:::     :::

ดราม่าหญ้าเทียมสนามมธ.รังสิต

วันศุกร์ที่ 03 มกราคม 2563 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
2,932
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงได้เสพดราม่ากันไปบ้างแล้ว สำหรับประเด็นที่กลายเป็นกระแสในโลกโซเชียล หลังมีการโจมตีนักกรีฑาทีมชาติไทย ที่เข้าไปใช้ลู่วิ่งของสนามฟุตบอล ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในการฝึกซ้อมเพื่อเตรียมทีมสำหรับแข่งขันกรีฑา ชิงแชมป์เอเชีย 2020 และมีการรื้อพื้นหญ้าเทียมออกดูไม่เรียบร้อย ทั้งที่สนามนี้กำลังจะต้องส่งมอบให้ AFC ในวันที่ 5 ม.ค. เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นเจ้าภาพฟุตบอล ยู23 ชิงแชมป์ เอเชีย 2020

เรื่องราวของเหตุการณ์นี้แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร ผมได้รวบรวมข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวข้องมาเรียบเรียงไทม์ไลน์อีกครั้ง ฟังความจากทุกฝ่าย เพื่อที่อาจจะทำความเข้าใจกับเหตุการณ์มากขึ้น และขอยืนยันว่าผมไม่ได้เข้าข้างใครทั้งสิ้น

ขอเท้าความไปก่อนว่าประเด็นนี้ถูกยกขึ้นมาเป็นกระแสสังคม จากการที่เพจลุงเฮงเสือกระดาษ ได้เผยแพร่ภาพสนามมธ.รังสิต ที่ถูกรื้อพื้นหญ้าเทียมออกในสภาพที่ไม่เรียบร้อยดูเละเทะ พร้อมคำอธิบายภาพตำหนินักกรีฑากลุ่มดังกล่าวด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ว่าสนามมีการเตรียมการสำหรับเป็นเจ้าภาพฟุตบอลยู-23 มาเป็นอย่างดี และห้ามไม่ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปในสนามตั้งแต่เดือน ธ.ค. ซึ่ง AFC ได้เข้ามาตรวจสนามตอนเช้าซึ่งได้รับคำชมว่ายอดเยี่ยมมากๆ แต่พอมาเห็นสภาพในตอนเย็นก็ถึงกับช็อคและได้ตักเตือนว่าอย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ซึ่งทางแอดมินได้ชักชวนให้ลูกเพจออกมาร่วมกันประณาม จนมีการแชร์โพสต์ต่อๆ กันไปมากมาย

ต่อมามีอดีตนักกรีฑาขว้างค้อนคนนึง (ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อ และผมมาทราบภายหลังจากทางสมาคมกรีฑาฯว่าไม่เคยติดทีมชาติ) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คว่า "555บอลไทยกระจอกแบบนี้พวงมึงยังจะดูอีกหรอ #ขนาดซีเกมส์ยังตกรอบแรก" จนเรื่องยิ่งไปกันใหญ่ มีการแคปภาพไปประจานในโลกออนไลน์ และถูกแจ้งไปยังรร.ที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นต้นสังกัดที่เจ้าตัวทำงานเป็นครูอยู่ เพื่อให้จัดการลงโทษทางวินัยให้เข็ดหลาบ

นักกรีฑาท่านนี้มีการตอบโต้กับคนที่เข้าไปคอมเม้นท์หรืออินบ็อกซ์หา บรรยากาศดุเดือดจนเจ้าตัวต้องตั้งค่าเฟซบุ๊คเป็นไพรเวท นอกจากนั้นยังมีนักกรีฑาเยาวชนหลายๆ คนที่ออกมาแสดงความคิดเห็น ซึ่งก็ยิ่งทำให้เกิดการต่อล้อต่อเถียงขยายความกันเพิ่มขึ้นไปอีก

จากนั้นมีเจ้าหน้าที่บริษัทติดตั้งพื้นหญ้าเทียมที่ได้รับสัมปทานดูแลงานนี้ ออกมาโพสต์ว่าต้องตามไปแก้งานใหม่อีกรอบ กว่าจะทำให้งานเสร็จเรียบร้อยได้ขนาดนี้ต้องใช้เวลาใช้แรงคนงานขนาดไหน นี่ก็เป็นอีกโพสต์ที่ถูกแคปมาเป็นประเด็นโจมตีกลุ่มนักกรีฑาที่ก่อเรื่อง

ด้วยความที่ผมเชื่อว่าทุกเรื่องย่อมมีเหรียญสองด้านเสมอ จึงติดต่อไปที่เพจลุงเฮงเสือกระดาษ จึงได้ทราบว่าภาพดังกล่าวมีลูกเพจส่งมาให้ และได้รับข้อมูลมาเช่นนั้น ตนเองไม่ได้ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด ผมจึงต่อสายไปหา "พี่แฝดใหญ่" พล.ต.ต.สุรพงษ์ อาริยะมงคล เลขาฯสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทยฯ เพื่อฟังความอีกด้าน

กล่าวโดยสรุปคือเรื่องราวที่เพจดังกล่าวบรรยายไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด และขออธิบายเป็นข้อๆ ดังนี้

1.สมาคมกรีฑาฯ มีที่ทำการอยู่ที่ มธ.รังสิต มานานกว่า 20 ปีแล้ว และใช้สนามแห่งนี้ฝึกซ้อมมาตลอด  โดยนักกรีฑาที่เข้าไปซ้อมในช่วงที่มีภาพดราม่าปรากฎนั้นมีทีมชาติอยู่เพียงไม่กี่คน เป็นกลุ่มที่เข้าไปซ้อมปรับพื้นฐาน พวกทีมชาติกลุ่มหลักๆ ไม่ได้มาซ้อมเพราะอยู่ในช่วงถูกปล่อยให้ไปพัก ซึ่งทีมนี้ดูแลโดย ร.ต.อ.วัชระ สอนดี หัวหน้าโค้ช ที่เหลือจะเป็นนักกรีฑาของมธ.รังสิตและมหาวิทยาลัยใกล้เคียง ซึ่งทีมชาติไทยจะแข่งกรีฑาชิงแชมป์เอเชีย 2020 ในเดือนก.พ.นี้ ที่สนามศุภชลาศัย

2.สนามมีการปูหญ้าเทียมเสร็จมาหลายวันแล้ว และไม่ได้มีการตรึงยึดติดกับพื้น ซึ่งที่ผ่านมานักกรีฑาที่เข้าไปซ้อมที่ลู่วิ่งจะดึงออกและเมื่อซ้อมเสร็จก็จะเก็บข้าวของและจัดการทำให้พื้นหญ้าเทียมอยู่ในสภาพเดิมมากที่สุด หรือบางวันที่มีรถขนของเข้าออกไปในสนาม ก็ต้องมีการรื้อพื้นหญ้าเทียมออกและปูคืนกลับเช่นกัน

3.ได้มีการประสานกับเจ้าหน้าที่ สนามมธ.รังสิต ชื่อปอนด์ ว่าสามารถเข้าไปใช้ซ้อมได้ปกติก่อนถึงวันที่ 4 ม.ค. เพราะสนามได้สั่งห้ามไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดแข่งขันฟุตบอลยู-23 เข้าไปในพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 4 - 20 ม.ค. ในช่วงที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งทางสมาคมกรีฑาฯวางแผนไว้แล้วว่าจะย้ายไปซ้อมที่สนามสองที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการสั่งห้ามเข้าใช้ตั้งแต่เดือนธ.ค.อย่างที่ทางเพจระบุ

4.เรื่องการโพสต์ข้อความเชิงดูถูกของนักกรีฑาต่อทีมฟุตบอลทีมชาติไทยนั้น เป็นเรื่องส่วนบุคคล ซึ่งบุคคลดงกล่าวไม่ใช่นักกีฬาทีมชาติ และทาง "พี่แฝดใหญ่" ไม่เห็นด้วยกับทุกๆ คนที่มีการโพสต์ต่อล้อต่อเถียงกันที่เกิดมาจากการไม่ทราบข้อเท็จจริง และไม่อยากออกมาชี้แจงอะไรมากไปกว่านี้ เพราะถ้าทราบข้อเท็จจริงจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง

5.สมาคมฟุตบอลและสมาคมกรีฑาไม่ได้มีปัญหาผิดใจกันจากเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะเหตุที่เกิดขึ้นมาจากผู้เข้าไปใช้สนามหลายๆ กลุ่ม ซึ่งได้ย้ำเตือนกับกลุ่มทีมชาติไปก่อนเกิดเรื่องแล้วว่าให้ระมัดระวังเรื่องความเรียบร้อยในการใช้สนามช่วงดังกล่าว

เอาล่ะได้ฟังความของทางสมาคมกรีฑาแล้ว ผมยังได้ไปสอบถามเจ้าหน้าที่บริษัทที่รับปูพื้นหญ้าเทียมที่มีการโพสต์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวด้วย ซึ่งสุภาพสตรีท่านนี้แจ้งผมว่าเป็นแค่ฝ่ายติดตั้งเท่านั้น จึงไม่สะดวกให้ข้อมูล และเป็นความจริงที่ทางนักวิ่งที่รื้อหญ้าเทียมออกได้เก็บกลับให้แล้วตามภาพที่ปรากฎในภายหลัง แต่ทางบริษัทต้องเข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อยอีกที เพราะในวันที่ 5 ม.ค. นี้ คือเดดไลน์ที่ทางสมาคมฟุตบอลฯต้องส่งมอบสนามให้กับ AFC แล้ว

สำหรับดราม่าครั้งนี้สิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นก็คือ การโพสต์ข้อความของนักกรีฑาท่านหนึ่งที่ดูถูกทีมฟุตบอลทีมชาติไทย และยังไม่ได้ออกมาขอโทษ ซึ่งอาจทำให้เสียภาพลักษณ์ของคนในวงการกรีฑา ที่ถูกคนบางกลุ่มมองเป็นจำเลยสังคม

อีกส่วนที่อาจต้องถูกตำหนิคือฝ่ายประสานงานของทางสนาม มธ.รังสิต ว่าสื่อสารกันอย่างไรกับทุกๆ ฝ่าย คือเข้าใจได้ว่าก่อนถึงวันส่งมอบ AFC การที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปใช้สนามเป็นสิทธิของทาง มธ.รังสิต และหากพบว่ามีการกระทำที่อาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ก็ควรมีการว่ากล่าวตักเตือนหรือขอความร่วมมือให้หนักแน่นกว่านี้

และอีกส่วนหนึ่งที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คือ เพจที่นำเรื่องดังกล่าวมาเผยแพร่โดยยังไม่ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด ผมไม่ได้รู้จักกับเจ้าของเพจ แต่เขาน่าจะรู้จักผมเพราะเห็นเรียกผมว่าพี่แมน เหตุการณ์นี้ถือเป็นบทเรียน และถือว่าโชคดีที่เรื่องจบลงด้วยการทำความเข้าใจและขอโทษกันเป็นการส่วนตัว แต่หากเจอเคสที่เขาไม่ยอมจบง่ายๆ ก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้จนความเดือดร้อนย้อนมาสู่ตัวได้เหมือนกัน

ด้วยความเคารพต่อทุกๆ ท่านที่เกี่ยวข้อง



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด