ซึ่งขณะที่ผู้อ่านกำลังสะกดตัวหนังสือบรรทัดนี้ สโมสรอาจมีการแถลงข่าวถึงเรื่องดังกล่าว เร็วกว่าที่นัดกันไว้

คงเป็นเรื่องที่น่าเศร้า หาก “พลังเพลิง” จะถูกทำให้หายไปจากสารบบลูกหนังไทย เพียงเพราะการเปลี่ยนผ่านของผู้ใหญ่ที่มานั่งเก้าอี้ “ไม่อินกับฟุตบอล”

ที่ต้องใช้คำว่า “ไม่อิน” เพราะทีมอย่าง พีทีที ระยอง ไม่มีทางขัดสนด้วยเรื่องเงินแน่ ด้วยความเป็นองค์กรระดับบิ๊กของประเทศ เม็ดเงินที่หว่านลงมาให้ฟุตบอล แทบจะเป็น “เสี้ยวหนึ่ง” ของงบประมาณเสียด้วยซ้ำ

จากที่ผู้เขียนพูดคุยกับแหล่งข่าวในรั้วมา ทราบมาว่าโปรเจกต์การปรับโครงสร้างองค์กรและ “พักทีม” นี้ถูกเคาะมาอย่างทางการแล้ว (ตามภาพหลุดผังโครงสร้างที่ออกมา)

เหลือเพียงให้ทาง “ซีอีโอ” หรือผู้ที่มีตำแหน่งใหญ่สุดรอ “คลิกทิศทาง” ว่าจะพักทีมหรือไม่อย่างทางการเท่านั้น

ฟังผิวเผินการ “พักทีม” อาจดูเบากว่า “ยุบทีม” ถึงกระนั้น ตามกฎไทยลีกที่ระบุไว้ เมื่อ พีทีที ระยอง กลับมาลุยทำฟุตบอลต่อ เท่ากับว่า ต้องรีสตาร์ตเริ่มใหม่ตั้งแต่ ไทยลีก 4 โน่นเลย

แน่นอนว่าเป็นการ “เสียเวลาชีวิต” โดยใช่เหตุ

เพราะกว่าจะปีนป่ายขึ้นมาลีกสูงสุดจนถึงวันนี้ได้ ทั้งนักเตะ บุคลากรทีม ต่างทำงานอย่างหนัก เลือดตาแทบกระเด็น

กับผลงานทีมบนลีกสูงสุดเองก็ไม่ได้ขี้ริ่วขี้เหร่ ภายใต้การคุมทัพของ “โค้ชโจ” ธีระศักดิ์ โพธิ์อ้น ระบบฟุตบอลมีแบบแผนชัดเจน และความลงตัวในเริ่มเข้าที่เข้าทาง ทุกอย่างกำลังไปในทางที่ดี

แต่จู่ๆก็มี “ฟ้าผ่า” กลางสวนสมุนไพรมาบข่า ไม่ว่าใครก็ต้องช็อก!!!

สิ่งที่ตามมาคือ นักเตะ โค้ช ทีมงาน อาจต้องระเห็จหาบ้านใหม่ทั้งหมด แฟนบอลที่ผูกพันกับสโมสรมา แหกปากเสียเงินให้กำลังใจทีมมาโดยตลอด สุขทุกข์แค่ไหนก็ยืนเคียงข้างไม่ถอย ผู้ใหญ่คิดถึงกลุ่มคนที่อุทิศให้สโมสรเหล่านี้บ้างหรือไม่ ?

ตัวผู้เขียนแม้ไม่ได้เป็นคนระยอง หรือ เชียร์ “พลังเพลิง” (แต่เข้าปั๊ม ปตท.ตลอด) เข้าใจถึงหัวอกชาว พีทีที ระยอง กับข่าวลือที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง

จุดนี้อยากให้ผู้บริหารใหญ่ลองคิด และตัดสินใจอีกครั้ง

ไม่ว่าจะด้วย “การเมือง” หรือปมอะไร ขอให้มีทางออกดีกว่าการ “พักทีม” เถอะ