:::     :::

"ออกมานี่เลยไอ้เหี้ย!!!" ประวัติศาสตร์อริเก่า แมนยู VS ปาร์ติซาน

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2562 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
2,528
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
อดีตนักเตะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยังคงจำความดุเดือดในตอนที่พวกเขาเคยได้เจอกับ Partizan Belgrade ทั้งการโดนไล่ออกยังกะหมา เรื่องไฝว้ที่งานเลี้ยง การหยุดการปะทะกับสต๊าฟของแมนซิตี้ และความพ่ายแพ้ของยูไนเต็ดปี1966
ปาร์ติซานเบลเกรด ทีมเจ้าบ้านที่จะเปิดรังต้อนรับการมาเยือนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในคืนวันพฤหัสบดี บนเส้นทางของถ้วยยูโรป้าลีกนั้น พวกเขาเคยเป็นคู่ต่อสู้ของแมนยูไนเต็ดในยูโรเปี้ยนคัพรอบรองชนะเลิศปี1966 มันคือการกลับไปเยือนเมืองหลวงแห่งYugoslavอันดุเดือดอีกครั้ง เมื่อเกมนี้เกิดขึ้นที่สนาม People's Army Stadium

ซึ่งที่นี่เมื่อ8ปีก่อน เหล่าบัสบี้เบ๊บส์เคยมาเสมอกับRed Star Belgradeในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ปี1958 และมันคือก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ของ "เที่ยวบินแห่งโชคชะตา"  ของแมนยูไนเต็ดที่มิวนิคในปีนั้นนั่นเอง



ในปี1966 ปาร์ติซานได้ถูกเสนอโบนัสหนึ่งส่วนสามของเกมนี้ให้ถ้าพวกเขาชนะยูไนเต็ดได้ และแน่นอนมันเป็นไปตามนั้น เมื่ออยู่บนสนามของพวกเขาต่อหน้าแฟนๆถึง55,000คน ทีมสุดแกร่งที่มีฝีมือยอดเยี่ยมนี้เอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 2-0

"แม้เดนิส ลอว์ ยิงพลาดอย่างเหลือเชื่อในระยะเพียงแค่สองหลา แต่พวกเราก็เล่นเกมรับได้ห่วยมาก" แพดดี้ ครีแรนด์เล่าย้อนความให้ฟังอีกครั้ง "พวกเรามีคนได้รับบาดเจ็บรุนแรงระหว่างเกมด้วย จอร์จ เบสต์บาดเจ็บซ้ำที่หัวเข่าก่อนจบเกม ซึ่งมันหมายความว่าเขาต้องปิดเทอมยาวในฤดูกาลนั้นไปเลย"



หลังจากนั้นเรากลับมาด้วยการเสียเปรียบอยู่ถึงสองประตู เป็นคำถามใหญ่มากกับทางฝั่งแมนยูว่าจะเอาชนะยังไง คาดการณ์ว่า ปาร์ติซานเองนั้นน่าจะพยายามมารักษาประตูนำของพวกเขาเอาไว้ให้ได้ในเกมที่โอลด์แทรฟฟอร์ด

"โชคร้ายหน่อย น่าเสียดายว่าผมโดนไล่ออก ซึ่งส่วนตัวผมว่าเหตุการณ์มันไม่มีอะไรสักหน่อย" ครีแรนด์ในวัย80และยังคงเป็นนักสังเกตการณ์ของแมนยูไนเต็ดกล่าว "น็อบบี้ สไตล์ ไปต่อยนักเตะของพวกเขา และผมก็เข้าไปห้ามไอ้น็อบบี้ให้ออกมาจากจุดเกิดปัญหา  ซึ่งแบ็คซ้ายของพวกเขาอย่าง Ljubomir Mihajlovic เข้ามาดึงตัวผม และผมก็ผลักเขาออก ซึ่งDienstผู้ตัดสินชาวสวิส และทั้งๆที่เคยตัดสินฟุตบอลโลกรอบชิงที่เวมบลีย์มาแล้วนั้น มาบอกว่าผมไปเตะใส่พวกยูโกสลาฟพวกนั้น ซึ่งผมไม่ได้ทำ ดังนั้นมิไฮโลวิชกับผมก็เลยโดนไล่ออกทั้งคู่ แต่น็อบบี้ยังได้อยู่ในสนามทั้งๆที่ไปสาวหมัดต่อยชาวบ้านเค้ามา"

ซึ่งตอนนั้นเหลือเวลาอีก20นาทีสุดท้ายในตอนที่ยัง 0-0 และครีแรนด์ก็เดือดเป็นไฟเลย


"ทีมเราไม่อยากจะเหลือนักเตะแค่10คน และผมคิดได้ว่า ต่อให้เราชนะก็ตามผมก็อดลงเล่นในรอบชิงอยู่ดี ผมนี่ฟิวส์ขาดเลยและก็เริ่มน้ำตาไหลร้องไห้ออกมา จากนั้นน็อบบี้ยิงได้ ถึงแม้ว่ามันจะขึ้นว่าเป็นการทำเข้าประตูตัวเองก็ตาม หลังจากนั้นเหลือเวลาให้แก้ตัวอีก17นาทีสุดท้าย แต่ในที่สุดปาร์ติซานก็รักษาสกอร์รวมเอาไว้ได้"

สุดท้ายแล้วทีมจากยูโกสลาฟทีมนี้ก็ได้แพ้ให้กับเรอัล มาดริดด้วยสกอร์2-1 ในยูโรเปี้ยนคัพรอบชิงชนะเลิศ พร้อมกับการได้รับยกย่องด้วยภาพวาดขนาดใหญ่ของทีมพวกเขาซึ่งถูกกล่าวขานยกย่องว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดของปาร์ติซาน และตั้งมันเอาไว้ด้านนอกของสนามพวกเขา

สำหรับบัสบี้แล้ว การพ่ายแพ้ครั้งนั้นก็หนักพอจะทำให้เขาตัดสินใจที่จะประกาศรีไทร์ เขากล่าวกับครีแรนด์หนุ่มเลือดสก็อตในตอนนั้นเอาไว้ว่า "เราคงไม่มีทางได้แชมป์ยุโรปแน่ๆ" 


ครีแรนด์ยังคงจำได้ดีถึงคำพูดของอดีตเจ้านายเขาได้อย่างชัดเจน "เขาดูพ่ายแพ้ ตาลอยๆเลย ซึ่งผมก็รู้สึกแบบเขาเช่นกัน  ผมโดนไล่ออกและมานั่งร้องไห้อยู่ในห้องแต่งตัว แต่ไม่มีใครรู้  ตอนนั้นผมรู้สึกว่าผมจะต้องทำให้เซอร์แมตต์เขามั่นใจ และตอบกลับไปว่า  พวกเราจะเป็นแชมป์ลีกกันปีหน้า และเป็นแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพให้ได้ในอีกปีหลังจากนั้น   ผมพูดเพื่อเรียกขวัญกำลังใจกลับมาให้มากที่สุดทั้งกับตัวเองและกับแมตต์ แต่ดูเหมือนว่าเขาแตกสลาย ดูเหนื่อยใจเหลือเกิน"

"ผมคิดว่าคุณนายJeanได้เกลี้ยกล่อมให้เขาอยู่ต่อ และบอกว่า เหล่าคนที่ตายที่มิวนิคคงเรียกร้องให้แมตต์ลองพยายามอีกครั้ง  เธอพูดถูก และแมตต์ที่กำลังจมดิ่งนั้นก็ทราบดี ถ้าเขาเลิก เขาจะต้องใช้ชีวิตไปแบบรู้สึกผิดไปอีกนาน แต่จริงๆผมก็เข้าใจนะว่าทำไมเขาถึงรู้สึกแย่ลงขนาดนั้น คือเราเข้าใกล้จะถึงยอดเขาได้ แต่เรามักจะถูกคู่ต่อสู้ถีบตกลงมาและขึ้นไปไม่ถึงสักที ต้องมาเริ่มปีนใหม่ทุกครั้งจากตีนเขาล่างสุดซ้ำแล้วซ้ำอีก"

มีงานเลี้ยงให้สำหรับทั้งสองทีมในโรงแรมThe Midland ที่เมืองManchester โรงแรมซึ่งMr. Rolls ได้เจอกันครั้งแรกกับ Mr. Royceโรงแรมนั้นนั่นแหละ งานมีขึ้นหลังจบเกมที่ว่า อันนี้เป็นมารยาทตามธรรมเนียมปกติที่จะเป็นโอกาสให้เหล่านักเตะได้พบปะสังสรรค์ กินดื่มกัน ซึ่งบรรยากาศตอนนั้นโคตรจะไม่เหมาะสมเลยสำหรับจิตใจของมิดฟิลด์ชาวกลาสโกลวของพวกเรา



"ผมยังคงโมโหอยู่" ครีแรนด์กล่าว "มิไฮโลวิช ไอ้หมอที่ทำให้ผมโดนไล่ออกนั้นนั่งอยู่โต๊ะข้างๆเลย  ผมจ้องไปที่เขาตรงๆแบบชัดเจนเลยแล้วตะโกนบอกมันว่า กูจะฆ่ามึง  หลังจากนั้นเขาจะต้องเดินไปเข้าห้องน้ำ และผมเห็นจึงตามเขาไป เขาเข้าไปในผนังห้องเล็กๆและล็อคประตู  ผมเริ่มเตะผนังนั้นให้เขาออกมาจากห้องน้ำให้ได้  ผมตะโกนว่า ออกมานี่เลยไอ้เหี้ย!!! เขารู้สึกตกใจกลัวขี้แทบแตก ส่วนผมตอนนั้นก็เมาเละไม่ได้สติ เสียงดังอึกทึกจากผมคงได้ยินออกไปข้างนอก และคนก็เข้ามาลากผมออกไป"

สุดท้ายก็ผมก็ยอมจบด้วยการออกมาจากที่นั่นและไปที่ Brown Bull Pub ที่Salfordกับนักข่าว Hugh McIlvanney ที่นั่นคนเยอะมากและก็มีพวกแมนซิตี้บางคนอยู่ที่นั่นด้วย นั่นก็คือ Malcolm Allison ผู้ช่วยผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ซิตี้นั่งดูดซิการ์อยู่ที่นั่น  เขาสะใจมากที่แมนยูตกรอบและแสยะยิ้มอยู่กับเพื่อนของเขา ซึ่งสิ่งนี้มันเป็นการยั่วยุซ้ำ เหมือนยกกำลังสองความหงุดหงิดแก่McIlvanney เขาจึงทำท่าจะพุ่งไปต่อยไอ้พวกซิตี้พวกนั้น แต่ก็อีกครั้งที่ผมพยายามเข้าไปห้าม และก็ทำตัวเป็นผู้รักษาสันติภาพอย่างที่เห็น

สรุปไอ้งานเลี้ยงพวกนี้นักเตะไม่ชอบสักเท่าไหร่หรอก


"คือพวกเมียๆของพวกเราน่ะชอบ คิดว่านะ" ครีแรนด์ว่าเอาไว้ "แต่สำหรับนักเตะส่วนใหญ่มันหมายความว่าจะต้องกลับบ้านแต่ชั่วโมงเช้าตรู่เลยในวันพฤหัส มันเป็นข้อถกเถียงกันว่าไอ้งานเลี้ยงพวกนี้มันไม่ใช่เรื่องดีกับการเล่นฟุตบอลของเราเลย ถึงแม้ว่ามันจะเป็นประโยชน์กับพวกเมียๆเราก็เหอะ  หลังจากกับปาร์ติซาน พวกเราก็แพ้เอฟเวอร์ตัน 1-0 ในรอบรองFA Cupที่โบลตันอีก  มันคือการประสบความสำเร็จได้เข้าถึงรอบรองชนะเลิศเป็นครั้งที่4ของพวกเรา แต่พวกเราแพ้รวด3นัดติด เหตุผลมันง่ายๆมาก เมื่อเวลาที่เกมเหล่านี้ต้องเตะ พวกเรากรอบกันมาโคตรๆ เราต้องเล่น6เกมภายใน15วัน รวมถึงเกมรอบรองฯยูโรเปี้ยนคัพด้วย ในที่สุดเอฟเวอร์ตันที่ชนะเราก็ได้แชมป์FA Cup นั่นก็เป็นเพราะเขาโชคดีมาเจอเราในตอนที่ไม่พร้อมต่างหาก"

มีตัวแทนไปขอเข้าพบกับบัสบี้ที่ได้ยินว่าเหล่านักเตะไม่เอาด้วยและเห็นด้วยกับเขา "งานเลี้ยงถูกยกเลิกลงหลังจากนั้น พวกภรรยาไม่แฮปปี้เท่าไหร่ แต่แมตต์รู้สึกซาบซึ้งกับการนี้ เพราะว่าสำหรับเขาแล้วนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือผลงานของทีม เขาบอกกับผมหลายต่อหลายครั้งว่า  นักข่าวอาจจะเขียนถึงสิ่งที่ผมทำให้กับสโมสร หรือเขียนถึงบ็อบบี้ ชาร์ลตัน รึเดนิส ลอว์ แต่กับทีมนั้นสำคัญมากที่สุดยิ่งกว่าเพียงแค่ปัจเจกบุคคลใดๆ  ความเป็นทีมคือสาระสำคัญของเหล่ามวลชน และพวกเขาก็ต้องการแต่เรื่องประสบความสำเร็จ"


"นอกจากนี้งานจัดเลี้ยงยังมีถูกจัดขึ้นด้วยในเกมเยือนบอลยุโรป ดังนั้นมันจึงอยู่เหนือการควบคุมของพวกเราแล้ว แต่ผมก็ยังคงไม่ชอบอยู่ดี จะมีคนใส่สูทขึ้นไปพูดอะไรสักอย่างนึงเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นอีกคนนึงก็จะมาพูดซ้ำไอ้คนตะกี๊ในภาษาอะไรก็ตามนั่นแหละที่เป็นภาษาของเจ้าถิ่นที่เราไปเตะตรงนั้น  และงานนี้ก็ยังคงมีขึ้นเช่นเดิม แต่มีแค่ในระดับผู้อำนวยการเท่านั้น"

ยูไนเต็ดพ่ายแพ้แตกสลายอีกครั้งในเดือนเมษายนปี 1966 แต่สุดท้ายพวกเขาก็กลับมาคว้าแชมป์ลีกได้ในปี1967 และกลายเป็นสโมสรอังกฤษทีมแรกที่คว้าแชมป์ยุโรปในปี1968 พวกเขามีงานเลี้ยงหลังแมตช์ในตอนนั้นอีกที่งานเลี้ยงเหล่าเซเล็บที่โรงแรมRussellในลอนดอน ซึ่งแมตต์ บัสบี้ลุกขึ้นยืนร้องเพลง What a Wonderful World ของหลุยส์ อาร์มสตรองบนโต๊ะอาหารในงานเลย

..เกมยูโรป้าลีกในคืนนี้กับปาร์ติซาน ถ้าชนะก็น่าจะเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับโอเล่ กุนนาร์ โซลชาได้ ถึงแม้ว่าโอกาสที่ทีมของโอเล่จะได้เฮและร้องรำทำเพลงในคืนนี้มันไม่น่าจะเป็นไปได้ก็ตาม

-ศาลาผี-


 Source : Andy Mitten, https://www.fourfourtwo.com

https://www.youtube.com/watch?v=CWzrABouyeE

Louis Armstrong - What a wonderful world  เพลงฮิตของปี1967ที่เราได้แชมป์นั้นพอดี

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})