ศึกสำคัญชี้ชะตา "ช้างศึก" ปี 2020
โดยโปรแกรมที่เหลืออยู่จะกลับมาแข่งอีกครั้งในเกมเปิดบ้านพบ อินโดนีเซีย ในวันที่ 26 มีนาคม นี้ ต่อด้วยการไปเยือน ยูเออี ในวันที่ 4 มิถุนายน และปิดท้ายด้วยการเปิดบ้านพบ มาเลเซีย ในวันที่ 9 มิถุนายน ซึ่ง 3 เกมนี้ถ้าวิเคราะห์จากสถานการณ์แล้ว ไทย ห้ามแพ้แม้แต่นัดเดียว และเก็บแต้มให้ได้อย่างน้อย 7 คะแนน หรืออาจต้องคว้า 9 แต้มเต็มด้วยการชนะทุกนัดด้วยซ้ำ
หลังคุมทีมในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ในปีที่ผ่านมา อากิระ นิชิโนะ เฮดโค้ชชาวญี่ปุ่น มีภารกิจต่อเนื่องในซีเกมส์ 2019 และอาจถือเป็นประสบการณ์ซีเกมส์ครั้งแรกที่ไม่สวยนักของเจ้าตัว เนื่องจากทีม "ช้างศึก" ที่คว้าแชมป์ซีเกมส์มาแล้ว 16 สมัย รวมถึงเป็นแชมป์เก่า 3 สมัยติดต้องพลาดท่าตกตั้งแต่รอบแรก แบบถูกวิจารณ์ยับถึงความพร้อมในการเตรียมทีม และยังไม่ได้นับรวมถึงศึกชิงแชมป์เอเชีย ยู-23 รายการคัดเลือกโอลิมปิก ที่จะเริ่มแข่ง 8-26 มกราคมนี้ ซึ่งหากผลงานออกมาไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง ก็น่าเป็นห่วงถึงกระแสศรัทธาของแฟนบอลที่มีต่อ นิชิโนะ เช่นกัน ว่าจะถูกตีกลับรุนแรงเพียงใด
สำหรับโปรแกรมที่เหลืออยู่ 3 นัดในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก แม้จะเป็นการเฝ้าบ้านถึง 2 เกม แต่ไม่มีเกมไหนที่ง่ายชนิดแบเบอร์ ไม่ว่าจะเป็นการพบกับ อินโดนีเซีย ในวันที่ 26 มี.ค. แม้เราเคยบุกไปชนะถึงสนาม เกโลร่า บุง การ์โน่ 3-0 ทว่าครั้งนี้ อินโดนีเซีย มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อสั่งปลด ไซม่อน แม็คเมเนมี่ กุนซือชาวสก็อตแลนด์ออก พร้อมกับเคยมีข่าวว่าอาจแต่งตั้ง ชิน แต ยอง อดีตเฮดโค้ชทีมชาติเกาหลีใต้ชุดฟุตบอลโลก 2018 เข้ามากอบกู้วิกฤติที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ (มีรายงานข่าวว่าอาจจะไปคุมทีมในศึกไชนีส ซูเปอร์ลีก แทน) ซึ่งไม่ว่ามันจะเป็นจริงตามข่าวหรือไม่ แต่ทฤษฎีบอลเปลี่ยนโค้ช ยังไงซะก็คงชะล่าใจไม่ได้ หลายๆ ทีมพลิกวิฤกตเป็นโอกาสให้เห็นกันมานักต่อนัก
หลังจากนั้น การไปเยือน ยูเออี ทีมจากโถหนึ่ง ในวันที่ 4 มิ.ย. ซึ่ง ยูเออี ก็เป็นบอลเปลี่ยนโค้ชเช่นกัน เพราะเพิ่งจัดการปลด เบิร์ต ฟาน มาร์ไวจ์ท กุนซือชาวดัตช์ออกไป หลังทำผลงานได้น่าผิดหวังทั้งในบอลโลกรอบคัดเลือก ที่เพิ่งมีเพียง 6 แต้มรั้งอันดับ 4 ของตารางกลุ่มจี และศึกฟุตบอลกัลฟ์ คัพ ที่ตกตั้งแต่รอบแรก ซึ่งแม้ยังไม่มีการยืนยันว่าจะตั้งใครเข้ามาเป็นโค้ชคนใหม่ แต่ชาติเศรษฐีน้ำมันอย่าง ยูเออี มั่นใจได้เลยว่ามีงบจ้างโค้ชชื่อดังระดับโลกได้ไม่ยากแน่นอน
รวมไปถึงนัดสุดท้ายที่ "ช้างศึก" จะเปิดบ้านรับการมาเยือนของ มาเลเซีย ซึ่งทำให้ไทยน้ำตาตกมาแล้วในการบุกไปแพ้ที่สนาม บูกิต จาลิล 1-2 ซึ่งนั่นคือการพ่ายแพ้เกมแรกในการคุมทีมของ อากิระ นิชิโนะ อีกด้วย และจากสถิติที่ผ่านๆ มาในช่วงหลัง การเจอทีม "เสือเหลือง" ไม่ใช่งานง่ายเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากนัดสุดท้ายมีผลต่อการลุ้นเข้ารอบของทั้งสองทีม
ทั้ง 3 เกมถือเป็นโจทย์สำคัญที่กุนซือชาวญี่ปุ่น รวมถึงนักเตะขุนพล "ช้างศึก" ทุกคนต้องฝ่าฟันไปให้ได้ หากหวังผ่านเข้าสู่รอบ 12 ทีมสุดท้าย เพื่อลุ้นตั๋วสำหรับศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ต่อไป
เหนือสิ่งอื่นใด กระแสศรัทธาจากแฟนบอลก็มีความสำคัญ แต่ที่ต้องระมัดระวังให้มากยิ่งกว่าก็คือความรู้สึกและทัศนคติของทีมสตาฟฟ์และตัวผู้เล่น หากทีมชาติไทยชุดยู-23 ผลงานไม่ดี แรงกระทบต่อเนื่องในแง่ร้ายที่สุด ความเชื่อมั่นในตัว นิชิโนะ จะยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ อันนี้เวลาเท่านั้นที่จะเป็นคำตอบให้เราได้
จะยังไงก็ตาม ผมขออ้างอิงคำพูดของ "โค้ชโย่ง" วรวุธ ศรีมะฆะ ที่คุยกับผมหลังไมค์ว่า สำหรับทีมชาติใดๆ ก็ตาม หากจะประสบความสำเร็จได้ นักเตะในทีมต้องเล่นเพื่อ 3 อย่าง คือ
1.เล่นเพื่อตัวเอง - เพื่ออนาคตและโปรไฟล์ที่ดีในการต่อยอดสู่การค้าแข้งอาชีพ รวมถึงความพึงพอใจต่อผลงานของตัวเองที่ทำได้อย่างที่ตั้งเป้าไว้
2.เล่นเพื่อโค้ช — หากโค้ชสามารถรวมใจนักเตะให้เป็นหนึ่งได้ ทำให้นักเตะรู้สึกรักและศรัทธา ไม่ว่าด้วยพระเดชหรือพระคุณก็ตาม จนสร้างบรรยากาศให้นักเตะรู้สึกยอมเล่นชนิดถวายหัวให้ได้ล่ะก็ สปิริตของทีมนั้นจะส่งผลออกมาให้เห็นด้วยผลงานและความสามัคคีในสนาม
3.เล่นเพื่อธงชาติที่หน้าอก — การได้รับใช้ทีมชาติคือความภาคภูมิใจของนักฟุตบอลทุกคน เมื่อไหร่ก็ตามที่มีความรู้สึกว่าการอยู่ในสนามในเกมฟุตบอล เปรียบเสมือนการอยู่ในสมรภูมิรบ ที่สามารถวิ่งลืมตายเพื่อชาติได้ ไม่ต้องห่วงเรื่องความกระหายหรือความมุ่งมั่น มั่นใจได้เลยว่าใส่หมดแม็กแน่นอน
ทั้ง 3 ข้อ จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้เลย แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุด นั่นคือการระลึกเสมอถึงบทบาทของตน ไม่ว่าตัวเองจะเป็นใคร ไม่ว่าโค้ชจะเป็นใคร แต่ต้องไม่ลืมว่าเราคือตัวแทนทีมชาติไทย คือคนที่ถูกโค้ชเลือกมาว่าดีที่สุดแล้ว
ไม่ว่าจะชุดยู-23 หรือชุดใหญ่ มีเท่าไหร่ขอให้จัดไปให้สุด ต่อให้ผลงานของทีมออกมาไม่ดี แต่เชื่อเถอะว่าคนไทยส่วนใหญ่เขารู้ และดูออกว่าคุณแต่ละคน ทำเต็มที่และสุดความสามารถแล้วหรือยัง