การแข่งขันรอบคัดเลือก ออกสตาร์ตนัดแรกที่โซนเอเชียบ้านเราในวันที่ 12 มีนาคม 2015 ก่อนลากยาว "เกินสองปีครึ่ง" และสิ้นสุดที่เกมระหว่าง เปรู-นิวซีแลนด์ ซึ่งตรงกับช่วงสายของวันที่ 16 พฤศจิกายน 2017 ตามเวลาบ้านเรา

มีหลากหลายเรื่องราวและความทรงจำเกิดขึ้นตลอดเวลาอันยาวนานของการคัดเลือกทีมที่ดีทีสุด 31 ทีมจากทั่วโลกเพื่อไปสมทบกับเจ้าภาพรัสเซียในรอบสุดท้าย 

  งานนีมีผู้สมหวังทั้งได้ไปเล่นรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หรือครั้งแรกในรอบหลายปีหลังว่างวรรคไปนาน 

แต่อีกมุมก็มีผู้ผิดหวังมากหน้าหลายตาทั้งชาติยักษ์ใหญ่ที่เป็นถึงอดีตแชมป์หลายสมัย และพวกขาประจำที่ตกสำรวจอย่างไม่น่าเชื่อ 

และนี้คือบทสรุปที่ทำให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นสำหรับ "ฟุตบอลโลกฉบับหมีขาว" ที่จะมีขึ้นในกลางปีหน้า  

อิตาลี ตกรอบพร้อมกับการปิดฉากอันน่าเศร้าของ จานลุยจิ บุฟฟ่อน

1. มี 20 ชาติจากฟุตบอลโลก 2014 ที่เข้ารอบสุดท้ายในปี 2018 ตกเครื่องไปรัสเซีย 12 ชาติ คือ ฮอลแลนด์, อิตาลี, กรีซ, บอสเนียฯ, สหรัฐฯ, ฮอนดูรัส, ชิลี, เอกวาดอร์, แอลจีเรีย, แคเมอรูน, ไอวอรี่โคสต์ และ กานา โดย 2 ชาติหลังเป็นขาประจำมาตลอด 3 ครั้งหลังสุด แต่ครั้งต่อไปหลุดโผ 

2. อิตาลี เป็นอดีตแชมป์ทีมแรกที่ตกรอบคัดเลือกต่อจากอุรุกวัยในปี 2006 และยังเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปีที่พลพรรคอัซซูรี่ไม่สามารถผ่านไปเล่นรอบสุดท้าย นอกจากนี้ยังเป็นชาติที่ไปลุยรอบสุดท้ายติดต่อกันมากที่สุดที่ 14 สมัย แต่ตกรอบในครั้งนี้ 

3. แรงกิ้งฟีฟ่าต่ำสุดที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายคือ ซาอุดิอาระเบีย (อันดับ 63) แต่ถ้านับทั้งหมด รัสเซีย (อันดับ 65) อยู่ต่ำสุด แต่ได้สิทธิ์ในฐานะเจ้าภาพ 

ไอซ์แลนด์ มีพลเมืองเพียงสามแสนเศษ แต่คว้าตั๋วไปเล่นบอลโลก 

4. ไอซ์แลนด์ กับ ปานามา เป็น 2 ชาติหน้าใหม่ที่จะได้สัมผัสฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายเป็นครั้งแรก

5. ไอซ์แลนด์ ที่มีประชากรเพียง 3.3 แสนคน เป็นชาติแรกที่มีประชากรไม่ถึง 1 ล้านที่สามารถผ่านไปเล่นรอบสุดท้าย ขณะที่ จีน (1,378 ล้านคน), อินเดีย (1,330 ล้านคน), สหรัฐฯ (324 ล้านคน) และ อินโดนีเซีย (260 ล้านคน) ซึ่งเป็น 4 อันดับแรกที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ตกรอบทั้งหมด

6. ทีมจากเกาะอังกฤษ/ไอร์แลนด์ทั้ง อังกฤษ, เวลส์, ไอร์แลนด์เหนือ และ ไอร์แลนด์ ที่กอดคอยลุยยูโร 2016 มาด้วยกัน เหลือเพียง อังกฤษ ชาติเดียวที่ไปบอลโลก

สหรัฐฯ อีกหนึ่งขาประจำทีมตกรอบ

7. มีแชมป์ทวีปทีมล่าสุดตกรอบถึง 3 ทีม ไม่ว่าจะเป็น ชิลี (อเมริกาใต้), สหรัฐ (คอนคาเคฟ) และ แคเมอรูน (แอฟริกา) ขณะที่ ออสเตรเลีย (เอเชีย) ต้องเหนื่อยในรอบเพลย์ออฟก่อนคว้าตั๋วหวุดหวิด

8. มีตัวแทนจากสแกนดิเนเวียถึง 3 ชาติคือเดนมาร์ก, ไอซ์แลนด์ และสวีเดน ผ่านเข้ารอบซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยในอดีตเต็มที่แค่ 2 ทีม คือ ปี 1994 (นอร์เวย์, สวีเดน), 1998 (เดนมาร์ก, นอร์เวย์) และ 2002 (เดนมาร์ก, สวีเดน) ส่วนครั้งล่าสุด 2014 ที่บราซิล ไม่มีแม้แต่ทีมเดียว 

เปรู คัมแบ็กสู่รอบสุดท้ายในรอบ 36 ปี

9. มีหลายชาติที่คว้าตั๋วรอบสุดท้ายได้อีกครั้งหลังหายหน้าไปนาน (นับเฉพาะเกินสิบปี) ไม่ว่าจะเป็น ซาอุดิอาระเบีย, สวีเดน, โปแลนด์, ตูนิเซีย (12 ปี), เซเนกัล (16 ปี), โมร็อกโก (20 ปี), อียิปต์ (28 ปี) และ เปรู (36 ปี) 

10. ไม่มีชาติใดที่พรมแดนติดรัสเซียแล้วได้ไปเล่นรอบสุดท้ายที่รัสเซีย ไม่ว่าจะเป็น นอร์เวย์, ฟินแลนด์, เอสโตเนีย, ลัตเวีย, ลิทัวเนีย,  เบลารุส, ยูเครน, จอร์เจีย, อาร์เซอร์ไบจาน, คาซัคสถาน, มองโกเลีย, จีน และ เกาหลีเหนือ ขณะที่ โปแลนด์ ที่อยู่ติดกับแคว้นคาลินินการ์ดซึ่งเป็นเขตปกครองของรัสเซีย แต่ดินแดนแห่งนี้พ้นชายขอบของรัสเซียออกไป ส่วน ญี่ปุ่น กับ สหรัฐฯ มีเพียงพรมแดนทางทะเลที่ติดกัน 

หากไม่ได้เป็นเจ้าภาพ ก็ไม่รู้ว่ารัสเซียจะได้เล่นรอบสุดท้ายหรือไม่