัยให้ "ปีศาจแดง" เก็บชัยชนะไปได้ 1-0

ทีมชุดนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด มี โอเล่ กุนนาร์ โซลชา นายใหญ่ชุดปัจจุบันอยู่ในทีมด้วย ร่วมกับ เอริก คันโตน่า, แกรี่ เนวิลล์, รอนนี่ ยอห์นเซ่น, ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล, เดนนิส เออร์วิน รวมถึง ไรอัน กิ๊กส์ และ พอล สโคลส์ ที่ลงเล่นในฐานะตัวสำรอง

ส่วน ลิเวอร์พูล มี เดวิด เจมส์, ฟิล บ๊าบบ์, เจสัน แม็คเคเทียร์, จอห์น บาร์นส์, สตีฟ แม็คมานานมาน, พาทริค แบร์เกอร์ และ สแตน คอลลีมอร์

แต่เกมนี้ "หงส์แดง" เก็บชัยชนะมา 8 เกมติดตั้งแต่ออกสตาร์ทลีก เดินทางมาพร้อมความมั่นใจเต็มที่ แม้สถิติมาเยือนที่นี่ในลีก 5 เกมหลังสุดจะไม่ชนะก็ตาม