:::     :::

กระดูกคนละเบอร์

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม 2562 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
7,067
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
โจทย์ของลิเวอร์พูลในเกมสุดท้ายของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกคือการ "ไม่แพ้ซัลซ์บวร์ก" แค่นั้นเอง นะครับ ซึ่งถ้าเป็นโจทย์ที่บอกไว้ก่อนที่ทุกคนจะเห็นฟอร์มการเล่นของเจ้าถิ่น ใครๆ ก็คิดว่ามันไม่น่าจะเกินมือของหงส์แดงแน่ๆ แต่กับฟอร์มการเล่นอันเปล่งปลั่งของซัลซ์บวร์กอะไรๆ ที่เคยคิดว่าง่าย มันก็ได้ง่ายอย่างที่คิดแน่นอน


18+ ตัวจริง!!!

   

          สิ่งที่ลิเวอร์พูลเปลี่ยนไปจากตอนต้นฤดูกาลชัดเจนในตอนนี้ คือ ขุมกำลังของลิเวอร์พูลนั้นดูจะไม่เดาง่ายและตายตัวอีกแล้ว จากเกมที่ค่อนข้างชุกเหลือเกินในช่วงนี้ ทำให้คล็อปป์ต้องมีการสลับหมุนเวียนนักเตะบ้าง และที่สำคัญ คือ มันได้ผลอย่างเหลือเชื่อ การสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนของเจอร์เก้น คล็อปป์ตั้งแต่นัดเจอเอฟเวอร์ตันมันส่งผลกระทบมากเหลือเกิน มันไม่ใช่แค่เพียงว่าผลการแข่งขันที่เป็นไปตามเป้าเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้จุดอ่อนที่ทุกคนเคยมองว่าลิเวอร์พูลเสียเปรียบคู่แข่งทีมอื่นอย่างเรื่อง”กำลังสำรอง”  มันไม่มีอีกต่อไปแล้ว ไพ่ในมือของเจอร์เก้น คล็อปป์มีมากขึ้น เขาสามารถหยิบจับผู้เล่นคนไหนก็ได้มาใส่ในเกม ซึ่งตรงนี้มันได้สร้างความปวดหัวให้กับทีมที่จะต้องเจอกับเขาเป็นอย่างยิ่ง อย่างในเกมนี้เขาก็กลับมาใช้ชุดใหญ่ที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ในแดนกลางก็ใส่ นาบี้ เกอิต้า ที่กำลังฟอร์มดีวันดีคืนลงมาประสานงานกับตัวพ่ออย่างเฮนโด้กับไวนัลดุ้ม ซึ่งน่าสนใจมากพอสมควร ว่ากองกลางชุดที่ไม่มีฟาบินโญ่ แต่ต้องมาเจอกับสถานการณ์ที่คาดเดาได้ว่าต้องเล่นเกมรับเป็นหลัก จะสามารถเอาตัวรอดไปได้หรือไม่
   
พลังหนุ่ม VS วัยเก๋า

          และเกมก็เป็นอย่างที่หลายๆ คนคาดเดา เมื่อซัลซ์บวร์กไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเอาชนะลิเวอร์พูลให้ได้เท่านั้นเป็นฝ่ายเปิดเกมรุกและเข้าเพรสซิ่งผู้เล่นลิเวอร์พูลตั้งแต่ตอนเกม ซึ่งก็ดูจะได้ผลอยู่มากพอสมควร และด้วยตัวผู้เล่นที่มีความสามารถเฉพาะตัวสูงของซัลซ์บวร์กในแนวรุกอย่าง ทาคูมิ มินามิโนะ - ฮวาง ฮี-ชาน, เออร์ลิง เบราท์ ฮาลันด์ ก็ทำให้ลิเวอร์พูลปั่นป่วนไปได้มากพอสมควรเหมือนกัน แต่นี่ก็ไม่ใช่สถานการณ์ใหม่สำหรับแนวรับของลิเวอร์พูลที่นำโดยเฟอร์กิล ฟาน ไดค์แต่อย่างใด ในเกมนี้แม้จะโดนกดดันมากขนาดไหนก็ตาม แต่ฟานไดค์และพรรคพวก ก็ยังสามารถป้องกันประตูไว้ได้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะพ่อหมี อลิสซง เบ็คเกอร์ ที่เกมนี้ดูเหนียวหนึบดีเหลือเกิน ทำให้ลิเวอร์พูลยังรักษาสถาการณ์ไว้ให้ได้เปรียบได้อยู่ และพอซัลซ์บวร์กเลือกที่จะเปิดเกมรุกใส่แบบนี้ ก็ค่อนข้างเข้าทางแนวรุกของลิเวอร์พูลที่เล่นสวนกลับได้อย่างสุดยอดเหมือนกัน ทำให้เกมในครึ่งแรกเราได้เห็นทั้งสองทีมมีโอกาสผลัดกันยิงอยู่ตลอด แต่ก็ยังไม่เด็ดขาดพอ ทำให้ทั้งสองทีมยังเสมอกันอยู่จนจบครึ่งแรกอย่างเหลือเชื่อ 



ประสบการณ์เป็นตัวชี้วัด

          ครึ่งหลังลิเวอร์พูลมีปรับเกมเล็กน้อย โดยดูเหมือนว่าจะปรับไปเล่นแบบ 4-1-4-1 โดยทิ้งซาล่าห์ไว้เป็นหน้าเป้าคนเดียว และพวกเขาไม่ต้องทำอะไรมากนอกจากเล่นเกมของพวกเขาไปเรื่อยๆ ไม่ได้เร่งเกมหรือร้อนรนแต่อย่างใด ผิดกับซัลซ์บวร์ก ที่ดูร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด เพราะพวกเขารู้ดีว่าเวลาในแชมเปี้ยนส์ ลีกของพวกเขากำลังหมดลงเรื่อยๆ และทุกอย่างก็พังทลายลงเมื่อหงส์แดงได้ประตูนำไปก่อนจากการประสานงานกันของอดีดผู้เล่นซัลซ์บวร์ก อย่างมาเน่ที่หลุดไปทางริมเส้นด้านซ้ายและตักเข้ามาให้เกอิต้าโหม่งเข้าไปง่ายๆ เพราะผู้รักษาประตูถูกมาเน่ดึงออกไปหลุดตำแหน่งแล้ว และก็มาได้ประตูหนีห่างไปจากจังหวะที่ผู้เล่นซัลซ์บวร์กส่งคืนหลังผิดพลาด และโดนซาล่าห์ตัดบอลไปและกระชากหนีโกล์ไปจนเกือบสุดเส้นหลังจนแทบจะเป็นมุมอับแต่เจ้าตัวก็ยังแม่นพอที่จะตวัดบอลจากมุมนั้นเสียบเสาเข้าไปอย่างเหลือเชื่อ เพราะจริงๆ แล้วในคืนนี้ซาล่าห์นั้นทิ้งโอกาสงามๆ และง่ายกว่านี้ไปอย่างมากมาย แต่กลับมายิงลูกมหัศจรรย์แบบนี้เข้าไปได้ซะงั้น !!!! และเมื่อลิเวอร์พูลทำประตูทิ้งห่างไป 2-0 เกมนี้ก็แทบจะจบไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ผู้เล่นซัลซ์บวร์กดูถอดใจอย่างเห็นได้ชัด  ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ใช่เรีื่องผิดอะไร เพราะว่ากับเงื่อนไขที่ต้องยิงลิเวอร์พูลถึง 3 ประตูในเวลาที่เหลือประมาณ 30 นาทีแบบนีึ้แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ  แต่ถ้ามองย้อนกลับไปในทีมของลิเวอร์พูล ก็จะยิ่งรู้สึกทึ่งและชื่นชมผู้เล่นหงส์แดงและเจอร์เก้น คล็อปป์มากยิ่งขึ้นไปอีก  เราไม่เคยเห็นผู้เล่นลิเวอร์พูลถอดใจหรือยอมแพ้เลยแม้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร พวกเขามองเห็นโอกาสและเชื่อมั่นว่าพวกเขายังสามารถพลิกสถานการณ์ได้เสมอ     

          เกมนี้สิ่งที่ชี้วัดผลการแข่งขันอาจจะไม่ใช่แค่เรื่องความสามารถของทีมหรือนักเตะอย่างเดียว แต่ประสบการณ์และความเขี้ยวของผู้เล่นและโค้ชของทั้งสองทีมนั่นต่างหากที่เป็นตัวชี้วัดว่าเป็นลิเวอร์พูล ที่เป็นผู้เหมาะสมที่จะก้าวเดินต่อไปในเวทีนี้มากกว่าซัลซ์บวร์กจริงๆ




ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด