:::     :::

คำตอบของ 37 แต้มต่าง

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
1,547
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ก่อนแข่งเกมนัดที่ 17 ของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลกับวัตฟอร์ดนั้นมีแต้มที่ต่างกันอยู่ 37 แต้ม ซึ่งถือว่าเป็นแต้มที่ห่างที่สุดระหว่างทีมอันดับ 1 กับทีมอันดับสุดท้ายตั้งแต่พรีเมียร์ลีกเคยมีมา ซึ่งรูปเกมและผลการแข่งขันที่แสดงออกมาในนัดนี้คงทำให้หลายๆ คนได้เห็นกันชัดเจนแล้วว่า ทำไมทั้ง 2 ทีมถึงแต้มทิ้งห่างกันถึงสุดกู่แบบนี้



บอลเปลี่ยนโค้ช VS บอลเปลี่ยนตัว

          วัตฟอร์ดนั้นประสบปัญหาเรื่องฟอร์มการเล่นอย่างหนักหน่วงเหลือเกินในซีซั่นนี้ ทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านมาแค่ 17 นัดในฤดูกาลนี้ แต่พวกเขาไล่กุนซือออกไปแล้วถึง 2 คน ปัจจุบันเป็นไนเจล เพียร์สันเป็นกุนซือคนที่ 3 เข้าไปแล้วโดยพวกเขาหวังว่าเพียร์สันจะสามารถสร้างปาฏิหารย์พาแตนอาละวาดตัวนี้รอดพ้นจากการตกชั้นเหมือนกับที่เคยพาจิ้งจอกสยามหนีรอดตกชั้นได้อย่างเหลือเชื่อในฤดูกาลแรกที่พวกเขาเลื่อนชั้นขึ้นมา ซึ่งการจะทำแบบนั้นได้ การมีแต้มจากทีมชั้นนำอย่างลิเวอร์พูลน่าจะเป็นเชื้อไฟชั้นดี เพื่อก่อให้เกิดประกายไฟแก่ผู้เล่นวัตฟอร์ดให้กลับมาคึกคักและสร้างปาฏิหารย์ให้เกิดขึ้นได้ ประกอบกับลิเวอร์พูลที่ช่วงนี้ต้องหมุนเวียนตัวผู้เล่นอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่นในเกมนี้ที่พวกเขาพักแอนดี้ โรเบิร์ตสัน , นาบี เกอิต้า , อ๊อกเหลด เชมเบอร์เลน ไว้ข้างสนามแล้วให้โอกาสกับเจมส์ มิลเนอร์ลงมาเล่นเป็นแบ็กซ้ายจำเป็น ตำแหน่งกองกลางก็ให้โอกาสกับ เซอร์ดาน ชากิรี่อีกครั้งทำให้เกมนี้อาจจะดูไม่ง่ายอย่างที่หลายๆ คนคิด  เพราะไม่ว่าใครตอนนี้ก็น่าจะมองออกว่าลิเวอร์พูลจะหมุนเวียนนักเตะ 100% อยู่แล้ว  และแน่นอนเช่นกันว่า ไนเจล เพียร์สันก็มองตรงนี้ออกและเขาก็เตรียมตัวมาสู้กับลิเวอร์พูลได้ดีเกินคาดจริงๆ



หลังบ้านโกลาหล


          จากปัญหาอาการบาดเจ็บและการต้องสลับสับเปลี่ยนตัวนักเตะในแผงหลังอยู่บ่อยๆ ทำให้ความเสถียรของแผงหลังของลิเวอร์พูลนั้นไม่มั่นคงเหมือนเดิม และยิ่งในเกมนี้พวกเขาเลือกที่จะใช้ม้าแก่อย่างมิลเนอร์มาเป็นแบ็กซ้าย เพิ่มเติมเข้าไปด้วยว่าต้องใช้บริการของโจ โกเมสในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาร์ฟเพราะไม่มีตัวเลือกอีกแล้ว ทำให้วันนี้เราได้เห็นถึงความวุ่นวายของแผงหลังลิเวอร์พูลมากพอสมควรทีเดียว  มิลเนอร์นั้นโดนโจมตีอย่างหนักจากอิสไมล่า ซาร์ ที่สปีดคนละเรื่องกับมิลเนอร์ แถมน้องโจ โกเมสก็ยังดูไม่เข้าที่เข้าทางเหมือนปีก่อนเลย ทำให้เกมนี้ลิเวอร์พูลโดนกดดันและเจียนอยู่เจียนไปหลายต่อหลายครั้ง แต่พวกเขาก็ยังสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์กดดันในนัดนี้ไปได้ทุกจังหวะ คงต้องบอกว่าพวกเขาค่อนข้างโชคดีมากๆ ที่ไม่ว่าแผงหลังจะสลับสับเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่แกนหลังในเกมรับของพวกเขาอย่าง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ และ อลิสซง เบ็คเกอร์นั้นยังเป็นปราการหลักที่ไว้ใจได้เสมอ ในเกมนี้คนที่ต้องได้รับเสียงปรบมือดังๆ คือ อลิสซง เบ็คเกอร์ นี่แหละครับ ที่เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดและป้องกันลูกยิงของนักเตะวัตฟอร์ดไว้ได้ทุกครั้ง และนอกจากนั้นยังเปิดเกมสวยๆ ได้ตลอด ถ้าเกมนี้ไม่มีพ่อหมีอลิสซงเป็นนายด่าน ผมเชื่อเหลือเกินว่าลิเวอร์พูลไม่น่าจะรอดพ้นจากการเสียประตูแน่นอน หรือยิ่งกว่านั้นอาจจะเกิดการพลิกล็อกครั้งมโหฬารในนัดนี้ก็ได้ เขาคือเสาหลักในแนวรับของทีมอย่างแท้จริงในเกมนี้

 ความต่างของ 2 ทีม


          ในเกมนี้ทั้งสองทีมนั้นฟอร์มไม่ได้ห่างชั้นอะไรกันมากมาย วัตฟอร์ดเองก็เตรียมการมารับมือกับลิเวอร์พูลได้เป็นอย่างดี เกมสวนกลับของพวกเขาวูบวาบน่ากลัวและป่วนแผงหลังของลิเวอร์พูลได้ดีจริงๆ เกมรับของพวกเขาก็มีวินัยและช่วยกันเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม จนแอบสงสัยเหมือนกัน ว่าทั้งๆ ที่พวกเขาเล่นได้ในระดับนี้ แต่ทำไมถึงมีแค่ 9 คะแนนและยังจมบ๊วยอยู่แบบนั้น .... แต่คำตอบก็ออกมาให้เราได้เห็นอย่างชัดเจนมากๆ ในเกมนี้นี่แหละครับ แม้พวกเขาจะวูบวาบน่ากลัว แต่ทีเด็ดทีขาดนั้นไม่มีเอาเสียเลย ตัวความหวังในการทำประตูอย่าง ทรอย ดีนีย์ ก็ฟอร์มตกอย่างกู่ไม่กลับ คนอื่นๆ ก็มีแต่เทคนิก แต่ไม่มีความเด็ดขาดในจังหวะชี้เป็นชี้ตายเอาเสียเลย เกมนี้แผงหลังลิเวอร์พูลค่อนข้างจะมีช่องให้เจาะอยู่เรื่อยๆ และพวกเขาก็สร้างโอกาสได้มากพอสมควร แต่พวกเขาพลาดง่ายๆ อย่างเหลือเชื่อจริงๆ จากจังหวะยิงเหน่งๆ ที่เห็นในเกมนี้ก็น่าจะไม่ต่ำกว่า 2-3 ครั้ง และเหตุผลนี้แหละที่ฉุดแต้มให้พวกเขาจมอยู่ท้ายตารางแบบนี้


          ผิดกับทางฝั่งหงส์แดง ที่แม้เกมนี้พยายามหาทางเจาะแผงหลังวัตฟอร์ดอยู่นานสองนาน แต่ก็แทบจะไม่มีโอกาสยิงเหน่งๆ ให้เห็นเลย แต่เมื่อโอกาสเปิดให้กับพวกเขา พวกเขาก็ไม่ปล่อยโอกาสทองให้หลุดลอยไป และเป็นอีกครั้งที่พวกเขาได้ประตูจากจังหวะสวนกลับในจังหวะเตะมุมของคู่แข่ง พวกเขาต่อบอลกัน 2-3 จังหวะและสุดท้ายก็จัดการส่งบอลเข้าประตูเข้าไปจนได้จากการจบสกอร์อันยอดเยี่ยมของซาล่าห์ และพอได้ประตูนำพวกเขาก็เล่นได้ง่ายและสบายขึ้นจนสุดท้ายมาได้ประตูปิดท้ายจากซาล่าห์อีกครั้งหนึ่ง ความเด็ดขาดในจังหวะสุดท้ายนี่แหละครับ ที่เป็นตัววัดผลการแข่งขันในนัดนี้ และแต้มที่ห่างของทั้ง 2 ทีมนี้ก็บ่งบอกชัดเจนว่าคุณภาพในเรื่องนี้ของทั้งสองทีมแตกต่างกันขนาดไหน



          วันนี้แม้ลิเวอร์พูลจะเล่นได้ไม่ท๊อปฟอร์มเท่าที่ควร แต่พวกเขาก็ยังมีอาวุธหนักๆ มาจัดการทีมคู่แข่งได้เสมอ การจัดตัวในเกมนี้หลายๆ คนอาจจะไม่พอใจ แต่เจอร์เก้น คล็อปป์น่าจะมองออกว่าความต่างของทั้งสองทีมมันมีช่องว่างที่ห่างขนาดไหน และผู้เล่นในเกมนี้ “พอเพียง” แล้วสำหรับเป้าหมาย 3 คะแนนในเกมนี้ ทำให้พวกเขาปิดเกมทิ้งทวนก่อนจะไปเตะสโมสรโลกได้อย่างสวยงามจริงๆ

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด