:::     :::

บุคคลทรงอิทธิพล ผู้กุมชะตาชีวิตเนย์มาร์

วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม 2560 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
6,007
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
“เนย์มาร์” สถาปนาตัวเองเป็นนักฟุตบอลที่ค่าตัวแพงสุดในโลก กับตัวเลข 222 ล้านยูโร เพียงพอต่อการสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการลูกหนัง พร้อมเป็นการพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของการซื้อขายนักเตะไปอย่างสิ้นเชิง

        ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งกับบาร์เซโลน่า, การอยากหาความท้าทายใหม่ หรือการอยากสร้างตำนานบทใหม่ของตัวเอง บุคคลทรงอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังการย้ายทีมแห่งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ นั่นก็คือเนย์มาร์ ซีเนียร์” ผู้เป็นพ่อ และเอเย่นต์ส่วนตัวของเขานั่นเอง

        "ตอนที่เขาอายุ 4 เดือน เขาเกือบตายไปแล้วนะ" คุณพ่อออกมาเล่าถึงเนย์มาร์ กับเหตุการณ์ที่ยังคงหลอกหลอนครอบครัวมาจนถึงทุกวันนี้  ... มันเป็นวันที่สภาพอากาศสุดแสนเลวร้าย ในช่วงปี 1992 เมื่อต้องประสบกับอุบัติเหตุ ที่เกือบพรากชีวิตของลูกน้อยไปอย่างไม่มีวันกลับ 

        เหตุการณ์ในวันนั้น คุณพ่อ กำลังขับรถมุ่งหน้าไปยังเมืองซานโตส, บราซิล ข้างกายของเขามีภรรยานั่งมาเป็นเพื่อนด้วย เขาแทบมองไม่เห็นทาง เนื่องจากสายฝนที่เทลงมาอย่างหนักหน่วง นอกจากนี้ เบื้องหน้ายังเป็นถนนเพียงเลนเดียว ที่เอาไว้ให้รถสวนทางกันในพื้นที่แคบๆ กระทั่งมีรถคันอื่น พุ่งมาชนรถของพวกเขาอย่างจัง !!

        "ตอนนั้นผมนั่งด้านหน้ากับภรรยา ขณะที่ลูกชายของเราอยู่เบาะหลัง รถคันหนึ่งพุ่งมาหาเรา ผมพยายามจะหักพวงมาลัยหลบแล้ว อย่างไรก็ตาม รถกลับไถลมาชนบริเวณประตูด้านข้าง ผมได้รับบาดเจ็บแถวขาซ้าย รวมไปถึงสะโพก ผมรู้สึกสิ้นหวัง พร้อมกับพูดกับภรรยาว่า -เรากำลังจะตาย-"

        "แต่สิ่งที่ผมกลัวมากกว่าอาการเจ็บปวดคือ ลูกชายของผมหายไป !! เราหาตัวเขาไม่พบ คิดว่าแรงกระแทกจากรถที่ชนกัน อาจทำให้เขากระเด็นออกนอกตัวรถไปแล้ว ผมรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก ทว่าใครที่เชื่อมั่นในตัวของพระเจ้า ก็ต้องมีศรัทธา จากนั้นมีคนเข้ามาช่วยเหลือเรา และพบว่าลูกชายของผมติดอยู่ใต้เบาะที่นั่ง" คุณพ่อโล่งใจ เมื่อพบว่าเนย์มาร์ ได้รับบาดเจ็บเพียงแค่ถูกเศษกระจกบาดที่หน้าผากเท่านั้น 

        เหมือนกับเด็กชายชาวบราซิเลี่ยน ทั่วไป คุณพ่อซื้อของขวัญชิ้นแรกๆให้กับเนย์มาร์ นั่นคือ "ลูกฟุตบอล" โดยมีพื้นที่บริเวณบ้านเป็นลานเพาะบ่มฝีเท้า พร้อมกับมีโต๊ะ และเก้าอี้ คอยเป็นอุปสรรคกีดขวาง เอาไว้คอยฝึกฝนการกระชากบอลหลบ จนทักษะความสามารถของเขาเติบโตขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แรงบันดาลใจส่วนหนึ่ง มาจาก "โรบินโญ่" ที่เป็นนักเตะต้นแบบ

        "ผมจับลูกเซ็นสัญญาเป็นครั้งแรกในชีวิต ตอนที่เขาอายุ 12 ปี ผมอยากปลูกฝังให้เขามีเป้าหมาย พร้อมกับวิ่งไล่ตามความฝัน ตั้งแต่อายุยังน้อย" คุณพ่อเล่าต่อ ถึงการให้ลูกชายเข้าร่วมทีมเยาวชนของซานโตส จนกลายเป็นดาวรุ่งพรสวรรค์สูงมากสุดคนหนึ่ง เท่าที่สโมสรแห่งนี้เคยมีมา

        นั่นเป็นวินาทีแรก ที่คุณพ่อเข้ามาดูแลผลประโยชน์ให้กับเนย์มาร์ ที่ก้าวขาเข้าสู่วงการฟุตบอลอาชีพอย่างเป็นทางการแล้ว รวมถึงการดูแลเรื่องเงินทอง ทั้งค่าเหนื่อย และสปอนเซอร์ที่ทำการติดต่อเข้ามา เพื่อให้ลูกชายมีสมาธิในการเล่นฟุตบอลอย่างเต็มที่นั่นเอง

        กระทั่งปี 2005 หน้าประวัติศาสตร์เกือบผิดเพี้ยนไป เมื่อทีมเรอัล มาดริด ออกค่าใช้จ่ายให้เนย์มาร์ ในวัยเพียงแค่ 13 ปี ออกเดินทางมายังประเทศสเปน พลพรรค "ราชันชุดขาว" หวังได้ตัวเขามาร่วมทีมตั้งแต่อายุยังน้อย โดยพร้อมมอบค่าเหนื่อยก้อนโต พร้อมกับทุนการศึกษาของเขา และน้องสาวให้ด้วย

        เนย์มาร์ ใช้ชีวิตบนดินแดน "กระทิงดุ" ประมาณ 19 วัน ผลการทดสอบฝีเท้าเป็นไปอย่างราบรื่น เขาฉีกแนวรับเป็นชิ้นๆ และกระหน่ำไป 27 ประตู สัญญาเข้าร่วมทีมเยาวชนถูกร่างเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย หลังจากการคัดตัวผ่านไปเพียง 3 วันเท่านั้นอย่างไรก็ตาม ทุกอย่างกลับพังทลายไป 

        เนย์มาร์ โดนความโศกเศร้าเข้าเล่นงาน ทั้งการคิดถึงบ้าน, ครอบครัว, โรงเรียน, เพื่อนฝูง, อาหาร และทุกสิ่งทุกอย่างที่ประเทศบราซิล ส่งผลให้คุณพ่อตัดสินใจพาลูกชายกลับบ้านเกิดในที่สุด พร้อมกับให้เล่นกับซานโตส ต่อไป ก่อนถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ ในช่วงปี 2009

        "เราตัดสินใจบินกลับไปยังซานโตส ผมไม่สนใจหรอกว่าเราจะได้เงินทองมหาศาลแค่ไหน ผมต้องการเพียงแค่ให้ลูกชายมีความสุขกับการเล่นฟุตบอลเท่านั้น" คุณพ่อกล่าวถึงการชวดย้ายไปร่วมทีมเรอัล มาดริด ในครั้งนั้น เป็นการแสดงให้เห็นว่า ความสุขของคนในครอบครัว ถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก 

        ช่วงปี 2013 เนย์มาร์ เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว และออกเดินทางมายังประเทศสเปน อีกครั้ง เพื่อลงเล่นฟุตบอลอาชีพบนทวีปยุโรปเป็นครั้งแรกในชีวิต หากแต่เป้าหมายไม่ใช่เรอัล มาดริด อีกต่อไป แต่กลายเป็นอริตลอดกาลอย่างบาร์เซโลน่า ซึ่งคุณพ่อมีส่วนในการตัดสินใจครั้งนั้นด้วย 

        ภายใต้สีเสื้อ "เลือดหมู-น้ำเงิน" เนย์มาร์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยการประสานงานกับรหัสลับ "MSN" อย่างลิโอเนล เมสซี่ และหลุยส์ ซัวเรซ จนเขากวาดแชมป์ลาลีกา  2 สมัย, โกปา เดล เรย์ 3 สมัย รวมถึงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และสโมสรโลก อีกอย่างละสมัย 

        เฉกเช่นการย้ายไปร่วมทีมเปแอสเช ด้วยค่าตัวแพงสุดในโลก ซึ่งคุณพ่อก็เป็นตัวแปรที่สำคัญอีกครั้ง เมื่อออกมาให้สัมภาษณ์ว่า มีปัญหากับบอร์ดบริหารของบาร์เซโลน่า โดยมีโบนัสเรื่องของการต่อสัญญาจำนวน 26 ล้านยูโร มาเป็นประเด็น และนั่นเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย ทำให้ความสัมพันธ์กับยอดทีมจากสเปน ขาดสะบั้นลง

        "หากบอร์ดบริหารของบาร์ซ่า ไม่ยอมจ่ายเงินโบนัสค่าต่อสัญญา เราก็คงทำอะไรไม่ได้ ผมตัดสินใจหยุดสนับสนุนบาร์ซ่า ตั้งแต่วินาทีนั้น" คุณพ่อเปิดใจ "ก่อนหน้านี้ ผมอยู่เคียงข้างบาร์ซ่า มาโดยตลอด และก็อยากให้เนย์มาร์ อยู่กับทีมต่อไป อย่างไรก็ตาม จากทัศนคติของบอร์ดบริหาร ทำให้เราเป็นเหมือนเส้นขนานกัน"

        เนย์มาร์ กำลังไปได้สวยกับเปแอสเช ด้วยการเป็นเพลย์เมคเกอร์ ทั้งยิง และจ่ายให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเปิดเผยว่า มีความสุขมากกว่าสมัยเป็นนักเตะของบาร์เซโลน่า เสียอีก จากนี้เป็นต้นไป นอกจากภารกิจการทวงคืนแชมป์ลีกเอิง เขายังพร้อมไล่ล่าเป้าหมายที่ประธานสโมสรวางเอาไว้ นั่นคือการเป็นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 

        "คุณพ่อคอยเคียงข้างผมมาตั้งแต่เด็ก ท่านคอยดูแลเรื่องของการเงิน และความเป็นอยู่ของครอบครัว ครอบครัวถือเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม ผมขอขอบคุณพระเจ้า ที่ให้ผมมาเกิดในครอบครัวนี้ ในวันนี้ ผมกำลังตอบแทนบุญคุณ ที่พวกเขาทำเพื่อผมมาตลอดชีวิต" คำพูดของเนย์มาร์ ที่สามารถยืนยันได้ว่า คุณพ่อคือบุคคลทรงอิทธิพล และผู้กุมชะตาชีวิตของเขาอย่างแท้จริง

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด