:::     :::

สิงโตยุคทอง VS สิงโตยุคนี้

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2562 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
7,361
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
สำหรับแฟนบอลทีมชาติอังกฤษ สิ่งที่คาดหวังที่สุดก็คือการเห็นทีมรักก้าวไปคว้าแชมป์รายการเมเจอร์ให้ได้
ไม่น่าเชื่อว่าโทรฟี่สุดท้ายของทัพ "สิงโตคำราม" ก็คือฟุตบอลโลกเมื่อปี 1966 หรือย้อนกลับไปมากกว่า 50 ปีมาแล้ว
แม้แต่ในยุคทองในช่วงฟุตบอลโลก 2002 และ 2006 รวมถึงในยูโร 2004 ที่มีซูเปอร์สตาร์คับคั่งทีมยังไปได้ไกลที่สุดแค่รอบก่อนรองชนะเลิศเท่านั้น

หลังจากมีการปรับนั่น เปลี่ยนนี่อยู่พักใหญ่จนการมาของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ดูเหมือนว่าทีมจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
เห็นได้ชัดจากฟุตบอลโลก 2018 ที่ทีทะยานเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ รวมถึงในยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ที่โชว์ผลงานได้เป็นอย่างดีจากทีมพลังหนุ่ม ทำให้ความหวังของแฟนบอลดูจะกลับมาเรืองรองอีกครั้งหนึ่ง
แต่ทีมชาติอังกฤษยุคปัจจุบันของ เซาธ์เกต ดีกว่ายุค "โกลเด้น เจเนเรชั่น" หรือเปล่า? เราลองไปเปรียบเทียบกันดู
ผู้รักษาประตู
ยุคทอง : พอล โรบินสัน, เดวิด เจมส์, โรเบิร์ต กรีน
ยุคปัจจุบัน : จอร์แดน พิคฟอร์ด, นิค โพ๊พ, ทอม ฮีตัน
        
หนึ่งในจุดด้อยของทีมชาติอังกฤษยุคทองภายใต้การคุมทีมของ สวเน โกรัน อีริคส์สัน ก็คือไม่มีผู้รักษาประตูระดับโลกยืนเฝ้าด่านสุดท้าย หรือจะมาถึงยุคของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ที่มี โจ ฮาร์ท ก้าวขึ้นมา ก็ตาม
เดวิด เจมส์ ทำหน้าที่ในยูโร 2004 ในขณะที่ พอล โรบินสัน ก้าวขึ้นมายึดมือหนึ่งในฟุตบอลโลก 2006 แต่ในภาพรวมแล้วต้องบอกว่าชื่อชั้นและฝีมือนั้นยังถือว่าไม่ดีพอ
ในขณะที่เวิลด์ คัพ 2010 ในตอนแรก เดวิด เจมส์ ทำหน้าที่มือหนึ่ง แต่จากความผิดพลาดในเกมเปิดสนามกับ สหรัฐฯ ทำให้ โจ ฮาร์ท ขึ้นมายึดตำแหน่งแทน แต่สุดท้ายก็ไม่ไม่ถึงฝั่งฝันอยู่ดี
กับทีมในยุคนี้, แกเร็ธ เซาธ์เกต เลือกให้ จอร์แดน พิคฟอร์ด รับหน้าที่มือหนึ่งของทีมมาตั้งแต่ปี 2017 แม้ว่าฟอร์มกับสโมสร เอฟเวอร์ตัน ยังเป็นเครื่องหมายคำถมอยู่ แต่ผลงานกับทัพผู้ดีถือว่าทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว

พิคฟอร์ด เซฟจุดโทษในเกมกับ โคลอมเบีย ในฟุตบอลโลก 2018 ถือเป็นชัยชนะครั้งแรกของ อังกฤษ ในรอบ 20 ปีกับการดวลเป้ากับคู่แข่งในรายการเมเจอร์เลยด้วย
ส่วนมือรองอย่าง นิค โพ๊พ และ ทอม ฮีตัน แม้ว่าจะไม่ได้รับโอกาสลงเฝ้าเสาให้กับทีมชุดใหญ่มากเท่าไร แต่กับสโมสรถือว่าได้รับการยอมรับเรื่องฝีมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่ได้อยู่กับสโมสรยักษ์ใหญ่มีโอกาสโชว์ฝีมือมากกว่า
กับตำแหน่งด่านสุดท้ายขอฟันธงให้ทีมชุดปัจจุบันมีศักยภาพที่เหนือกว่าทีมยุคโกลเด้น เจเนเรชั่นไป
แบ็ค
ยุคทอง : แกรี่ เนวิลล์, เกล็น จอห์นสัน, แอชลี่ย์ โคล
ยุคปัจจุบัน : เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, คีแรน ทริปเปียร์, เบน ชิลเวลล์, แดนนี่ โรส

เรียกได้ว่าไม่เคยขายนักเตะชั้นดีในตำแหน่งแบ็คเลยสำหรับทีมชาติอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นแบ็คขวาหรือว่าซ้ายก็ตาม
ทางฝั่งขวา แกรี่ เนวิลล์ ยึดตำแหน่งแทบจะเกือบตลอดเส้นทางอาชีพยาวนานกว่า 10 ปีนับตั้งแต่ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เมื่อปี 1996 ในยุคของ เทอร์รี่ เวนาเบิ้ลส์ สตาร์จาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะการประสานงานกับเพื่อนร่วมสโมสรอย่าง เดวิด เบ็คแฮม
ในขณะที่ปัจจุบันมี เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่โชว์ฟอร์มสุดยอดกับ ลิเวอร์พูล รวมถึง คีแรน ทริปเปียร์ แข้งจาก แอตเลติโก มาดริด ที่ผลงานแจ่มมาเวิลด์ คัพ 2018 ซึ่งทั้งคู่มีทีเด็ดที่การเติมเกมรุกที่ดี หรืออาจจะนับรวม อารอน วาน-บิสซาก้า เข้าไปอีกคน
อาจจะพูดไม่เต็มปากว่าทั้งสามคนเหนือกว่า แกรี่ เนวิลล์ แต่ให้มองที่ เกล็น จอห์นสัน ทั้งสามคนเหนือกว่าแน่

ทางฝั่งแบ็คซ้าย แอชลี่ย์ โคล ต้องถือว่าเป็นแบ็คที่ดีที่สุดในโลกในช่วงเวลาของเขาเลยก็ว่าได้กับการติดทีมชาติทะลุหลักร้อย ลงเล่นให้กับทีมตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2002 ถึงยูโร 2012 
วันนี้ เบน ชิลเวลล์ คือแบ็คซ้ายเบอร์ 1 โชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ต้นสังกัดในช่วงขวบปีที่ผ่านมา แต่ต้องบอกว่าระยะทางยังอีกยาวไกลกว่าจะขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับ โคล ส่วน แดนนี่ โรส ยังคงขาดความต่อเนื่องในการเล่นอยู่
งานนี้คงต้อิงยกให้ทีมยุคโกลเด้น เจเนเรชั่นอยู่เหนือทีมชุดปัจจุบันอยู่นิดหน่อย
เซนเตอร์
ยุคทอง : โซล แคมป์เบลล์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, จอห์น เทอร์รี่, เจมี่ คาร์ราเกอร์
ยุคปัจจุบัน : แฮร์รี่ แม็กไกวร์, จอห์น สโตนส์, ไทโรน มิงส์, โจ โกเมซ, ไคล์ วอล์คเกอร์ 
        
เมื่อเอ่ยชื่อเซนเตอร์อย่าง โซล แคมป์เบลล์, ริโอ เฟอร์ดินานด์ และ จอห์น เทอร์รี่ คือกองหลังระดับแถวหน้าไม่ใช่แค่เฉพาะในอังกฤษ แต่ในระดับโลก รวมถึง เจมี่ คาร์ราเกอร์ และ เล็ดลี่ย์ คิง ก็คือสุดยอดกองหลังเช่นกัน
แคมป์เบลล์ และ เทอร์รี่ จับคู่กันในยูโร 2004 และทำผลงานได้ดีเลย กระทั่งในฟุตบอลโลก 2006 การจับคู่เปลี่ยนมาเป็น เทอร์รี่ กับ เฟอร์ดินานด์ ซึ่งเสียแค่ 2 ประตูตลอดทั้งทัวร์นาเม้นต์ น่าเสียดายที่สุดท้ายไปไม่ถึงฝัน
        
ในขณะที่ชุดปัจจุบันของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ตัวหลักในตำแหน่งเซนเตอร์ยืนพื้นที่ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ในขณะที่อีกคนมี จอห์น สโตนส์ กับ ไทโรน มิงส์ แย่งกัน รวมถึง ไคล์ วอล์คเกอร์ ที่ทำหน้าที่หากเล่นในระบบ 3 เซนเตอร์เหมือนอย่างในเวิลด์ คัพ 2018
ยังมีดาวรุ่งอย่าง โจ โกเมซ กับ ฟิคาโย่ โทโมรี่ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นตัวเลือก แต่ยังถือว่าเป็นแข้งในอนาคตอาจจะต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปีเพื่อยกระดับฝีเท้า 
กับตำแหน่งกองหลังตัวกลางคงต้องยกให้ยุค "โกลเด้น เจเนเรชั่น" เหนือกว่าแบบไม่ต้องสงสัย
กองกลาง
ยุคทอง : เดวิด เบ็คแฮม, แฟร้งค์ แลมพาร์ด, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, โอเว่น ฮาร์กรีฟส์, โจ โคล
ยุคปัจจุบัน : จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เดเล่ อัลลี่, เจสซี่ ลินการ์ด, แฮร์รี่ วิงค์, ดีแคลน ไรซ์, รอสส์ บาร์คลี่ย์, เมสัน เมาท์

เฉกเช่นเดียวกันกับกองหลัง, ในยุคทองของทีมชาติอังกฤษในแผงมิดฟิลด์อัดแน่นไปด้วยสุดยอดกองกลางของโลก
เดวิด เบ็คแฮม ชื่อนี้แทบไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ และคงไม่มีใครลืมฟรีคิกที่ส่งให้ อังกฤษ เข้าไปเล่นในฟุตบอลโลก 2002, นี่คืออีกหนึ่งทีเด็ดของทัพ "สิงโตคำราม" สำหรับลูกตั้งเตะโดยเฉพาะฟรีคิกที่ใครก็ต้องผวาและหลีกเลี่ยงที่จะเสียลูกตั้งเตะหน้าบริเวณเขตโทษ
สามสุดยอดกองกลางทั้ง พอล สโคลส์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด สร้างความปวดหัวให้กับทั้ง สเวน โกรัน อีริคส์สัน ในการเลือก 2 คนลงเป็นมิดฟิดล์ตัวกลาง ถึงขนาดที่บางครั้งถูกส่งลงพร้อมกันทั้งสามคนโดยที่ สโคลส์ ถูกถ่างไปริมเส้น
แม้ สโคลส์ จะอำลาทีมชาติหลังยูดร 2004 แต่อีกสองคนที่เหลือยังอยู่ในทีมและอยู่ในฟอร์มที่สุดยอดด้วย ซึ่งยังมี โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ ที่นำมาซึ่งความแตกต่างกับการค้าแข้งในเยอรมันกับ บาเยิร์น มิวนิค หรือจะ โจ โคล อีกคนที่มีทีเด็ดมาฝากเสมอ

กับยุคปัจจุบันที่มี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ปักหลักตรงกลาง โดย เดเล่ อัลลี่ กับ เจสซี่ ลินการ์ด ขึ้นเกมรุก แม้ว่าจะมีความห้าวแต่สิ่งที่หายไปคือแนวคิดสร้างสรรค์ รวมถึงการเก็บบอลกับตัวภายใต้สถานการณ์ที่กดดันยังเป็นรอง
หรือจะเป็น แฮร์รี่ วิงค์, ดีแคลน ไรซ์, รอสส์ บาร์คลี่ย์ และ เมสัน เมาท์ ยังถูกมองว่าประสบการณ์ยังน้อย แม้จะทำผลงานได้ดีขับเคลื่อนเกมของทีมชาติแต่ความต่อเนื่องยังเป็นเครื่องหมายคำถาม
ระบบการเล่นในทีมยุคใหม่ยังต้องหาจุดลงตัวอยู่ แม้ว่าดูว่ามีความสมดุลมากกว่ายุทองที่การจับคู่กันของ เจอร์ราร์ด และ แลมพาร์ด ที่ถูกมองว่า "ทับตำแหน่ง" กันอยู่ แต่ศักยภาพยังถือว่าเหนือกว่าทีมปัจจุบัน
กองหน้า
ยุคทอง : เวย์น รูนี่ย์, ไมเคิ่ล โอเว่น, ปีเตอร์ เคร้าช์, เจอร์เมน เดโฟ
ยุคปัจจุบัน : แฮร์รี่ เคน, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, มาร์คัส แรชฟอร์ด, เจดอน ซานโช่

อีกหนึ่งจุดด้อยทองสิงโตคำรามยุคทองกับตำแหน่งกองหน้า เมื่อมองไปที่ ไมเคิ่ล โอเว่น ที่โดนอาการบาดเจ็บพรากความเก่งกาจไปอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากที่โด่งดังขึ้นมาเป็นพลุแตกตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1998
นับตั้งแต่ย้ายออกจาก ลิเวอร์พูล, ดาวยิงเบอร์ 1 ของอังกฤษก็ไม่ใช่คนเดิมอีกเลย สุดท้ายในฟุตบอลโลก 2006 ที่ อังกฤษ ถูกยกว่าน่าจะมีโอกาสคว้าแชมป์ ก็เจ็บจนต้องถอนตัว
เวย์น รูนี่ย์ เด็กที่กำลังห้าวสุดๆก้าวขึ้นมาเป็นตัวความหวัง แต่ต้องยอมรับว่าขุมกำลังสำรองอย่าง ปีเตอร์ เคร้าช์, เจอร์เมน เดโฟ รวมถึง ดาริอุส วาสเซลล์ และ ธีโอ วัลค็อตต์ ยังฝากความหวังได้ยาก
กับทีมชุดปัจจุบันของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ต้องบอกว่า อังกฤษ ถือว่ามีแนวรุกที่อันตรายไม่แพ้ชาติไหนในโลกเมื่อลองไล่รายชื่อมาทั้ง แฮร์รี่ เคน, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, มาร์คัส แรชฟอร์ด และ เจดอน ซานโช่

หรือจะรวม แทมมี่ อบราฮัม ที่ฟอร์มเยี่ยมกับ เชลซี จนก้าวมาติดทีมชาติและอาจจะมีลุ้นติดทีมลุยยูโร 2020 กลางปีหน้าด้วย
แฮร์รี่ เคน พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นกองหน้าตัวเป้าเบอร์ 1 ของชาติ และได้รับการยอมรับว่าอันดับต้นๆของโลก ไม่ใช่กองหน้าที่รอให้เพื่อป้อนบอลมาให้ แต่เข้ายังมีทีเด็ดที่การสับไกจากนอกกรอบที่เฉียบขาดทีเดียว
พวกแข้งริมเส้นทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ มาร์คัส แรชฟอร์ด หรือแม้แต่ เจดอน ซานโช่ ระเบิดผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมนับตั้งแต่เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ต่อเนื่องมาจนถึงซีซั่นนี้ ซึ่งสามารถขึ้นไปอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการทั้งที่อายุไม่ได้มากเท่าไรนัก
ไม่ปฏิเสธว่า รูนี่ย์ และ โอเว่น คือกองหน้าระดับโลก แต่กับฟุตบอลสมัยใหม่ แนวรุกของ "สิงโตคำราม" ในปัจจุบันถูกยกให้อยู่ในระดับแนวหน้าของโลก ซึ่งมันพิสูจน์แล้วในฟุตบอลโลก 2018 และยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก
ต้องยกให้แนวรุกในทีมชุดปัจจุบันเหนือกว่าในยุคทอง
บทสรุป

จะเป็นการยุติธรรมที่จะบอกว่ากองหลังและกองกลางของทีมยุค "โกลเด้น เจเนเรชั่น" เหนือกว่า ในขณะที่ชุดปัจจุบันมีผู้รักษาประตูและแนวรุกที่ดีกว่า โดยหากจะให้มองในภาพรวมแล้วยังต้องยอมรับว่าทีมยุคทองยังเหนือกว่าอยู่นิดๆ
คงต้องรอดูในยูโร 2020 ว่า "สิงโตคำราม" จะไปได้ไกลแค่ไหน เพราะสุดท้ายความสำเร็จในรูปแบบของโทรฟี่ต่างหากจะเป็นตัวชี้วัดอย่างแท้จริง


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด