:::     :::

ทำไมต้องปลด 'เอเมรี่'

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
อูไน เอเมรี่ กลายเป็นอดีตกุนซืออาร์เซน่อลตามคาดหลังคุมทีมได้เพียง 18 เดือน และนี่คือเหตุผลทั้งหมดที่ทีม "ปืนใหญ่" ตัดสินใจถูกแล้วในการแยกทางกับกุนซือชาวสเปน

1. ผลการแข่งขันย่ำแย่

ผลการแข่งขันคือสิ่งสำคัญที่สุดและเป็นตัวชี้วัดผลงานอันดับแรกซึ่งเป็นสิ่งที่ อูไน เอเมรี่ ทำได้น่าผิดหวัง

ความปราชัยคาบ้านต่อ แฟร้งค์เฟิร์ต นัดล่าสุดทำให้ อาร์เซน่อล ไม่ชนะเลยตลอด 7 นัดหลังสุดจากทุกรายการ เป็นช่วงเวลาที่ไม่ชนะติดต่อกัน "นานที่สุด" นับตั้งแต่ปี 1992 หรือ 27 ปีที่แล้ว 

นั่นหมายความว่าในยุคของ อาร์แซน เวนเกอร์ ที่คุมทีม 22 ปีและมีทั้งช่วงดีและแย่ แต่ก็ไม่เคยไม่ชนะติดต่อกันนานถึง 7 นัด โดยสถิติแย่สุดของกุนซือชาวฝรั่งเศสคือ 6 นัดในปี 1998 

นับเฉพาะในพรีเมียร์ลีก เอเมรี่ พาทีมชนะได้เพียง 25 นัด จาก 51 นัดที่คุมทีม หรือคิดเป็น 49 เปอร์เซ็นต์

อาร์เซน่อล ยุค เอเมรี่ เก็บไปได้ 88 คะแนนในลีกนับจากฤดูกาลก่อนที่เข้าคุมทีม น้อยกว่า ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ 46 คะแนน เป็นข้อแตกต่างที่มากเกินกว่าจะเรียกว่าทีมกลุ่มนำด้วยกัน

2. เกมรุกไร้พิษสง 

อาร์เซน่อล มี 4 ดาวดังในเกมรุกที่หลายทีมเห็นแล้วต้องอิจฉาไม่ว่าจะเป็น ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง, อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์, นิโกล่าส์ เปเป้ และ เมซุต โอซิล 

ทว่า อูไน เอเมรี่ กลับไม่สามารถผสมผสานและหาสูตรที่ลงตัวเพื่อเค้นเอาศักยภาพจากทั้งสี่คนออกมาช่วยทีมให้ได้มากที่สุด

ฤดูกาลนี้ อาร์เซน่อล ทำประตูในลีกไปได้เพียง 18 ประตู น้อยที่สุด เทียบในบรรดาท็อปเทนด้วยกันก็มีเพียง "น้องใหม่" เชฟฯ ยูไนเต็ด ที่ยิงได้น้อยกว่า (16 ประตู) ขนาด แอสตัน วิลล่า น้องใหม่อีกทีมที่อยู่อันดับ 15 ของตาราง ยังยิงได้มากกว่าที่ 19 ประตู

แต่ละนัดในลีก อาร์เซน่อล หาโอกาสยิงเฉลี่ยได้เพียง 12.5 ครั้งต่อนัดซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากเหลือเกินเมื่อมองกลับไปดูรายชื่อและโปร์ไฟล์ของ 4 แนวรุกชื่อดังของทีม

โอบาเมย็อง เป็นถึงดาวซัลโวร่วมของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่แล้ว เช่นเดียวกับดาวซัลโวบุนเดสลีกาในอดีต

ลากาแซ็ตต์ ก็เคยเป็นดาวซัลโวลีก เอิง และเจ้าของรางวัลแข้งยอดเยี่ยมสโมสรเมื่อฤดูกาลที่แล้ว 

เปเป้ พกสถิติยิง 22 ประตูกับอีก 11 แอสซิสต์ในฤดูกาลล่าสุดกับ ลีลล์ ก่อนย้ายมาร่วมทีม

ขณะที่ โอซิล ก็เคยได้รับการยกย่องว่าคือหนึ่งในเพลย์เมกเกอร์ที่ดีที่สุดของโลก 

ทั้งหมดมีคุณภาพอยู่ในตัวอยู่แล้ว ทว่า เอเมรี่ ไม่สามารถหลวมรวมให้ออกมาเป็นแนวรุกที่อันตรายอย่างที่แฟนบอลอยากเห็นได้ และได้เล่นร่วมกันไม่ถึง 180 นาทีในฤดูกาลนี้ 


3. เกมรับห่วยแตก

อาร์เซน่อล เสียประตูไปแล้ว 19 ประตูในลีกฤดูกาลนี้ มากเท่ากับ สเปอร์ส, เชลซี และ ไบรท์ตัน เมื่อเทียบกับ 13 อันดับแรกของตาราง 

แต่ที่เป็นปัญหาในเกมรับมากสุดคือ การเปิดโอกาสให้คู่แข่งได้ลุ้นยิงประตูมากมายในแต่ละนัด 

วัตฟอร์ด ในวันที่ที่เพิ่งเปลี่ยนโค้ชและอยู่ในตำแหน่งบ๊วยของตารางเหมือนเช่นตอนนี้ หาโอกาสยิงประตูอาร์เซน่อลได้ถึง 31 ครั้ง เป็นสถิติแย่สุดของทีมนับตั้งแต่มีการบันทึกเอาไว้ 

นัดที่เสมอ วูล์ฟแฮมป์ตัน 1-1 ก็ปล่อยให้ทัพหมาป่าลุ้นยิง 25 ครั้ง เป็นสถิติมากสุดของคู่แข่งที่ได้ยิงกับการเล่นที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม 

เช่นเดียวกับนัดล่าสุดที่เจออีกทีมในโซนตกชั้นอย่าง เซาธ์แฮมป์ตัน ก็ปล่อยให้แข้งนักบุญได้โอกาสยิง 21 ครั้ง 

มันจึงไม่แปลกเลยที่อาร์เซน่อลจะเสียประตูมากมายเพราะแต่ละนัดเปิดโอกาสให้คู่แข่งเยอะเหลือเกิน เหมือนมวยที่ยื่นหน้าแลกหมักคู่ชกโดยแทบไม่ตั้งการ์ดป้องกันตัวเอง 

การเล่นเกมรับของอาร์เซน่อลเหมือนเป็นทีมตกชั้นมากกว่าทีมหัวตาราง และหากไม่ได้ แบรนด์ เลโน่ เซฟแล้วเซฟอีก สถิติเสียประตูจะยิ่งเละเทะกว่านี้ 


3. แท็กติกการเล่นสับสน

อูไน เอเมรี่ คุมทีมมา 18 เดือนแต่ไม่สามารถหาแผนการเล่นที่ดีที่สุดของทีมได้ และนับวันก็ยิ่งสับสน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนนักเตะไม่สามารถปรับตัวตามได้

ช่วง 3-4 เดือนแรกของฤดูกาลที่แล้ว เอเมรี่ แก้เกมได้ดีมาก ส่งใครลงมาก็ช่วยพลิกเกมได้ แต่เข้าสู่ครึ่งฤดูกาลหลังจนถึงฤดูกาลนี้ การเปลี่ยนตัวของ เอเมรี่ ไม่ได้ส่งผลดีอย่างที่เคยทำได้

การเปลี่ยนตัวเร็วหมายความว่า 11 ตัวจริงไม่สามารถทำผลงานได้อย่างที่คาดหวัง และสะท้อนอีกว่า เอเมรี่ ไม่มี 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดเหมือนที่เวลาเรามอง ลิเวอร์พูล ในตอนนี้แล้วเห็นภาพชัด

เมื่อไม่มีชุดตัวจริงในใจ การตัดสินใจเปลี่ยนตัวจึงทำได้ง่าย และการเปลี่ยนส่วนใหญ่ก็นำมาซึ่งแท็กติกการเล่นที่เปลี่ยนไปด้วย

  เอเมรี่ คุมทีมในพรีเมียรลีก 51 นัด ใช้แท็กติก 4-2-3-1 มากสุด 22 นัด ตามด้วยระบบหลัง 3 อีก 15 นัด และระบบแบ็กโฟร์อื่นที่ไม่ใช่ 4-2-3-1 อีก 14 นัด (4-3-3 หรือ 4-4-2 แบบไดมอนด์)

การเปลี่ยนแท็กติกสลับไปมาทำให้การเล่นขาดความต่อเนื่อง นักเตะก็สับสนในวิธีการเล่น และระหว่างเกมก็ปรับแท็กติกบ่อยครั้ง ยิ่งเละไปกันใหญ่

4. ไร้ความเด็ดขาด 

อีกหนึ่งเรื่องที่สะท้อนถึงการขาดคุณสมบัติในการผู้นำทีมของ อูไน เอเมรี่ คือความไม่เด็ดขาด ไม่ชัดเจนในตำแหน่งกัปตันทีมเพราะช่วงเวลา 18 เดือนที่อยู่ในตำแหน่ง เอเมรี่ ใช้กัปตันทีมมากถึง 9 คน

โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ เป็นคนเดียวที่ได้เป็นกัปตันทีมเกิน 20 นัด (24 นัด) แต่สุดท้ายก็เป็นคนที่จบกับทีมไม่สวยเพราะหาทางบีบให้สโมสรต้องจำใจปล่อยหลังงอแงช่วงปรีซีซั่นที่ไม่ยอมเดินทางไปทัวร์สหรัฐฯ

นอกจาก กอสซิแอลนี่ ที่เป็นกัปตันทีมแล้ว เมซุต โอซิล, กรานิต ชาคา, อาร่อน แรมซี่ย์ และ ปีเตอร์ เช็ก ก็เป็นอีก 4 ตัวเลือกของฤดูกาลที่แล้ว พอมาถึงฤดูกาลที่มี 3 คนย้ายออกและเลิกเล่น ก็มี เอคตอร์ เบเยริน, อเล็กซ์ ลากาแซ็ตต์ และ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ถูกเลือกเป็นกัปตันทีมร่วม เช่นเดียวกับ ร็อบ โฮลดิ้ง ที่เคยทำหน้าที่ตอนหายเจ็บกลับมาลงเล่นเมื่อเดือนตุลาคม

อาร์เซน่อล ไม่มีผู้เล่นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในการเป็นผู้นำก็เป็นเหตุผลหนึ่งในการตัดสินใจได้ยากว่าจะให้ใครทำหน้าที่

แต่ เอเมรี่ เองก็ไม่แสดงความเป็นผู้นำที่เหมาะสมและโยนการตัดสินใจเรื่องสำคัญนี้ให้ผู้เล่นในทีมโหวตเลือก และตัวเขาจะตัดสินใจเป็นคนสุดท้ายซึ่งโดยปกติแล้ว คนเป็นโค้ชต้องตัดสินใจด้วยตัวเองตั้งแต่แรกไปเลย 

ตอนที่ กรานิต ชาคา มีปัญหากับแฟนบอลในเกมกับ คริสตัล พาเลซ เอเมรี่ ก็ตัดสินใจช้ามากกว่าจะสั่งปลดออกจากตำแหน่งกัปตันทีม 

นี่คือความไม่เด็ดขาด ไม่ชัดเจน และไม่มีความเป็นผู้นำที่เหมาะสมกับตำแหน่งเฮดโค้ชสโมสรอย่างอาร์เซน่อล 


5. การสื่อสารมีปัญหา

มีข่าวออกมาโดยตลอดในช่วงหลังว่า นักเตะอาร์เซน่อลไม่เข้าใจในแท็กติกของ อูไน เอเมรี่ ซึ่งนอกเหนือจากความสับสนในการทำทีมจริงๆ แล้ว "ภาษา" และการถ่ายทอดคือปัญหาสำคัญ

เอเมรี่ พยายามฝึกภาษาอังกฤษมาโดยตลอดนับตั้งแต่ย้ายมาคุมทีมในซัมเมอร์ 2018 แต่ก็ต้องยอมรับว่าการสื่อสารของกุนซือชาวสเปนยังไม่ดีขึ้นมากนัก นักข่าวอังกฤษก็ไม่สามารถ่ายทอดในสิ่งที่ เอเมรี่ ต้องการสื่อได้อย่างชัดเจน

บูคาโย่ ซาก้า ดาวรุ่งของอาร์เซน่อลเคยออกมายอมรับว่าต้องถาม เฟร็ดดี้ ลุงเบิร์ก อีกรอบเพราะไม่เข้าใจในคำสั่งของ เอเมรี่ 

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อาร์เซน่อลจะดูสับสนเมื่อลงเล่นในสนามเพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจทุกอย่างตามที่ เอเมรี่ บอกกล่าว 

ขณะเดียวกันช่วงที่ดร็อป เมซุต โอซิล ออกจากทีมหลายนัด เอเมรี่ ก็ไม่เคยชี้แจงถึงเหตุผลที่ชัดเจน และตอบคำถามแบบเดิมๆ ว่า "เลือกคนที่เหมาะสม" แทนที่จะตอบให้ตรงไปตรงมาว่า โอซิล ไม่ได้เล่นเพราะอะไร 

เมื่อถูกถามจี้บ่อยเข้าก็บอกปัดไม่ขอพูดถึง หาข้ออ้างอื่นมาเบี่ยงประเด็นทั้งอยากโฟกัสนัดต่อไป โฟกัสนักเตะที่ลงเล่น ฯลฯ

6. "อยู่ไม่เป็น"

คำนี้มีความหมายในเชิงบริบทแบบ "ไทยๆ" ที่ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ก็ควรต้องอยู่ให้เป็น ไม่ก่อเรื่องก่อราว ไม่สร้างปัญหาจนทำให้ตัวเองอยู่ลำบาก 

การ "อยู่ให้เป็น" ในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่ อูไน เอเมรี่ "ทำไม่เป็น" เพราะแทนที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ได้ใจแฟนบอล เพื่อให้ได้รับแรงสนับสนุนเพราะเพิ่งมาคุมเมื่อปีที่แล้วนี่เอง

ผลการแข่งขันและฟอร์มการเล่นของอาร์เซน่อลไม่ดีอยู่แล้ว แต่ เอเมรี่ ก็สร้างเรื่องให้ตัวเองเจอกระแสด้านลบเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการดร็อป เมซุต โอซิล ออกจากทีมแบบไร้เหตุผล เช่นเดียวกับ ลูคัส ตอร์เรร่า ที่น่าจะมีประโยชน์มากกว่าการเป็นสำรอง 

เอเมรี่ เพิกเฉยต่อการเรียกร้องทั้งแบบท่าทีขึงขังหรือด้วยไมตรีจิตที่ดีจากคนรอบข้าง เขายึดมั่นในความคิดตัวเองมากไปและไม่สนใจกระแสใดๆ ทั้งที่หลายครั้งสามารถทำได้ง่ายๆ เพื่อลดอุณภูมิความเดือดดาลของแฟนบอลลงสักหน่อย 

เมื่อ เอเมรี่ ทำตัว "อยู่ไม่เป็น" เขาก็เลยอยู่ยากเพราะเมื่อผลงานในสนามไม่ดี เขาจึงถูกแฟนบอลโจมตีได้ง่าย ไม่มีมุมในแบบเห็นอกเห็นใจ หรือให้โอกาสอีกสักหน่อย 

..............

ทั้งหมดที่ไล่เรียงมากถือว่า "มากพอ" และ "สมเหตุสมผล" ที่ อาร์เซน่อล ต้องปลด อูไน เอเมรี่ ออกจากตำแหน่งก่อนที่ทุกอย่างจะสายไปกว่านี้ 



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด