:::     :::

หงส์คมขย่มเรือ

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
4,823
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ศึกอภิมหาบิ๊กแมชต์เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมานั้น หลายๆ คนหล่นทรรศนะไว้ว่า นี่อาจจะเป็นคำตอบว่า ใครจะเป็นแชมป์ในฤดูกาลนี้เลยก็ว่าได้นะครับ



เรื่องก่อนเกม

          ถ้าเทียบกับฤดูกาลที่แล้ว ทั้งสองทีมมีความเปลี่ยนแปลงอยู่พอสมควรเหมือนกันนะครับ ทางด้านแชมป์เก่าที่ปีที่แล้วนั้นยอดเยี่ยมเหลือเกิน และขุมกำลังเพียบพร้อมไปซะทุกตำแหน่งในฤดูกาลก่อน ในปีนี้พวกเขากลับประสบปัญหาเรื่องตัวผู้เล่นอย่างไม่น่าเชื่อ จุดเริ่มต้นมาจากการลาจากไปของแว็งซอง กอมปานี ที่ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวจริงของทีม แต่ว่าเขานั้นเป็นกำลังเสริมชั้นยอด และเป็นศูนย์รวมจิตใจของแมนฯ ซิตี้มาอย่างยาวนาน การหายไปของเขาทิ้งช่องโหว่ในแผงกองหลังของแชมป์เก่ารูเบ่อเริ่มเทิ่ม  และซ้ำร้ายไปกว่านั้น เป๊ปยังทำให้มันหนักหนาเข้าไปอีกเมื่อเขาประกาศไว้ว่า “จะไม่มีการเสริมทัพในตำแหน่งเซ็นเตอร์” และก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อกองหลังตัวหลักอย่าง อายเมอริก ลาปอร์กต์ ต้องพักยาวไป และนั่นเป็นที่ทำให้แมนฯ ซิตี้ นั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป กองหลังจากที่เคยไว้ใจได้ก็กลายเป็นบ่อน้ำมันให้กองหน้าฝั่งตรงข้ามเจาะเป็นว่าเล่น และยิ่งกว่านั้นผู้เล่นหลายๆ คนก็มีอาการบาดเจ็บเล่นงานอยู่ไม่หยุดหย่อน ทั่งลีรอย ซาเน่ ที่ปิดเทอมยาวพักทั้งฤดูกาล และผู้เล่นตัวหลักที่สลับกันหายหน้าหายไปกันไปอยู่บ่อยๆ แม้กระทั่งตำแหน่งผู้รักษาประตูอย่างเอแดร์ซอน โมราเอส ก็ยังเจ็บกับเขาไปด้วย เรียกได้ว่าพวกเขานั้นผลงานตกลงไปอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับรองแชมป์ปีก่อนอย่างลิเวอร์พูลที่ตอนนี้ฟอร์มกำลังขึ้นหม้อสุดๆ และต่อยอดฟอร์มการเล่นจากปีที่แล้วได้อย่างยอดเยี่ยม พวกเขากำลังมั่นใจกันอย่างสุดขีดจากการที่คว้าแชมป์ยุโรปมาได้เมื่อปีก่อน และยังรักษาสภาพร่างกายของนักเตะตัวหลักได้เป็นอย่างดี จะมีอาการบาดเจ็บก็แค่นักเตะบางคนอย่าง โชเอล มาทิป หรือ เซอร์ดาน ชากิรี่ แต่พวกเขาก็มีคนอื่นทนแทนกันได้อย่างดีและไม่ส่งผลกระทบอะไรมากมายกับฟอร์มโดยรวม หรือ อาจจะสรุปสั้นๆ ง่ายๆ ก็ได้ว่านี่อาจจะเป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่ดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลนั้น “เป็นต่อ” แมนฯซิตี้ อย่างเห็นได้ชัด



หงส์คมกริบ      

          ในเกมใหญ่ๆ แบบนี้ สิ่งที่จะเป็นตัวตัดสินชัยชนะก็หนีไม่พ้นเรื่องของ “ความคม” และ “ความผิดพลาด” แบบที่เราเห็นกันอยู่บ่อยๆ นั่นแหละครับ และเกมนี้ก็เป็นเช่นนั้นไม่แตกต่างกัน เมื่อเริ่มเกมมาเป็นแมนฯ ซิตี้ที่บุกกดดันใส่ลิเวอร์พูลตั้งแต่เริ่มเกม แต่ว่าลิเวอร์พูลนั้นก็อาศํยจังหวะสวนกลับอันยอดเยี่ยมทำประตูนำไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 2 จากจังหวะที่เหมือนจะเป็นลูกปัญหาจากจังหวะที่เหมือนจะแฮนด์บอล (?)ของเทรนท์ อาโนลด์ แต่ลิเวอร์พูลนั้นไม่สนใจและไม่หยุดเล่น พวกเขาสวนกลับทันทีและโจมตีใส่กองหลังที่ดูเหมือนจะยังไม่ทันตั้งตัวในจังหวะนั้น ทำให้นักเตะเรือใบเคลียร์บอลได้ไม่ดีพอ และไปเข้าทางฟาบินโญ่ที่เก็บตกได้หน้ากรอบเขตโทษและสับไกยิงระยะไกลบอลพุ่งเป็นเลเซอร์เบียดเสาเข้าไปอย่างสุดยอดเหลือเกิน และจากนั้นไม่นานลิเวอร์พูลก็ได้จังหวะสวนกลับอีกครั้งและเป็นอาวุธหนักอย่างฟูลแบ็คของทีมที่เกมนี้แผลงฤทธิ์อีกแล้ว เมื่อเทรนท์ อาโนลด์วางบอลข้ามฝากให้กับโรเบิร์ตสันเพื่อกระจายแนวรับของทีมเยือนให้แตกและไม่เป็นขบวน และเมื่อเกมรับของแมนฯ ซิตี้โดนโยกไปมาแบบนั้นก็เกิดช่องว่างขึ้นจนได้ และก็เป็นความยอดเยี่ยมของโรเบิร์ตสันที่เห็นช่องว่างนั้นและวางบอลไปยังจุดนั้นได้อย่างเหมาะเจาะ จนทำให้ซาล่าห์จบสกอร์ไปอย่างไม่ยากเย็นอะไร ทำให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำห่างไป 2 สกอร์ตั้งแต่ต้นเกม จากการโจมตีแค่ 2 ครั้งจังๆ เล่นเอาผู้มาเยือนที่เกมนี้มีข้อแม้เดียวว่า “ต้องชนะเท่านั้น” มึนงงสับสนไปหมด และอาจจะเรียกได้ว่า เกมนี้จบตั้งแต่ประตูนี้แล้วก็ได้



ทีมเวิร์กที่เหนือกว่า


          อย่างที่เคยเขียนไปบ่อยๆ นั่นแหละครับ ว่าการ “ไม่ซื้อ” ของลิเวอร์พูลนั้นไม่ได้มีแต่ผลเสียอย่างเดียว มันก็มีข้อดีตรงที่ว่าพวกเขานั้นเข้าขาและรู้จักกันมากยิ่งขึ้นไปอีก และยิ่งกว่านั้นนี่คือสาส์นสำคัญจากเจอร์เก้น คล็อปป์ด้วยว่า คล็อปป์นั้นเชื่อมั่นในพวกเขา เชื่อมั่นในทีมชุดนี้แบบที่พูดไว้จริงๆ จริงอยู่ที่ว่าแมนฯ ซิตี้นั้นก็ทีมทีมเวิร์กที่ยอดเยี่ยมเหมือนกัน แต่อย่างที่บอกไว้ในข้างต้นแหละครับ จากปัญหาอาการบาดเจ็บทำให้สมดุลย์ของพวกเขานั้นเสียไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมดุลย์ในเกมรับของพวกเขา การใช้เซนเตอร์ฮาร์ฟจำเป็นและการสลับหน้ากันตลอดเวลาของผู้เล่นในเกมรับก็ส่งผลที่ทำให้แนวรับของพวกเขาไม่มั่นคงแบบที่ควรจะเป็น และในเกมนี้มันก็ส่งผลจนได้ เมื่อจังหวะที่จอร์แดน เฮนเดอร์สันได้กระชากบอลทางริมเส้นด้านและโยนบอลเข้ากลางแบบไม่ได้คมกริบอะไรมากมาย แต่การที่พวกเขาขาดการประสานงานที่ดี ทำให้เกิดอาการสับสนและตัดสินใจพลาดเกิดขึ้น ผู้รักษาประตูอย่างบราโว่ ก็เสียจังหวะที่เหมือนตั้งใจจะออกไปตัดบอลแต่แรกแต่ก็เปลี่ยนใจกระทันหัน และกองหลังอย่างไคล์ วอร์คเกอร์ก็สับสนในตัวประกบ จนทำให้มาเน่ได้โหม่งโล่งๆ เหน่งๆ ทิ้งห่างไป 3-0 ทำให้เกมนี้ขาดลอยอย่างเหลือเชื่อ และแม้ว่าหลังจากนั้นแมนฯซิตี้จะพยายามบุกมากแค่ไหนแต่ช่องว่างที่มากมายขนาดนี้ก็ทำให้พวกเขาไล่ไม่ทันและแพ้ไปด้วยสกอร์ 3-1 ทำให้พวกเขาตามหลังลิเวอร์พูลถึง 9 แต้ม และนั่นอาจจะเป็นช่องว่างที่เกินกว่าจะไล่ทันแล้วจริงๆ ก็ได้ .....



