:::     :::

9 เกมแรก พรีเมียร์ลีก

วันพุธที่ 23 ตุลาคม 2562 คอลัมน์ Football Therapy โดย บี้ เดอะสปา
1,412
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ศึกพรีเมียร์ลีกเดินทางมาถึง 1 ใน 4 ของฤดูกาล ผู้นำ ลิเวอร์พูล หยุดผลงานชนะรวดเอาไว้ที่ 8 นัด และช่องว่างระหว่างสองทีมนำก็ถูกบีบจาก 8 เข้ามาเหลือ 6

ถ้าถามว่า 25 คะแนนจาก 9 นัดแรกของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 2019-20 เป็นผลงานที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ลีกสูงสุดของอังกฤษเปลี่ยนมาเป็นพรีเมียร์ลีกหรือไม่ คำตอบคือ 'ไม่'

เพราะ เชลซี ในยุค โชเซ่ มูรินโญ่ เคยทำสถิติชนะรวด 9 นัดแรกเอาไว้ในฤดูกาล 2005-06
และถ้าถามอีกว่า ช่องว่าง 6 คะแนนระหว่างสองทีมนำ เป็นความห่างที่สุดใน 9 นัดแรกพรีเมียร์ลีกหรือไม่ คำตอบก็คือ 'ไม่' อีก
เพราะ เชลซี ในซีซั่น 2005-06 นั่นแหละ ที่นำอันดับสอง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ห่างที่สุด 7 คะแนน
ขอลองทดสอบความทรงจำกันสักหน่อยว่า ศึกพรีเมียร์ลีกตลอด 10 ฤดูกาลที่ผ่านมา หลังผ่าน 9 นัดแรก สถานการณ์เป็นอย่างไรกันบ้าง และบทสรุปในฤดูกาลนั้นลงเอยกันอย่างไร
ฤดูกาล 2009-10
ถือเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่การลุ้นหัวตารางเบียดบี้กันสนุก หลังผ่าน 9 นัดแรก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้ร่มเงาของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เก็บไป 22 คะแนน มีสะดุดแพ้พลิกล็อกที่บ้าน เบิร์นลี่ย์ ตั้งแต่เกมที่สอง แต่หลังจากนั้นเก็บชัยในเกมบิ๊กแมตช์ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เหนือ อาร์เซน่อล และ แมนฯ ซิตี้ บวกกับอีกสามแต้มที่ ไวท์ ฮาร์ท เลน ด้วย
ที่ตามมาติดๆ ชนิดหายใจรดต้นคอคือ อาร์เซน่อล ของ อาร์แซน เวนเกอร์ กับ เชลซี ในยุค คาร์โล อันเชล็อตติ ต่างมี 21 คะแนนเท่ากัน แต่ประตูได้เสีย ปืนใหญ่ เหนือกว่า 
บทสรุปซีซั่นนั้น แชมป์พรีเมียร์ลีกตกเป็นของ เชลซี ที่แม้เข้าป้ายเฉือน แมนฯ ยูไนเต็ด คะแนนเดียว แต่เป็นแต้มเดียวที่ไม่มีลุ้นอะไรเลย เพราะสามนัดสุดท้าย ลูกทีมของ 'อันเช่' ไล่ยิง สโต๊ค 7-0, บุกอัด ลิเวอร์พูล 2-0 และปิดฉากด้วยการถลุง วีแกน อีก 8-0 พร้อมด้วย ดีดีเย่ร์ ดร็อกบา คว้าดาวซัลโวที่ 29 ประตู
ฤดูกาล 2010-11
แชมป์เก่า เชลซี เริ่มต้นอย่างร้อนแรงในซีซั่นที่สองของ อันเชล็อตติ เพียงแค่สองเกมแรกก็ซัลโว เวสต์บรอมวิช กับ วีแกน ไปด้วยสกอร์ 6-0 เท่ากัน ก่อนจบ 9 นัดแรก เก็บไป 22 คะแนน มีความพ่ายแพ้เกิดขึ้นเกมเดียวที่บ้านของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ปล่อยให้พวกที่ตามหลังมาต้องดิ้นรนกันอย่างหนัก ทั้ง อาร์เซน่อล ของ เวนเกอร์, แมนฯ ยูไนเต็ด ของ เฟอร์กูสัน และ แมนฯ ซิตี้ ของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ที่ต่างสะดุดกันพอสมควร และมี 17 คะแนนเท่ากัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อจบ 38 เกม แชมป์ตกเป็นของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เร่งเครื่องคว้าชัยไปทั้งหมด 23 เกม เก็บ 80 คะแนน นำสบายๆ เหนือ เชลซี กับ แมนฯ ซิตี้ ที่จบที่ 71 คะแนน
และเป็นซีซั่นที่ดีที่สุดของ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ กองหน้า ปีศาจแดง ที่กดไป 20 ประตู คว้าดาวซัลโวร่วมกับ คาร์ลอส เตเวซ ของ แมนฯ ซิตี้
ฤดูกาล 2011-12
ซีซั่นนี้เป็นการเบียดบี้กันระหว่างสองทีมแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงฉากจบ
หลังจากออกสตาร์ต 9 นัดแรก แมนฯ ซิตี้ ของ มันชินี่ โชว์ฟอร์มร้อนแรง มีสะดุดเสมอเกมเดียว นอกนั้นชนะ 8 นัด ทิ้งห่าง แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ 5 คะแนน โดยเกมแห่งซีซั่นของ เรือใบสีฟ้า เกิดขึ้นในนัดที่ 9 นี่แหละที่สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ที่บุกถล่มทีมร่วมเมือง 6-1 และ "why always me" บนหน้าอกเสื้อของ มาริโอ บาโลเตลลี่ ก็ถูกจารึกเอาไว้ในความทรงจำจากเกมนั้น
แม้หลังจากนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด โกยแต้มกลับมาแซงขึ้นนำ และนำโด่งถึง 8 คะแนนหลังจบเกมที่ 32 แต่สุดท้าย แมนฯ ซิตี้ ก็ค่อยๆ กลับมาไล่กระชั้น และเกมสำคัญคือชัยชนะในศึกแมนเชสเตอร์ดาร์บี้ 1-0 ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม จากประตูชัยของ แว็งซ็องต์ ก็องปานี ก็ส่งให้ เรือใบสีฟ้า กลับขึ้นนำจ่าฝูงด้วยประตูได้เสียที่ดีกว่าจากการมี 83 คะแนนเท่ากัน
และบทสรุปต้องไปวัดกันที่เกมสุดท้าย แมนฯ ซิตี้ สร้างเกมแห่งประวัติศาสตร์ขึ้น เมื่อพลิกสถานการณ์จากความพ่ายแพ้ กลับมาแซงชนะ ควีนส์ปาร์ค 3-2 จากประตูของ เอดิน เชโก้ นาที 90+2 และ เซร์คิโอ อเกวโร่ นาที 90+4 คว้าแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในรอบ 44 ปีของสโมสร
ฤดูกาล 2012-13
หลังจากดราม่าในแมนเชสเตอร์ซีซั่นก่อนยังทิ้งควันจางๆ เอาไว้ เชลซี ของกุนซือ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ที่สร้างปาฏิหารย์คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นก่อนหน้านี้ กลายเป็นทีมที่โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม เริ่มต้น 9 นัดแรกเก็บไป 22 คะแนน (ก่อนโดนไล่ออกหลังจบเกมที่ 12 เพราะไม่ชนะ 4 นัดติด)
ตามด้วยสองทีมจากแมนเชสเตอร์ที่มี 21 คะแนนเท่ากัน เบียดบี้กันมาแบบกัดไม่ปล่อย
แต่บทสรุปซีซั่นนี้ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น แมนฯ ยูไนเต็ด ปิดฉากฤดูกาลสุดท้ายของ เฟอร์กูสัน ได้อย่างงดงาม จบที่ 89 คะแนน ทิ้งห่าง แมนฯ ซิตี้ ที่จบ 78 คะแนน และมีการไล่ มันชินี่ ในช่วงท้ายซีซั่น ขณะที่ เชลซี ซึ่งมี ราฟาเอล เบนีเตซ เข้ามารับช่วงต่อ จบอันดับสาม 75 คะแนน
ฤดูกาล 2013-14
อาร์เซน่อล ของ เวนเกอร์ ออกสตาร์ตฤดูกาลพรีเมียร์ลีกได้ดีที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา จากการเก็บ 22 คะแนนจาก 9 เกมแรก แต่ก็มี เชลซี ที่ โชเซ่ มูรินโญ่ กลับมาคุมรอบสอง และ ลิเวอร์พูล ในยุค เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ไล่ตามมากระชั้นห่าง 2 คะแนน
ถึงตอนนี้ยังไม่เห็นเงาของ แมนฯ ซิตี้ ที่มี 16 คะแนนอยู่อันดับ 7 เพราะมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมมาเป็น มานูเอล เปเยกรินี่ และยังต้องใช้เวลาปรับตัวในพรีเมียร์ลีก ส่วนแชมป์เก่า แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เลือก เดวิด มอยส์ เป็นกุนซือคนใหม่นั้นมีแค่ 14 แต้ม
ในช่วงที่โปรแกรมอัดแน่น ปืนใหญ่ ค่อยๆ แผ่วลงไปเอง จ่าฝูงถูกเปลี่ยนมือมาเป็นของ ลิเวอร์พูล สลับกับ เชลซี และ แมนฯ ซิตี้ จนกระทั่งจบเกมที่ 32 หงส์แดง กลับมาผงาดทีมนำของตารางอีกครั้ง และนำ เรือใบสีฟ้า 3 คะแนน ขณะที่เหลือ 3 เกมสุดท้ายเท่านั้น
แต่ช็อตลื่นล้มของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ในเกมที่ เชลซี บุกชนะที่ แอนฟิลด์ 2-0 และสามประตูท้ายเกมของ คริสตัล พาเลซ ที่ตามหลัง 0-3 แต่จบเกมเสมอ 3-3 ก็หยุดความฝันของ หงส์แดง ที่จะคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1990 ลง ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ไม่มีสะดุดเลยตลอด 5 เกมสุดท้าย
ฤดูกาล 2014-15
ฤดูกาลที่สองในการกลับมาคุม เชลซี รอบสองของ มูรินโญ่ เริ่มต้นได้อย่างดุดัน เก็บไป 23 คะแนนจาก 9 เกมแรก ประกอบกับผลงานของทีมลุ้นแชมป์อื่นๆ ผลงานไม่ดีในช่วงเริ่มต้น แมนฯ ซิตี้ มี 17 คะแนน, อาร์เซน่อล กับ ลิเวอร์พูล 14 คะแนน, แมนฯ ยูไนเต็ด 13 คะแนน ทำให้รองจ่าฝูงได้เห็นชื่อ เซาธ์แฮมป์ตัน โผล่ขึ้นมาจากการมี 19 แต้ม
เชลซี นำม้วนเดียวจบ ตั้งแต่ออกสตาร์ตนัดแรกไปจนจบเกมที่ 38 เป็นซีซั่นที่ไม่ได้ลุ้นแชมป์อะไรกันเลย เพราะแชมเปี้ยนแพ้เพียงแค่สามเกมตลอดทั้งซีซั่น เป็นเกมที่บ้าน นิวคาสเซิ่ล กับ สเปอร์ส และอีกนัดที่ เวสต์บรอมวิช ซึ่งเกิดขึ้นตอนที่ทีมคว้าแชมป์ไปแล้ว
แชมป์เก่า แมนฯ ซิตี้ ซึ่งเป็นซีซั่นที่สองของ เปเยกรินี่ ตามเข้ามาในฐานะรองแชมป์แบบห่างๆ 8 คะแนน อันดับสาม อาร์เซน่อล ตาม 12 แต้ม และอันดับสี่ แมนฯ ยูไนเต็ด ฤดูกาลแรกของ หลุยส์ ฟาน กัล ตามทีมแชมป์ถึง 17 คะแนน
ฤดูกาล 2015-16
สถานการณ์พลิกไปพลิกมาในแต่ละซีซั่น และฤดูกาลนี้โอกาสกลับมาอยู่ในกำมือของ แมนฯ ซิตี้ หลังผ่าน 9 เกมแรก ที่เก็บไป 21 คะแนน ยิงแหลกประตูได้เสียบวกถึง 16 ลูก ตามมาด้วย อาร์เซน่อล และ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เกาะตูดไปแบบกระชั้นชิด 2 แต้มเท่ากัน
แต่ผลงานของทั้ง แมนฯ ซิตี้, อาร์เซน่อล และ แมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มแผ่วลงไปอย่างน่าใจหาย โดยเฉพาะ เรือใบสีฟ้า จนถูก เลสเตอร์ ทำผลงานยอดเยี่ยมเหลือเชื่อ เริ่มจากคว้าชัย 4 เกมติดจนขึ้นนำจ่าฝูงหนแรกหลังจบเกมที่ 13 และหลังจากกลับมาขึ้นแท่นทีมนำอีกรอบตอนจบเกมที่ 22 จิ้งจอกสีน้ำเงิน ก็ครองทีมอันดับ 1 มาอย่างยาวๆ จนจบฤดูกาล เคลาดิโอ รานิเอรี่ พาทีมซิวแชมป์พรีเมียร์ลีกราวปาฏิหารย์
ปัจจัยสำคัญนอกเหนือจาก รานิเอรี่ ก็คือบรรดาตัวหลัก เจมี่ วาร์ดี้, ริยาด มาห์เรซ, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่นัดกันโชว์ฟอร์มเก่งและสม่ำเสมอตลอดทั้งฤดูกาลอย่างไม่น่าเชื่อ
ขณะที่รองแชมป์จากที่จะเป็น สเปอร์ส ที่ทิ้งห่างทีมอื่นๆ มาโดยตลอด แต่สุดท้ายกลับแผ่วลงเรื่อย และเสียอันดับสองไปให้ อาร์เซน่อล ที่จบซีซั่นตามแชมเปี้ยน 10 คะแนน
ฤดูกาล 2016-17
ซีซั่นแรกของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซีซั่นแรกของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซีซั่นแรกของ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่ เชลซี และเป็นซีซั่นแรกที่ได้คุมทีมตั้งแต่ช่วงปรีซีซั่นของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ ลิเวอร์พูล
หลังผ่าน 9 เกมแรก บรรดา 5 จาก 6 ทีม 'บิ๊กซิกซ์' ต่างเบียดบี้กันสนุกสูสี แมนฯ ซิตี้, อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูล มี 20 คะแนนเท่ากัน และประตูได้เสียก็ต่างกันแค่ประตูเดียวเท่านั้น ขณะที่ เชลซี กับ สเปอร์ส กอดคอตามมาติดๆ ที่ 19 คะแนน ปล่อยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด หล่นไปอยู่อันดับ 7 มีเพียง 14 คะแนน
แต่ในระยะยาว คอนเต้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในระบบการเล่น 3-4-3 ที่เริ่มต้นใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมา หลังจากผลงานในเดือนกันยายนเกิดสะดุดอย่างแรง แพ้ต่อทั้ง ลิเวอร์พูล และ อาร์เซน่อล
จบซีซั่น คอนเต้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เข้ามาคุมทัพ พา เชลซี กวาดชัยชนะไปมากถึง 30 เกม ทิ้ง สเปอร์ส 7 คะแนน และปล่อยให้ เป๊ป จบซีซั่นแรกกับ แมนฯ ซิตี้ แบบมือเปล่า ด้วยการตามทีมแชมป์ถึง 15 คะแนน
ส่วนฤดูกาลแรกของ มูรินโญ่ กับ แมนฯ ยูไนเต็ด นะเหรอ? จบเพียงอันดับ 6 และตามห่าง เชลซี มากถึง 24 คะแนน
ฤดูกาล 2017-18
เป๊ป เสริมทัพหนักหน่วงเต็มที่สำหรับฤดูกาลที่สองกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และผลลัพธ์ที่ออกมาถือว่าคุ้มค่า เพราะ เรือใบสีฟ้า เก็บ 25 คะแนนจาก 9 นัดแรก นำสองทีมตามอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ สเปอร์ส ที่เก็บไป 20 คะแนน
ตลอดปี 2017 หรือครึ่งซีซั่นแรกในฤดูกาลนี้ แมนฯ ซิตี้ ไม่แพ้เลยตลอด 21 เกม คว้าชัยชนะไปถึง 19 นัด และเสมอเพียงสองเกมเท่านั้น ซึ่งภายหลังจากชัยชนะที่บ้าน วัตฟอร์ด 6-0 ในเกมที่ 5 เรือใบสีฟ้า ก็ก้าวขึ้นไปเป็นจ่าฝูง และนำยาวๆ รักษาความเป็นผู้นำไปจนจบฤดูกาล
นี่คือฤดูกาลที่น่าทึ่งของ เป๊ป กับ แมนฯ ซิตี้ ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยการมี 100 คะแนนพอดี และคว้าชัยชนะไปมากถึง 32 เกม เป็นการโกยแต้มทิ้งขาดทีมอันดับสอง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มากถึง 19 แต้มด้วย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งในซีซั่นที่ไม่มีการลุ้นแชมป์ใดๆ เกิดขึ้นเลยตั้งแต่เริ่มจนจบ
ฤดูกาล 2018-19
เป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่การออกสตาร์ตซีซั่น 9 นัดแรกเป็นการหายใจรดต้นคอกันและกันระหว่าง 5 ทีมใหญ่ โดยมี แมนฯ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล ที่เก็บ 23 คะแนนเท่ากัน ตามด้วย เชลซี, อาร์เซน่อล และ สเปอร์ส ที่ไล่กระชั้นมาที่ 21 คะแนน
แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด หายไปไหนอีกแล้ว ซีซั่นที่สามของ มูรินโญ่ ยังคงไม่มีอะไรดีขึ้น ผ่าน 9 นัดแรก หล่นไปอยู่อันดับ 10 มีเพียง 14 คะแนนเท่านั้น
หลังจากก้าวเข้าสู่เดือนตุลาคม ซีซั่นนี้กลายเป็นการลุ้นแชมป์ระหว่าง แมนฯ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล เพียงสองทีม โดย เรือใบสีฟ้า ก้าวขึ้นสู่จ่าฝูงหลังจบเกมที่ 7 และนั่งตำแหน่งนี้มาจนถึงเกมที่ 15 จากนั้น หงส์แดง เข้ามารับช่วงต่อ และเป็นอีกซีซั่นที่แฟนๆ คิดถึงการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1990
ลิเวอร์พูล เจอช่วงเวลาสุดสำคัญในเดือนกุมภาพันธ์ที่ส่งผลต่อทีมอย่างมหาศาล การเสมอ เลสเตอร์ กับ เวสต์แฮม เช่นเดียวกับหนึ่งแต้มที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และ กูดิสัน พาร์ค ทำให้จ่าฝูงเปลี่ยนกลับไปเป็นของ แมนฯ ซิตี้ ตั้งแต่เกมที่ 29 เป็นต้นมา
ประกอบกับทีมของ เป๊ป ชนะรวด 14 เกมสุดท้าย หรือนับตั้งแต่เริ่มต้นเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ทำให้จ่าฝูงอยู่กับ เรือใบสีฟ้า จนจบซีซั่น และแชมป์พรีเมียร์ลีกก็ตกอยู่ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม อีกครั้ง แม้มีเสียววาบเล็กๆ ในเกมสุดท้าย เพราะบทสรุปซีซั่นนี้เฉือนกันเพียงแต้มเดียว

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด