Max Taylor "เพชรแท้ย่อมไม่มีวันถูกทำลาย" แม้เจอมะเร็งร้ายเล่นงาน
Max Taylor คือนักเตะดาวรุ่งตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คสัญชาติอังกฤษของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดซึ่งเป็นที่กล่าวถึงในขณะนี้ที่ได้ร่วมทริปไปเยือนAstanaในศึกยูโรป้าลีกคืนนี้ เขานั้นยังไม่เคยลงเล่นให้กับชุดใหญ่ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเลยสำหรับเด็กหนุ่มจากท้องถิ่นวัย19ปีผู้นี้ซึ่งเขาก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของการสร้างทีมจากระบบเยาวชนของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา
นี่คือเรื่องราวน่าทึ่งของชายผู้แสดงให้เห็นถึงความเพียรพยายามและความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจหลังหมอวินิจฉัยว่าเขาเป็นมะเร็งอัณฑะในเดือนพฤศจิกายนปี2018 (ซึ่งคือปลายปีที่แล้วนี่เองที่ตรวจพบ)
"ถ้าอะไรก็ตามที่ทำให้คุณมีความใฝ่ฝันเพิ่มขึ้น ก็เงยหน้าสู้กับมันไป อย่าไปกลัว"
โลกของเทย์เลือกกลับตาลปัตรทันทีจากเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ห้าเดือนหลังจากที่เขาได้เซ็นสัญญานักเตะอาชีพครั้งแรก พฤศจิกายนก็ตรวจพบมะเร็ง
"ผมได้รับการตรวจสอบและก็พบก้อนเนื้อ หมอทำการสแกนแล้วก็พบว่ามันเป็นซีสต์ (ถุงน้ำ) ซึ่งก็พบเจอได้ตามปกติในคนที่มีอายุมาก แต่เมื่อผมทำการสแกนซ้ำอีกรอบ มันใหญ่ขึ้น เขาจึงส่งผมไปหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อไปทำการตรวจสแกนต่อ และก็พบว่าจุดที่ติดเชื้อใกล้ๆกับซีสต์นั้นมันเป็นเนื้องอก คล้ายๆลักษณะของมะเร็งอัณฑะ"
เทย์เลอร์รับทราบข่าวนี้โดยนั่งข้างๆกับแม่ของเขา สเตลล่า และพ่อเลี้ยงบุญธรรม แมทธิว
"มันดูไม่น่าเชื่อเลย เรามองหน้ากันแล้วต่างก็คิดว่า เฮ้ยเขาพูดแบบนั้นจริงๆเหรอ มะเร็งเนี่ยนะ และแพทย์เฉพาะทางก็บอกว่าอาจจะต้องนำเซลล์ข้างในอัณฑะออก เขาพูดว่าการเอาลูกอัณฑะออกคือสิ่งแรกที่ต้องทำเลย แต่ว่าผมจะต้องไปCT Scanเพื่อเช็คร่างกายส่วนอื่นๆด้วยเพราะผมอาจจะต้องทำคีโม(Chemotherapy)"
"แม่ของผมแทบล้มทั้งยืน ส่วนผมก็ช็อค แต่ร้องไห้ไม่ออก ผมออกมาจากคลินิกแล้วก็คิดว่า โอ้พระเจ้า ต้องมาได้ยินว่าเป็นมะเร็งนี่จิตใจผมเตลิดออกไปเลย คิดในใจ จะเกิดอะไรต่อไป อะไรอีก อะไรๆๆๆๆๆ? ผมจะได้เตะบอลอีกไหม ผมจะตายไหม เรื่องพวกนี้วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวไม่หยุด"
ต้นสังกัดอย่างแมนยูไนเต็ดได้โทรมาแจ้งขณะที่เขาอยู่ในโปรตุเกส บอกให้เขาหยุดพักไปก่อน
"ผมรู้ว่าใครโทรมา ผมได้เคยบอกพวกเขาไว้แล้วเร็วพอๆกับที่เขาก็ได้ข้อมูลมานั่นแหละ เพราะผมอยากจะรู้ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเขาไม่อยากจะบอกข่าวทางโทรศัพท์เลยแต่ว่าเขาได้รับผลการตรวจกลับมายืนยันว่าผมมีเซลล์มะเร็งขั้นปฐมภูมิอยู่ในอัณฑะจริงๆ ซึ่งผมก็คิดไว้อยู่แล้ว ดังนั้นพอผมกลับมาถึงที่บ้าน ผมก็ได้ไปCT Scanอีกครั้ง"
"ตอนนั้นแหละที่ผมคิดแล้วล่ะว่า เรื่องนี้มันโคตรจะใหญ่มากจริงๆละ"
เทย์เลอร์ถูกย้ายตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์มะเร็งชั้นนำของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
"มะเร็งแพร่กระจายไปยังช่องท้อง นอกจากนี้ยังมีจุดสองจุดบนปอดที่อาจแพร่กระจายได้อีกด้วย พวกเขาบอกฉันว่าฉันต้องใช้เคมีบำบัดค่อนข้างหนักเลยเป็นช่วงเวลาแค่สั้นๆแต่รุนแรงมาก แน่นอนพวกเขากล่าวว่าคีโมมันทำให้เห็นผลได้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ แต่ยังต้องมีการผ่าตัด ผมรู้เปอร์เซ็นต์การสำเร็จของเรื่องนี้แต่แต่ผมก็ยังกลัวมากอยู่ดี ความกลัวนี่เต็ม100%เลย"
"คือรู้ว่าเป็นมะเร็งมันก็แย่อยู่แล้ว แต่ยิ่งได้ยินเขาบอกว่า มันมีโอกาสที่จะลุกลามได้ด้วยยิ่งทำให้คุณวิตกหนักเข้าไปอีก"
"คุณเหมือนอยู่ในดินแดนแห่งความฝันที่นี่ ที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มันคือฟุตบอล ฟุตบอล และก็ฟุตบอล ซ้อมวันนึง จากนั้นก็ลงแข่ง กลับมาซ้อมอีก ซึ่งคืนนั้น อยู่บ้านผมปิดประตูแล้วก็คิดคำนึงในใจว่า ต้องเจออะไรต่อไปอีก ผมรู้ว่าผมหนีไม่พ้นสิ่งที่พวกเขาพูดแจ้งมาหรอก และผมก็ไม่รู้เลยว่าร่างกายของผมมันจะเป็นยังไง ทุกๆสิ่งแทบจะสูญสลาย ไม่ใช่แค่ฟุตบอล แต่รวมถึงการจะได้เจอกับสมาชิกใหม่ๆของครอบครัวในอนาคต การได้ใช้ชีวิตกับเทศกาลคริสมาสต์ตามปกติ ทุกอย่างมืดมนหมดเลย"
"ต่อหน้าแม่ผมทำเป็นแข็งแกร่งไม่เป็นอะไร แต่เขาคงรู้แหละตอนที่ผมย่ำแย่ และแฟนของผม ลิเดีย ใช้เวลาอยู่กับผมนานมากผ่านค่ำคืนที่โหดร้าย ความคิดแรกของผมคือ ผมจะยังได้เล่นฟุตบอลไหม แต่เมื่อได้สติกลับคืนมาอยู่กับตัวเอง มันนอนไม่หลับ และสิ่งเดียวที่ผมครุ่นคิดคือ ถ้าคีโมมันไม่เวิร์ค มันอาจจะแย่กว่าที่ทุกคนคิดแน่ๆ"
เทย์เลอร์มีแพลนการทำคีโมเรียบร้อย สามครั้งในสามสัปดาห์ติด และวันเริ่มต้นคีโมคือวันที่ 21พฤศจิกายน 2018
"สัปดาห์แรกเป็นวันจันทร์ ใช้เวลา8ชั่วโมงสำหรับคีโม 4ชั่วโมงทำhydration (เป็นการให้น้ำช่วงทำคีโมที่ผู้ป่วยมะเร็งอาจจะรับน้ำเองไม่ได้ตามปกติ) / อังคาร6ชั่วโมงคีโม 4สำหรับไฮเดรชั่น วันพุธ2ชั่วโมงคีโม ที่เหลือไฮเดรชั่น จากนั้นผมจึงได้กลับบ้านและอาทิตย์ถัดไปก็กลับมาอีกเพื่อทำคีโมเป็นเวลา2ชั่วโมง จากนั้นอีกวีคก็เช่นกัน คีโม2ชั่วโมง ผมจะต้องทำลูปนั้นทั้งหมด3ครั้ง (รวม9สัปดาห์ สองเดือนกว่าสำหรับคีโม)"
"ฟังดูเหมือนจะไม่หนัก แต่คีโมที่ผมไปทำมันเป็นพิษมากๆ คืนแรกแย่สุดๆ คุณตื่นสั่น เหงื่อกาฬไหล แต่ดันรู้สึกหนาวมาก และนั่นแหละอาการป่วยเริ่มมา คืนแรกนั้นผมระลึกขึ้นมาได้ว่า มันจะต้องเป็น9สัปดาห์นรกแน่ๆ"
เทย์เลอร์พบว่ามันช่วยให้รับมือได้ง่ายขึ้นนิดหน่อยเมื่อเขาเปรียบเรื่องนี้ให้มันเหมือนเป็นความตึงเครียดก่อนลงสนามเจอศึกสำคัญ และมันก็จะหายตึงเมื่อเกมเริ่มขึ้น โจ ธอมพ์สัน นักฟุตบอลที่เป็นมะเร็งเช่นกันให้ความช่วยเหลือกับเขา
"ผมได้คุยกับโจคืนนึงก่อนทำ เขาช่วยผมได้มาก เขาบอกว่าตอนที่ผมป่วย หรืออยู่ในห้องน้ำเพื่อเตือนความจำว่าสิ่งนี้มันจะช่วยห้ดีขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันผมต่ำมากๆผมไม่สามารถอยู่ในห้องร่วมกับคนอื่นๆได้มากกว่า6หรือ8คนเพราะมันเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคจากคนอื่น ผมไม่ได้รับการอนุญาตให้ไปเจอเพื่อนได้ แต่ผมก็ไม่ได้อยากไปเจอใครอยู่แล้ว ผมไม่อยากให้พวกเขาเห็นผมในสภาพแบบนั้นหรือรู้สึกเสียใจกับผม ผมอยากให้พวกเขารอเจอกันกับผมข้างนอกตามปกติ"
"ในขณะเดียวกันจริงๆแล้วผมก็อยากให้มีคนอยู่ใกล้ๆผมนะ มันยากมากที่จะเห็นคนที่คุณเป็นห่วงต้องมาอดทนสู้เพื่อให้ผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้มากกว่าห่วงตัวเองเสียอีก ครอบครัวผม แฟนผมคือคนที่จะต้องมาเห็นเราป่วย เห็นเราไม่มีผมและใช้ชีวิตลำบากยากเข็ญ ตอนแรกเริ่มพวกเขาพยายามปิดบังไว้ไม่พูดเรื่องนี้ จนกระทั่งผมยอมรับสภาพมันได้มากขึ้นแล้ว พวกเขาจึงกล้าที่จะพูดถึงเรื่องที่ว่าสภาพจิตใจผมเป็นยังไงบ้าง พวกเขารู้สึกยังไงบ้าง สิ่งที่พวกเขาเองก็ต้องอดทนอยู่กับมัน และก็ได้ถามคำถามเรื่องต่างๆซึ่งกันและกันมากมาย"
เหมือนนอนอยู่โรงพยาบาล ผู้ป่วยมะเร็งทุกคนที่ The Christie จะตีระฆังเพื่อเป็นสัญญาณว่าจะจบการรักษาแล้ว เทย์เลอร์ก็ได้มีช่วงเวลาแสดงการกระทำเชิงสัญลักษณ์นั้นด้วย แม้จะรู้ว่าการเดินทางมันยังไม่จบก็ตาม
"สองสัปดาห์หลังจากการรักษาครั้งสุดท้าย ผมไปสแกนมาอีกในเรื่องของระบบประสาท มันแย่ที่สุดกว่าเรื่องอื่นๆอีก ตอนนั้นผมอยู่กับแม่เขาตัวสั่น หมอบอกว่ามะเร็งมันถูกทำลายไปแล้วแต่ว่าจะต้องมีการเข้ารับการรักษาอีกเพราะว่าต่อมน้ำเหลืองมันบวมหลังทำเคมีบำบัด และหนึ่งในนั้นมันไปแนบติดกับเส้นเลือดใหญ่"
"ช่วงเวลานั้นคือ ทุกคนได้รู้ชัดเจนเป็นทางการว่ามะเร็งมันไม่มีแล้ว หลายๆคนส่งข้อความมาหาผม แต่ผมยังคงมีเรื่องใหญ่ต้องเจออีก มันคือ6สัปดาห์หลังจากทำคีโมจบ ก่อนที่ผมจะได้เริ่มผ่าตัด การผ่าตัดมันใช้เวลาห้าชั่วโมงครึ่ง การรอคอยให้ถึงเวลานั้นมันเป็นส่วนที่ยากที่สุดจริงๆเพราะว่าผมเคว้งคว้างมากๆ ระบบภูมิคุ้มกันผมยังคงต่ำอยู่"
"ทุกๆคนคิดว่าผมดูเหมือนเป็นปกติ แต่ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย สภาพจิตใจไม่เคยรู้สึกเป็นปกติ และทางกายภาพผมก็รู้สึกได้ถึงผลข้างเคียงต่างๆ ผมคิดว่าคืนๆนึงผมนอนถึง6ชั่วโมงนะ ผมอยู่ในสภาวะจิตใจที่ดำดิ่งย่ำแย่มากๆ หมอของสโมสรเคยมาเยี่ยมที่บ้านเพื่อให้กำลังใจให้ผมรู้สึกดีขึ้น ผมต้องการความมั่นใจจากคนที่เป็นผู้บอกคุณว่า ของมันต้องใช้เวลา ซึ่งเมื่อผ่าตัดเสร็จผมนอนอยู่โรงพยาบาลไปห้าคืนโดยมีปั๊มติดหลังและสายระโยงระยางที่ต้องค่อยๆถอดออกทีละช้าๆ ผมยังรู้สึกป่วยอยู่ หัวก็ยังล้านอยู่ ผมมองกระจกและคิดว่า กูดูแย่มากเลย แต่มันก็เป็นสามเดือนที่ดีก่อนที่ผมจะเริ่มรู้สึกกลับมาโอเคขึ้นอีกครั้ง "
ช่วงระหว่างที่เทย์เลอร์ได้ถูกวินิจฉัยครั้งแรก กับช่วงที่เขาฟื้นตัว ทางแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้เปลี่ยนผู้จัดการทีมของพวกเขา (ฮาาาาาา : ผู้เขียน) ตัวของเทย์เลอร์นั้นได้รับการดูแลและสนับสนุนจากโจเซ่ มูรินโญ่ ต่อมาภายหลังเขาก็รู้ว่า ทางโซลชาก็รับรู้และเป็นห่วงเรื่องราวของเขาด้วยอีกคนนึง
"มูรินโญ่สุดยอดมาก ผมจำได้ตอนที่เดินเข้ายิมอยู่วันนึง เขาเอามือมาโอบไหล่ผมและถามว่ามันจะต้องเป็นยังไงต่อไปบ้าง ผมต้องเตรียมตัวยังไง และให้สัญญาว่าเขาจะดูแลสนับสนุนผม และตอนที่ผมกลับมา วันแรกผมเข้ามาพบกับโค้ชคีแรน แมคเคนน่า และไมเคิล คาริค โอเล่ให้ผมเข้าไปในห้องทำงานและเชิญผมออกไปดูทีมชุดใหญ่ซ้อม ผมยืนคุยอยู่กับเขาตรงนั้น มันเป็นทิศทางของการได้กลับมาที่ดีมาก รู้สึกหัวใจพองโตเลย มันสำคัญสำหรับผมมากๆเพราะผมคิดว่า ผู้คนต่างๆคงจะลืมผมไปแล้วละมั้ง"
22 ตุลาคม เทย์เลอร์ได้หวนคืนสู่สนามหญ้าอีกครั้งในฐานะตัวสำรองในเกมของทีม u-23กับสวอนซี วันที่22พฤศจิกายนเขาลงเล่นที่โอลด์แทรฟฟอร์ดในฐานะนักเตะชุดสำรองนั้นและเอาชนะซันเดอร์แลนด์ได้ 3-0 ตอนนี้เขากำลังจะได้รับประสบการณ์กับทีมชุดใหญ่สุดของสโมสรกับหน้าที่ที่ต้องไปเยือนคาซัคสถาน ด้วยการที่โซลชาได้พักผู้เล่นตัวหลักเอาไว้เพราะว่าทีมผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ของยูโรป้าลีกไปแล้ว
"มันมีแง่มุมหนึ่งของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่หลายๆคนไม่รู้ คือมันเหมือนเป็นครอบครัวน่ะ ตอนที่ผมกลับมา ผู้คนต่างๆที่ไม่ได้มีหน้าที่อยุ่ตรงฟร้อนท์ของยูไนเต็ดมาโผล่ตัวยืนรอรับผม เหล่าสต๊าฟฟ์ทำความสะอาด พี่ๆเชฟ ทุกคนต่างเข้ามาถามไถ่ผมมากมาย มันซาบซึ้งมากๆ"
"อีกครั้งก็ตอนที่ผมเริ่มฝึกซ้อมอีกครั้ง ผมอยากจะได้รับการปฏิบัติเหมือนปกติทั่วๆไปกับคนอื่นๆ ผมรู้จักเพื่อนร่วมทีมบางคนตั้งแต่อายุ14 ซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม จนกระทั่งผมโดนพวกเขาแกล้งแตะบอลลอดดากเพื่อแกล้งหยอกล้อผม มันก็ฮาจริงๆอย่างที่ได้ยินนั่นแหละ ช่วงเวลานั้นมันดีมากจริงๆ ผมไม่อยากถูกพะวงหรืออยากต้องมีป้ายห้อยคออยู่ตลอดเวลาว่า เฮ้ยผมป่วยเป็นมะเร็งนะ ผมไม่อยากให้ผู้คนจำผมแบบนั้น ผมแค่อยากเป็นคนดีๆคนนึง เป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจ และเป็นใครสักคนที่ได้ตอบแทนผู้อื่นบ้าง"
สัปดาห์ที่แล้ว 12เดือนหลังจากการถูกวินิจฉัยตรวจพบมะเร็ง เทย์เลอร์กลับไปที่ The Christie โรงพยาบาลศูนย์โรคมะเร็งที่แมนเชสเตอร์อีกครั้ง
"มีเพื่อนๆตัวน้อยบางคนที่นั่นเป็นแฟนฟุตบอลอยู่ด้วย เจสซี่(ลินการ์ด)เอาเสื้อให้ผมเอาไปให้แฟนบอลตัวน้อยที่นั่นที่ชื่อว่า คีแรน เขาเพิ่งจะ11ขวบเอง ครอบครัวพวกเขาทั้งหมดย้ายอพยพมาจากสก็อตแลนด์ พวกเขาใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลถึง39คืนที่ต้องอยู่ห่างจากบ้าน มันเป็นคริสต์มาสต์ ทำไมเด็กๆเหล่านี้จะต้องเจอกับเรื่องร้ายๆพวกนี้ด้วย ผมรู้ว่าเขาต้องผ่านช่วงเวลาลำบากแค่ไหน ดังนั้นถ้าผมทำให้หนึ่งวันนั้นของคีแรน ซึ่งเป็นคืนที่40นั้น ดีกว่าคืนอื่นๆก่อนหน้านี้ เขาจะต้องจดจำมันแน่ๆ และมันจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่เลวร้ายอีกต่อไป"
-ศาลาผี-