ผ่าดราม่า

          แม้ลิเวอร์พูลจะโชว์ฟอร์มแกร่งสุดๆ ในเกมนี้ แต่ก็ยังไม่พ้นข้อครหากับแฟนบอลแมนฯ ซิตี้ (?) อยู่ดี เมื่อมีจังหวะปัญหาเกิดขึ้นในเกมนี้ถึง 2 ครั้ง และแน่นอนว่าผู้ที่เสียผลประโยชน์อย่างแมนฯ ซิตี้ย่อมไม่พอใจอย่างแน่นอน หลายๆ คนอาจจะก่นด่ากรรมการ หรือพาลไปว่าลิเวอร์พูลนั้นขี้โกง หรือ กรรมการอย่าง ไมเคิล โอลิเวอร์(พูล) นั้นตัดสินเข้าข้างลิเวอร์พูลอย่างน่าเกลียด .... มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ ....  หลายๆ คนก็คิดค่างกันไปล่ะครับ  สำหรับผมเองนั้นการตัดสินของไมเคิล โอลิเวอร์พนั้นก็ไม่ได้เข้าข้างหรือเอียงกะเท่เร่อย่างที่โดนด่าแต่อย่างใดครับ   

          - จังหวะแรกนาทีที่ 2 .... ในจังหวะนี้ที่ดูเหมือนว่า เทรนท์ อาโนลด์นั้นกางแขนออกมาและบอลโดนมืออย่างชัดเจน .... ถ้ามองแค่นี้ก็น่าจะแฮนด์บอลนั่นแหละครับ แต่จากที่เห็นภาพช้าก่อนหน้านี้นั้นบอลได้แฉลบมาจากแขนของแบร์นาโด้ ซิลวาอีกทีครับ ดังนั้นจังหวะนี้ค่อนข้างเคลียร์นะ  แต่มันอาจจะสร้างความข้องใจให้กองเชียร์ในเรื่องที่ “ถ้าแฮนด์บอลทำไมไม่หยุดเกม” อันนี้ก็อาจจะเป็นดุลย์พินิจของกรรมการนั่นแหละครับ แต่ยังไงข้อเท็จจริงอันนี้ก็คือ “ไม่แฮนด์บอล” แน่นอน อันนี้ชัดเจนนะ  อิอิ
          - จังหวะนาทีที่ 83 ..... จังหวะนี้ลูกบอลมาโดนมือเต็มๆ เลยล่ะครับ  เพียงแต่ว่าไมเคิล โอลิเวอร์นั้นอยู่ตรงนั้นและเห็นเหตุการณ์ชัดเจนและตัดสินว่า “บอลทูแฮนด์” ซึ่งจริงๆ แล้วจังหวะแบบนี้ก็ก้ำกึ่ง 50-50 เลยครับ อยู่ที่กรรมการนี่แหละว่าจะให้หรือเปล่า และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นครับ เมื่อสัปดาห์ก่อนลิเวอร์พูลเองก็เจอจังหวะแบบนี้กับเกมที่พบกับแอสตันวิลล่าเหมือนกัน และต้องบอกตามตรงว่าจังหวะนี้ลิเวอร์พูลค่อนข้างโชคดีที่รอดจากการเสียจุดโทษในจังหวะนี้ หรืออาจจะเรียกได้ว่าโชคดีที่กรรมการไม่ใช่ มาร์ติน แอตกินสัน แต่เป็นไมเคิล โอลิเวอร์ ก็ได้นะ อิอิ      

  
   
          ตอนนี้ถึงแม้ลิเวอร์พูลจะนำโด่งอยู่ ถึง 8 คะแนน และหลายๆ คนพยายามจะยัดเยียดตำแหน่งแชมป์ให้ ราวกับว่านี่คือนัดที่ 35 และเหลือการแข่งขันอีกไม่กี่นัดแล้วก็ตาม แต่แฟนบอลลิเวอร์พูลนั้นรู้ดีครับ ว่าตอนนี้เกมมันยังไม่จบและเพิ่งเดินมาได้ไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ และคนที่รู้ดีที่สุดก็คือตัวเจอร์เก้น คล๊อปป์นี่แหละครับ ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำไม่มีอะไรมากมายไปกว่า เล่นให้ดีทุกนัด โฟกัสแค่นัดที่กำลังจะมาถึงค่อยๆ เดินหน้าไปทีละก้าวๆ อย่างมั่นคงและไม่ประมาทแบบนี้นั่นแหละครับ Walk on  Walk on ......


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด