:::     :::

ได้ 1 หรือ เสีย 2

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
6,482
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
นี่เป็น เกมแดงเดือดไม่กี่ครั้ง ที่ก่อนเริ่มเกม ลิเวอร์พูลนั้นเป็นต่อทีมเจ้าบ้านอย่างแมนฯยู อยู่ค่อนข้างเยอะพอสมควร และในใจของแฟนบอลทุกคนก็ค่อนข้างมั่นใจมากพอสมควรล่ะครับ ว่าครั้งนี้ลิเวอร์พูลจะบุกมายัดเยียดความปราชัยให้แก่เจ้าบ้านได้ .... แต่สุดท้ายก็ต้องบอกว่า เกมใหญ่และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมกับแมนฯยูในโอลแทรฟฟอร์ดนั้นไม่เคยมีเกมไหนง่ายเลยจริงๆ



ไม่มีโม  ไม่เหมือนเดิม ...

          ก่อนเกมที่คิดว่าลิเวอร์พูลนั้นสมบูรณ์พร้อมสุดขีด ก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิดซะทีเดียว เพราะเกมนี้กำลังสำคัญอย่าง โม ซาล่าห์นั้นยังมีอาการบาดเจ็บรบกวนทำให้เกมนี้ไม่มีชื่อของเขาเลยแม้แต่ในม้านั่งสำรอง แต่ทีมก็ได้โกล์มือ 1 อย่าง อลิสซงกลับมาเฝ้าเสา แต่ถึงกระนั้นแฟนๆ ก็ยังมั่นใจพอสมควรว่าแม้จะไม่มีซาล่าห์แต่คนอื่นๆ ที่เหลือ ก็น่าจะ “เอาอยู่” กับเกมนี้อยู่แล้ว และเมื่อเทียบกับแมนยูที่ขาดตัวหลักอย่างป็อกบาไปเหมือนกัน ก็ไม่น่าจะเหนือบ่ากว่าแรงที่พวกเขาจะบุกมาชนะในเกมนี้ได้ แต่ในความเป็นจริงนั้น การขาดซาล่าห์ไปในแนวรุกส่งผลมากพอสมควรแบบไม่น่าเชื่อจริงๆ ตอนที่ลิเวอร์พูลมีซาล่าห์ลงสนามนั้น แฟนๆ อาจจะหงุดหงิดในจังหวะการเล่นของซาล่าห์ในหลายๆ จังหวะและมีแอบๆ บ่นๆ ด่าให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แต่พอขาดซาล่าห์ไปแบบนี้ ทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าซาล่าห์นั้นมีอิทธิพลและส่งผลต่อเกมรุกของทีมขนาดไหน การไม่มีเขาทำให้โอริกี้ต้องลงมาเล่นแทน และทำให้ต้องโยกมาเน่ไปยืนฝั่งขวาแทนซาล่าห์ ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าไม่เวิร์กอย่างยิ่ง เรื่องแรกเลยคือ โอริกี้พอเล่นฝั่งซ้ายแล้วดูเหมือนว่าเขากับโรเบิร์ตสันจะเล่นไม่ค่อยเข้าขาและรู้จังหวะกันเอาซะเลย  และทางมาเน่เองก็ดูเหมือนว่าจะลืมการเล่นฝั่งขวาไปหมดสิ้นเสียแล้ว และก็เหมือนกับโอริกี้เลย คือเขาไม่ค่อยมีการประสานงานกับฟูลแบ็กอย่างเทรนท์ เท่าไรเลย ทำให้อาวุธหนักของลิเวอร์พูลอย่างการโจมตีจากฟูลแบ็กในเกมนี้เราแทบจะไม่มีให้เห็นเลยทีเดียว และก็เป็นการตอกย้ำให้เห็นชัดๆ อีกครั้งว่า 3 ประสานในเกมรุกของเรานั้น ต้องอยู่ด้วยกันและเล่นด้วยกันจริง ถึงจะมีพลังทำลายล้างสุดยอดพอขาดใครไปคนใดคนนึง ประสิทธิภาพก็หายไปมากพอสมควรเลยทีเดียว 




   
แมนฯ ยู ยังคงเป็นแมนยู

          ไม่ว่าก่อนหน้านี้ผลงานของทั้งสองทีมจะเป็นยังไง ฟอร์มจะแตกต่างอะไรกันแค่ไหน แต่พอทั้งคู่มาเจอกันแบบนี้ก็ยังดูสูสีและต่อสู้กันได้สนุกเช่นเคย และด้วยความที่เกมนี้เล่นในโอลด์ แทรฟฟอร์ดบ้านแมนยูด้วย ทำให้ความได้เปรียบและความเหลื่อมล้ำของทั้งคู่ก็ถูกกระชับลงมาให้ไม่หนีห่างกันไปมากอย่างที่แฟนๆ คิดกันไว้ก่อนเกม และในเกมนี้ก็ต้องปรบมือชื่นชมแมนฯยูด้วยเช่นกัน ที่พวกเขาเล่นกันได้อย่างยอดเยี่ยมและอาจจะเรียกได้ว่าเกินมาตรฐานของฟอร์มพวกเขาเมื่อวัดจากเกมที่ผ่านๆ มาไปเยอะพอสมควรเหมือนกัน พวกเขาวิ่งกันไม่หยุดและเล้นเกมรับอย่างมีวินัยมากจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการปิดการโจมตีจากริมเส้นที่เป็นอาวุธหนักของฝั่งลิเวอร์พูลได้อย่างอยู่หมัด และยังเล่นเกมสวนกลับได้อย่างเฉียบคมอีกด้วย  จนอดสงสัยไม่ได้เลยว่า “ทำไมก่อนหน้านี้พวกพี่ไม่เล่นแบบนี้ล่ะครับ” (ฮา) และนอกจากนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การตัดสินของกรรมการในเกมนี้ ก็ค่อนข้างจะเอนเอียงไปทางฝั่งพวกเขาอยู่บ้างพอสมควรเหมือนกัน (สมกับเป็นแมนฯยูจริง  ฮา...) หลายๆ จังหวะ 50/50 การตัดสินจะไปเข้าทางทางฝั่งแมนฯยูซะเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวะที่ลิเวอร์พูลเสียประตู ซึ่งในจังหวะดังกล่าวโอริกี้ โดนลินเดอเลิฟ เตะเข้าที่น่องค่อนข้างชัดเจนเหมือนกัน แต่กรรมการก็ปล่อยให้เกมเดินต่อไปจะเป็นจังหวะต่อเนื่องให้แมนยูได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะสวนกลับในจังหวะนั้นนั่นเอง ซึ่งพอมาย้อนดู VAR แล้วก็เห็นค่อนข้างชัดว่าโอริกี้นั้นโดนเตะจริงๆ แต่กรรมการก็ยังยืนยันคำตัดสินเดิมทำให้แมนฯยูได้ประตูนำไปแบบสร้างความขุ่นเคืองให้กับแฟนบอลลิเวอร์พูลอยู่พอสมควรเหมือนกัน และยิ่งตอกย้ำความหงุดหงิดอีกครั้งกับจังหวะที่มาเน่ยิงเข้าแล้วแต่โดน VAR จับแฮนด์บอล (แต่ลูกนี้ก็แฮนด์จริงๆ นะ 5555)  และผมก็เชื่อว่าแฟนลิเวอร์พูลก็เห็นชัดเจนว่าลูกนี้โดนมือมาเน่ในจังหวะจับบอลจริงๆ แต่กระนั้นก็ห้ามไม่ให้แฟนๆ หงุดหงิดกับคำตัดสินยากเหมือนกัน เพราะมันต่อเนื่องมาหลายคดีเหลือเกิน เรียกได้ว่าแฟนลิเวอร์พูลหลายคนเรียกร้องขอเปลี่ยนเป็น ไมเคิล  โอลิเวอร์(พูล)  แทนได้ไม๊  ..... กันเลยทีเดียว ฮ่าๆ




พัฒนาการของเจอร์เก้น คล็อปป์

          ผมเชื่อว่าหลายๆ คน น่าจะเคยบ่นหรือหงุดหงิดกับการเปลี่ยนตัวช้า หรือการไม่ยอมแก้เกมของเจอร์เก้น คล็อปป์มากพอสมควรในปีก่อน แต่ในปีนี้นั้นเจอร์เก้น คล็อปป์พัฒนาในส่วนนี้ค่อนข้างเยอะมากจริงๆ อย่างที่เราจะเห็นในหลายๆ เกมว่าพอเห็นว่าทีมตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เขาก็ไม่รีรอที่จะเปลี่ยนตัวผู้เล่นและเปลี่ยนแท็กติกเพื่อแก้เกมอย่างทันทีทันใด และในหลายๆ เกมเราจะเห็นได้อย่างชัดเจน ว่า “มันเวิร์ก” จริงๆ .... อย่างเช่น เกมซุปเปอร์คัพ กับเชลซี ที่เปลี่ยนเอาฟีร์มีโน่ลงมาในครึ่งหลัง แล้วก็ทำให้ทีมพลิกกลับมาเป้นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด และหลายๆ เกมที่เปลี่ยนเอาโอริกี้ลงมาก็ทำให้ทีมได้ประตูในท้ายที่สุด (แม้ว่าโอริกี้จะไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับประตูนั้นๆ ก็ตาม ฮาาาา) เกมนี้ก็เช่นกัน เขาเปลี่ยนเอาลัลลาน่า และเชมเบอร์เลน ลงไปแทนเฮนโด้ และโอริกี้ที่เกมนี้เล่นไม่ค่อยดีเท่าไร และนั่นก็ทำให้ลิเวอร์พูลกลับมาครองเกมได้อีกครั้ง และพอจะมีลุ้นลูกตีเสมอมากกว่าครึ่งแรกมากพอสมควร และตบท้ายด้วยการส่งนาบีเกอิต้าลงมาเป็นไพ่ใบสุดท้าย และในที่สุดลิเวอร์พูลก็ได้ประตูตีเสมออย่างที่พวกเขาต้องการจากตัวสำรองอย่างลัลลาน่านั่นเอง และเกือบจะแซงชนะเสียด้วย ถ้าลูกยิงของเชมเบอร์เลนเข้ากรอบในจังหวะยิงไกลหลังจากลูกยิงตีเสมอไม่นาน ซึ่งอาจจะบอกได้ว่าตอนนี้คล็อปป์นั้นมีไพ่ในมือที่พร้อมใช้และค่อนข้างหลากหลาย ให้เขาเลือกใช้ในแต่ละสถานการณ์มากกว่าสมัยก่อนอยู่พอสมควรแต่กระนั้นก็ต้องชื่นชมยอดกุนซือคนนี้อยู่ดีล่ะครับ   




          สุดท้ายเกมแดงเดือดครั้งนี้ก็จบไปอย่างเข้มข้น และเสมอกันไป 1-1 และลิเวอร์พูลก็สามารถเก็บได้ 1 แต้มกลับออกมาจากโอลด์แทรฟฟอร์ดได้สำเร็จ ซึ่ง 1 แต้มนี้เป็นแต้มที่บรรยายไม่ถูกจริงๆ ครับว่าจะรู้สึกยังไงกับ 1 แต้มนี้ดี ถ้าเทียบกับฟอร์มการเล่นก่อนหน้านี้อาจจะเรียกได้ว่าน่าเสียดายอยู่พอสมควรกับการเก็บได้แค่ 1 แต้ม แต่เมื่อดูจากฟอร์มการเล่นในเกมนี้อาจจะต้องยอมรับว่าการได้ 1 แต้มกลับออกมาก็ถือว่าเป็นโชคดีแล้วเหมือนกันเพราะนี่คืออีก 1 เกมในซีซั่นนี้ที่ลิเวอร์พูลโชว์ฟอร์มได้ไม่ค่อยเข้าตาจริงๆ อยู่ที่เราจะมองจริงๆ ครับ ว่านี่คือ 1 แต้มในมุมไหน .... แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม 1 แต้มนี้ก็ยังทำให้เรานำแมนฯซิตี้อยู่ 6 คะแนน และเป็นจ่าฝูงแบบไร้พ่ายอยู่ดีล่ะครับ YNWA ครับทุกคน





ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด