:::     :::

เดินหน้าต่อ

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
3,090
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ความพ่ายแพ้ให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมคาราบาว คัพ รวมถึงการสะดุดเสมอในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไม่ได้ทำให้ เชลซี ออกอาการเป๋แต่อย่างใดเมื่อกลับมาลงสนามในพรีเมียร์ลีก

ทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ยังคงเดินหน้าเก็บชัยชนะต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นการคว้าชัยเป็นเกมที่ 6 ติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก เก็บเพิ่มเป็น 26 คะแนนรั้งอยู่ในอันดับ 3 ของตาราง ตามหลังจ่าฝูงอย่าง ลิเวอร์พูล 8 แต้ม

ถ้าจะบอกว่าลุ้นแชมป์ลีกก็คงไม่น่าเกลียด

"สิงห์บลูส์" เปลี่ยนสามตำแหน่งจากเกมยุโรปที่เปิดบ้านเสมอ อาแจ็กซ์ 4-4 โดยหนึ่งตำแหน่งที่ต้องเปลี่ยนแน่ๆก็คือ จอร์จินโญ่ ติดโทษแบน แต่ได้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ หายกลับมาเสียบตำแหน่งพอดี ส่วนอีกสองตำแหน่งเป็นแบ็คขวา-ซ้ายที่ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า กับ มาร์กอส อลอนโซ่ โดยเป็น รีซ เจมส์ กับ เอแมร์ซอน ที่ลงมาแทน

        

เรียกได้ว่าทั้งสามตำแหน่งที่มีการเปลี่ยนแปลงคนที่ลงมาแทนศักยภาพหาได้ด้อยกว่าแต่อย่างใดเลย

ส่วนคนที่เหลือเหมือนเดิมทั้ง เกปา อาร์รีซาบาลาก้า, คูร์ท ซูม่า, ฟิคาโย่ โทโมรี่, มาเตโอ โควาชิช และแนวรุก วิลเลี่ยน, เมสัน เมาท์ และ คริสเตียน พูลิซิช ส่วนกองหน้า แทมมี่ อบราฮัม ล่าตาข่ายตามปกติ

ถือเป็นการดวลกันของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือหนุ่มกับ รอย ฮ็อดจ์สัน ผู้จัดการทีมอายุมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้

รูปที่ออกมาในช่วงครึ่งแรกชัดเจนว่าเป็นของเจ้าบ้านที่ปูพรมบุกใส่อยู่ข้างเดียว จากการครองบอล 68% พร้อมโอกาสสับไกถึง 11 หน แต่เปลี่ยนโอกาสเข้ารอบเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น


โอกาสชัดที่สุดมีอยู่สองหน ครั้งแรกจังหวะโต้กลับที่ วิลเลี่ยน จ่ายบอลให้ คริสเตียน พูลิซิช ลุยเข้าไปยิงแต่ติดบล็อค บีเซนเต้ ไกวต้า กับช่วงทดเวลาเจ็บที่ รีซ เจมส์ เปิดบอลจากทางขวาเข้ากลาง ไกวต้า ปัดออกมาเข้าทาง วิลเลี่ยน จัดเน้นๆแต่ติดบล็อคออกหลังไปอีก

เรียกได้ว่าทุกอย่างในครึ่งแรกอยู่ในมือของ "สิงห์บลูส์" ทั้งหมด และเกมของพวกเขาก็ถือว่าทำได้ในทุกมิติเลย

เกมรุกเปิดโหมดบุกอยู่ตลอดเวลา และเมื่อเสียบอลให้ผู้มาเยือนที่รอจังหวะสวนกลับอยู่แล้ว แข้ง เชลซี ก็ตัดเกมทันที ทั้งสามใบเหลืองจาก วิลเลี่ยน, เอแมร์ซอน และ มาเตโอ โควาชิช มาจากจังหวะตัดเกมทั้งสิ้น

ถือว่าไม่ได้เสียใบเหลืองแบบสูญเปล่าเลย


เพียงแต่สิ่งที่ขาดหายไปคือการเล่นลูกตั้งเตะจากทั้งลูกเตะมุมและฟรีคิกยังขาดทีเด็ดไปหน่อยในเกมที่เกมโอเพ่น เพลย์ไม่สามารถทำอะไรได้

โดยเฉพาะ แทมมี่ อบราฮัม ที่แทบไม่มีส่วนร่วมกับเกมเลย เรียกว่าโดนประกบติดจนขยับไม่ได้ ไม่มีโอกาสสับไกเลยแม้แต่ครั้งเดียว

แต่เมื่อเข้าครึ่งหลังแค่ 7 นาที โอกาสครั้งแรกของ แทมมี่ ที่สปีดหนี แกรี่ เคฮิลล์ สำเร็จ ก็ได้หลุดเข้าไปยิงประตูให้ทีมขึ้นนำเลย ลูกนี้ต้องชม วิลเลี่ยน ที่ชิ่งจังหวะเดียวมาให้ 

แม้จะมีเสียวเล็กๆกับการที่ผู้ตัดสิน ไมค์ ดีน ต้องขอเช็กกับทีมงานวีเออาร์สักหน่อย แต่จากภาพช้าก็พอมองเห็นได้ชัดเจนอยู่ว่าไม่ล้ำ


ถือเป็นประตูปลดล็อคให้ เชลซี เล่นง่ายและสามารถดึงเกมช้าได้ ปล่อยให้ คริสตัล พาเลซ ต้องไล่มากขึ้น เพื่อเปิดพื้นที่มากขึ้น

โอกาสของ "สิงห์บลูส์" ดูจะมีมาเรื่อยๆ คริสเตียน พูลิซิช ที่เล่นได้โดดเด่นในช่วงหลังได้จังหวะล็อคหาช่องสับไกหน้าเขตโทษแต่ บีเซนเต้ ไกวต้า บินปัดออกหลังไปได้

เกมของ เชลซี ไม่ได้ถอยลงไปตั้งรับเลย นั่นทำให้เกมของ คริสตัล พาเลซ ไม่สามารถบุกขึ้นมาได้ ถือเป็นการวางแผนที่ดีของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่ไม่สั่งให้ลูกทีมถอยลงมาแต่อย่างใด

และมันก็นำมาซึ่งประตูที่สองของทีมจนได้จังหวะที่ มิชี่ บาตชูอายี่ ตัวสำรองได้บอลหาช่องสับไกติดบล็อคบอลลอยไม่ไปไหน คริสเตียน พูลิซิช ตามมาโหม่งจ่อๆเข้าไปเป็นประตูปิดท้ายให้ทีมนำ 2-0


ถือเป็นเกมที่ทีมทำผลงานได้เป็นอย่างดี กับเด็กที่อายุเฉลี่ย 24 ปี 88 วัน น้อยที่สุดของทีมในการลงเล่นพรีเมียร์ลีก ด้วยแข้งพลังหนุ่มที่บดบี้แบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

พูลิซิช ก็ดูจะเริ่มปรับตัวเข้ากับทีมได้ดีขึ้นเรื่อยๆ กล้าเล่น กล้าลุย กล้ายิง แม้ว่าในบางครั้งจะดูดื้อไปหน่อยก็ตาม 

แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดในเกมนี้ก็คือการขาดหายไปของ จอร์จินโญ่ ทำให้ทีมเหมือนขาดอะไรไปบางอย่างเหมือนกัน


ทั้งลูกล่อลูกชน ชั้นเชิงในเกมรุกและเกมรับ รวมถึงการผ่านบอลสวยหรือเปลี่ยนจังหวะของเกมที่เป็นทีเด็ดของเขา

ถึงกระนั้นท้ายที่สุดทีมก็คว้าชัยชนะมาได้ตามเป้า

รวมถึงเกมรุกที่ทะลวงตาข่ายไปแล้ว 27 ประตู แม้จะเสียเยอะไปบ้าง แต่จากทรงบอลที่แสดงออกมาถือว่าดูดีมีอนาคต

ชัยชนะในเกมนี้ทำให้ทัพ "สิงห์บลูส์" กลายเป็นทีมที่ทำผลงานได้แรงที่สุดในตอนนี้ด้วยชัยชนะ 6 เกมติด แม้แต่จ่าฝูงอย่าง "หงส์แดง" ก็มีสะดุดเสมอไป... ฮ่า ฮ่า 


สองสัปดาห์ต่อจากนี้จะเป็นช่วงเบรกหลีกทางให้โปรแกรมทีมชาติ ก่อนจะกลับมาทำศึกพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง

และนั่นคือของจริงเมื่อจะบุกเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ซึ่งสามารถพูดได้เลยว่านี่คือการเบียดแย่งพื้นที่หัวตารางกัน

นี่แหละจะเป็นตัววัดว่า เชลซี ดีพอสำหรับการลุ้นแชมป์ซีซั่นนี้หรือไม่ แม้แฟนๆจะไม่ได้หวังแบบนั้นมาตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลก็ตามที แต่มาถึงตรงนี้แล้วก็ต้องมีนิดๆกันแหละ


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด