:::     :::

"ชายผู้จะสวมวิญญาณเดือดของเนวิลล์ลงสู่แอนฟิลด์" Brandon Williams

วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
5,366
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
หนึ่งในตัวความหวังของทีม ที่จะพกความกล้าหาญไม่เกรงกลัวใคร ลงไปลุยกับเหล่าแฟนบอลลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์นั้น คือวิลเลียมส์ เจ้าชายเลือดเดือดผู้นี้

ในที่สุดก็กำลังจะถึงเกมแห่งการรอคอยสำหรับ ศึกวันแดงเดือดระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดของเราแฟนผีกันแล้วในวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2020 นี้ในเวลา 23.30 น.ตามเวลาบ้านเรา ซึ่งศึกแห่งศักดิ์ศรีนี้ตลอดระยะเวลาสิบยี่สิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าแมนยูไนเต็ดจะนำเป็นจ่าฝูงครั้งไหน หรือลิเวอร์พูลอยู่ในลำดับที่เท่าไรก็ตาม แทบจะไม่มีผลอะไรเลยกับการเผชิญหน้ากัน เพราะเมื่อถึงคราวที่เจอกันทีไร เหมือนว่าฟอร์มที่ผ่านมาและอันดับในลีกของทั้งคู่ ทุกอย่างจะถูก Set Zero ตามที่Illslickได้กล่าวเอาไว้ .. กล่าวคือฟอร์มช่วงนั้นแทบจะไม่มีผล ไม่ว่าตอนนั้นแมนยูหรือลิเวอร์พูลจะฟอร์มกากมาตลอดมากน้อยเพียงใด ถึงเวลาเจอกันเมื่อไหร่ก็ตามจะต้องวัดกันหน้างานเท่านั้น

ด้วยสปิริตและความมุ่งมั่นที่เหนือกว่า รวมถึงความพร้อมที่มี สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวแปรที่ทำทีมที่มีมากกว่าได้รับชัยชนะกลับไปเท่านั้น


ในแง่ของความพร้อมและปัจจัยรอบด้านนั้น เขียนในฐานะแฟนผีต้องยอมรับสภาพตามตรงว่า ช่วงนี้ลิเวอร์พูลดีกว่าจริงๆในด้านของทีม ทั้งความแข็งแกร่ง ฟอร์มการเล่น ระบบและแทคติกที่stableแล้วแทบจะไม่ต้องปรับอะไร รวมถึงตัวนักเตะที่พร้อมทุกๆตำแหน่ง ไม่เว้นแม้กระทั่งฝีมือของผู้จัดการทีมชาวเยอรมันอย่างเจอร์เก้น คล็อปป์ก็ตามที ลิเวอร์พูลเป็นต่อทุกขุมทั้งอันดับในตารางและความเป็นทีม ซึ่งน่าทึ่งมากจริงๆอันนี้ยอมรับว่า ลงเล่น21นัด ชนะไปซะ20 ยังไม่แพ้ใครเลยนั้น เป็นสถิติที่น่ายกย่องและต้องกัดฟันยอมรับมากว่า ฤดูกาลนี้ไม่มีใครเอาพวกเขาลงจริงๆ และใกล้เคียงกับการกลับมาลุ้นแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ30ปีในที่สุด

แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากกว่าคือ ทีมเดียวใน19ทีมของพรีเมียร์ลีกที่สร้างรอยแผลเล็กๆให้กับลิเวอร์พูลได้ กลับกลายเป็นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดซะงั้น ที่ขนาดเราฟอร์มกระท่อนกระแท่น แต่กลับเสมอลิเวอร์พูลได้ ในเกมที่หลายคนก็เดาล่วงหน้ากันว่าไม่น่ารอดไปครั้งนึงแล้วที่สนามเหย้าของเรา


ดังนั้นเชื่อว่า แมตช์นี้จะเป็นอีกครั้งที่ ฟอร์มการเล่นที่ผ่านๆมาตลอดระยะเวลานั้นจะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง และลงไปบู๊กันด้วยแผนแทคติก ความมุ่งมั่น และพลังใจในสนามกันล้วนๆ ใครที่ใจสู้มากกว่าก็มีโอกาสที่จะได้รับผลการแข่งขันที่ดีกลับไป

ในศึกแดงเดือดครั้งนี้ผู้เขียนไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย เพราะ"เข้าใจ"ถึงสภาพทีม และรู้ดีว่าเลเวลความห่างชั้นระหว่างเขากับเรามันมีช่องว่างที่เยอะและชัดเจนพอสมควร การจะได้ผลการแข่งขันที่ดีๆจึงอาจจำเป็นต้องอาศัย "luck" บางอย่างของความเป็นแดงเดือดที่ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกันนี้นั้นในการเก็บคะแนนติดไม้ติดมือกลับบ้าน

หนึ่งในluckที่เป็นตัวความหวังที่ว่านั้น สำหรับผมมันคือชายที่ชื่อ Brandon Williams เจ้าหนูวัย19ปีกับอีก4เดือน เด็กท้องถิ่นแมนเชสเตอร์ผู้มาจากทีมเยาวชนของเรานี่เอง


อย่างที่เรารู้กันว่า แบ็คซ้ายเท้าขวาผู้นี้เริ่มออกสตาร์ทลงตัวจริงให้กับทีมอย่างต่อเนื่องเต็มตัวในฤดูกาล2019/20นี้ เรียกได้ว่าแจ้งเกิดแล้วเรียบร้อย ดังในภาพที่เป็นปกบทความที่ในที่สุด เจ้าหนูนี่ก็ได้กลายมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับPumaเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งการันตีได้เลยว่า อย่างน้อยๆหมอนี่กำลังจะกลายเป็นแบ็คที่มีชื่อเสียงอีกคนนึงของวงการฟุตบอลอังกฤษแน่ๆ

เขาจะไม่ใช่ดาวรุ่งที่ถูกดันมาเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ส่องแสงแวบเดียวแล้วหายไปเหมือนดอกไม้ไฟอย่างมาเคด้า แล้วสุดท้ายก็หายไปจากสารบบอย่างแน่นอน ตราบใดที่ผู้จัดการทีมมองเห็นถึงฟอร์มอันเยี่ยมยอดที่แท้จริง และไม่ไบแอสเห็นเขาเป็นแค่แบ็คสำรองของทีมเพียงเท่านั้น


ด้วยสถิติหลายต่อหลายครั้ง แทบจะทุกแมตช์ที่ลงสนาม แบรนดอน วิลเลียมส์ คือหนึ่งในนักเตะที่ได้รับคำชมเชยแทบจะทุกนัด และคะแนนที่ให้เรตติ้งไว้ก็สูงเสมอ เนื่องด้วยฟอร์มการเล่นของน้องที่ทุ่มเท ขยัน บู๊ระห่ำดุดัน และที่สำคัญคือเป็นแบ็คจอมบุกอย่างแท้จริงซึ่งสไตล์แบบนี้เป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลมาก

ประกอบกับเจ้าตัวเองก็มีความตั้งใจมุ่งมั่นดี เขาจึงมีส่วนร่วมกับเกมเยอะและทำผลงานได้ดีเยี่ยม ด้วยวัยเพียงเท่านี้ที่ร่างกายยังสด และพร้อมจะปะทะกับใครหน้าไหนที่มาขวางทางเขา นัดไหนที่น้องได้ลงรับรองต้องมีช็อตฮึดฮัดหาเรื่องจะวางมวยให้เห็นแทบทุกนัด ซึ่งรวมถึงการเข้าบอลหนักที่ทีมเราคนอื่นๆไม่มีให้เห็นเลย เกมรับเราหน่อมแน้มและติ๋มมากๆ ก็มีวิลเลียมส์คนเดียวที่เป็นตัวเข้าปะทะหนักๆประจำทีมเราเพื่อขู่และตัดเกมคู่ต่อสู้ได้เป็นอย่างดี

สมญานาม"เจ้าชายเลือดเดือด"และ"รถถังลาวา"ที่มอบให้นั้น จึงสะท้อนตัวตนความ"เดือด"ของวิลเลียมส์ได้เป็นอย่างดี

จะเอาสักฝุ่นมั้ยล่ะ?

แม้จะยังมีข้อผิดพลาดให้เห็นบางอย่างในสนามบ้าง แต่นั่นก็เป็นerrorที่ยอมรับได้ ด้วยประสบการณ์และความนิ่งที่ยังต้องสั่งสมบ่มเพาะอีกมาก ชั่วโมงบินในสนามที่ยังน้อยอยู่สามารถแก้ไขปรับปรุง และพัฒนาได้ด้วยการค่อยๆสะสมexpไปทีละนิดๆหากมีโอกาสในการลงสนามอย่างต่อเนื่องนั้นเอง

ย้อนกลับไปในตอนต้น อย่างที่เกริ่นเอาไว้แล้วว่า "แดงเดือด" คือศึกแห่งศักดิ์ศรีที่จะต้องใช้ใจและสปิริตเข้าสู้กันโดยตรงระหว่างสองทีม ทั้งนักเตะและแฟนบอลที่พร้อมจะหวดกันแบบเอาเป็นเอาตาย แม้ในยามนี้ที่สภาพทีมแตกต่างกันมาก แต่ถึงเวลาเจอกันจริงก็ต้องหน้างานเท่านั้น ผลของนัดที่แล้วเป็นตัวบ่งบอกอย่างดีว่า ทฤษฎีที่ว่านี้ยังคงเป็นจริงอยู่ ไม่เช่นนั้นยูไนเต็ดน่าจะโดนระเบิดถังขี้คาโอลด์แทรฟฟอร์ดไปตั้งแต่นัดที่แล้ว แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น

ซึ่งคนหนึ่งที่จะเป็นตัวแปรและ"คีย์แมนสำคัญ" ในศึกแดงเดือดครั้งนี้ จะต้องเป็นคนที่มีฟอร์มการเล่นที่ดีเป็นต้นทุนหลัก และสำคัญคือจะต้องมีPassionในการเล่นและความภาคภูมิใจในสโมสรของตัวเองสูง (เพราะมันสำคัญมากๆในเกมแดงเดือด)

ซึ่งทางฝั่งของเราแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คนที่สามารถสัมผัสได้ว่าความมุ่งมั่นเรื่องนี้สูงจริงๆ และจะเป็นตัวแปรสำคัญให้กับทีมเรานั้น ก็คือBrandon Williams นั่นเอง

ความสำคัญที่ว่ามีอะไรบ้าง

1.แบ็คคือตำแหน่งสำคัญที่จะป้องกัน"จุดตาย"ของยูไนเต็ด

การถอยลงมาช่วยเกมรับของปีกจะช่วยให้แบรนดอนสามารถเข้าสกัดได้อิสระไม่ต้องพะวงมากยิ่งขึ้น

เรื่องแรกสุดเลยก็คือ ในภาคของการจัดตัวลงสนาม เป็นที่ค่อนข้างแน่นอนดูจากคำสัมภาษณ์และฟอร์มการเล่น บวกกับแบ็คซ้ายอีกคนอย่าง ลุค ชอว์ ที่มีอาการบาดเจ็บอยู่(อีกแล้ว)และไม่น่าจะลงสนามได้  ดังนั้นค่อนข้างเชื่อว่า Williamsนั้นจะได้รับโอกาสในการลงเล่นตำแหน่ง แบ็คซ้ายตัวจริง ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอย่างแน่นอนในเกมนี้ และภาระหน้าที่ของเขาตำแหน่งต่อตำแหน่งโดยตรง จะต้องเจอกับตัวโหดกราบขวาของลิเวอร์พูลทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็น"บังโม" มุฮัมหมัด เศาะห์ลา (Mo Salah) และรวมถึงแบ็คขวาขาครอสอย่าง TAA เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ด้วย

ลิเวอร์พูลขึ้นชื่ออยู่แล้วในการเล่นบอลไดเร็คต์สู่กองหน้าสามตัวของพวกเขา ดังนั้นภาคของสปีดเกม การวิ่ง และจู่โจมจากริมเส้นต้องมาแน่ๆ หากใครจำกันได้ช่วงท้ายๆที่ลิเวอร์พูลบุกบี้ใส่เราได้มากขึ้นในเกมก่อนนั้น คือการเติมของแบ็คที่ได้น้ำได้เนื้อมากกว่าเดิม ดังนั้นเกมที่จู่โจมจากริมเส้นด้วยบอลยาว มาแน่นอนในวันนี้

วิลเลียมส์และตำแหน่งแบ็ค จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่หากปิดผนึกเกมรุกริมเส้นของลิเวอร์พูลได้ จะเป็นการป้องกัน"จุดตาย"ของทีมเราได้นั่นเอง


เป็นหน้าที่ของแบ็คทั้งสองข้างของเราที่ต้องเจอกับทั้งซาล่าห์และมาเน่ นั่นก็คือ อารอน วานบิสซาก้า และ แบรนดอน วิลเลียมส์นั่นเอง สองนักเตะสำคัญที่รับภาระนี้ไว้ ดังนั้น แบ็คคือคีย์สำคัญมากจริงๆของนัดนี้ที่จะตัดสินว่า แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะเอาชีวิตรอดมาจากแอนฟิลด์ และ แฟนบอลผู้น่ากลัวมากเหล่านั้นได้อย่างไร!

อนึ่งจากข้อนี้ เราจะเห็นได้ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา สามประสานSMFของลิเวอร์พูล เวลามาเจอกับเรานั้นมักจะทำผลงานได้ไม่ค่อยดีมากนัก โดยเฉพาะซาล่าห์กับมาเน่ ดังนั้นเชื่อว่าสูตรเกมป้องกันของเราที่จะใช้ปีกลงมาซ้อนแบ็ค น่าจะสามารถเก็บปีกหงส์ได้ประมาณนึง โดยเฉพาะยิ่งขวามีบิสซาก้ายิ่งไม่ห่วง ส่วนซ้ายแม้วิลเลียมส์จะเจองานหนักแน่ๆ แต่เชื่อว่าความเร็วของน้องน่าจะพอบวกกับนักเตะลิเวอร์พูลได้ เพราะขนาดเจออดาม่า ตราโอเร่ที่วิ่งเร็วจี๋จัดๆ น้องยังเอาอยู่เลย

อย่างน้อยๆอาจจะโดนเจาะบ้างจากการวิ่งสลับตำแหน่งกันของซาล่าห์กับTAA แต่วิลเลียมส์น่าจะใช้สปีดในการตามmarkingประกบตัววิ่งทำช่องของพวกเขาได้ดีทีเดียว

*คนที่น่ากลัวจริงๆของลิเวอร์พูล ผมว่าเป็นตัวสอดอย่างฟีร์มีโน่มากกว่าที่อันตรายมากในการเจาะตรงกลางของเรา

2.การข่มขวัญไร้ผลต่อหน้าเด็กคนนี้

เจ้าเด็กตาขวางคนนี้พร้อมบวกตลอดเวลาจริงๆ

ในกรณีที่สองของความสำคัญในเกมแดงเดือดนี้ของBrandon Williamsนั้น เป็นเรื่องของความฮึกเหิม พลังใจในสนามเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ แน่นอนว่าบรรยากาศในแอนฟิลด์มันจะต้องเต็มไปด้วยเสียงร้องของทีมงานคุณภาพเหล่าแฟนนกแดงเป็นแน่ แต่แม้จะเป็นแบบนั้น เชื่อว่าวิลเลียมส์น่าจะเป็นคนนึงที่กระตุ้นความฮึกเหิมให้กับแฟนบอลและเพื่อนร่วมทีมได้ ผ่านการเล่นที่เข้าปะทะแบบบู๊ล้างผลาญตามสไตล์ของเขา

อย่างที่ทราบๆกัน แมนยูไนเต็ดยุคนี้ขาดผู้นำที่แท้จริง และขาดความดุดันของนักเตะไปมาก มีแต่เหล่าพวกหงอๆติ๋มๆทั้งนั้นที่ไม่มีใครมาในสไตล์ฮาร์ดแมน ที่จะเป็นหัวหอกหน่วยทะลวงฟันในด้านการเข้าเกมหนักใส่คู่ต่อสู้เพื่อเบรคเกมเรียกโมเมนตัมให้กับทีมได้เลยสักคน ซึ่งหลายๆครั้งเวลาที่แมนยูชุดนี้กำลังเสียเปรียบ โดนบุกขย่มกดโมเมนตัมโดยคู่ต่อสู้ ก็จะเป๋ยาวเหมือนดังเช่นครึ่งแรกที่ไร้ทางสู้ตอนเจอแมตช์กับแมนซิตี้นั่นแหละ เละเทะไร้ทิศทางแบบนั้นเลย

หากจะหาใครสักคนที่มีความกล้าหาญ และไร้ซึ่งความเกรงกลัวคู่ต่อสู้ และลุกยืนเผชิญหน้าได้โดยไม่ถอยหนีไปนั้น มันจะต้องเป็นเจ้าหนูจอมหาเรื่องคนนี้อย่างแน่นอน

ใครไม่งัด กูงัด!!

เราเห็นกันแล้วว่า วิธีการเล่น ความตั้งใจ และแววตาของไอ้เด็กคนนี้มันไม่กลัวใครทั้งนั้น ขนาดมันอายุแค่19 แต่พร้อมจะลุยได้กับทุกคนที่เข้ามาแหยมกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ด้วย"คาแรคเตอร์" ที่ชัดเจนในการเล่นแบบดุเดือด ทุ่มเท พร้อมกับด้วยความเร็วความคล่องของเด็กหนุ่มที่กำลัง"สด"สุดๆในตอนนี้ 

ดังนั้นเชื่อได้เลยว่า ต่อให้เจอทีมใครในสถานการณ์แบบไหน มันจะไม่มีทางยุบแน่นอน

และเกมแห่งศักดิ์ศรี ที่จำเป็นต้องใช้หัวใจฟาดฟันกันโดยตรงเช่นนี้แล้วนั้น คนที่จิตใจเข้มแข็งกล้าหาญ และห้าวที่สุด จะต้องกลายเป็น"ความหวังให้กับทีมได้" อย่างแน่นอน

Brandon Williams คือคนๆนั้นที่ผมคาดหวังได้

I can do this all day!!!

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้แล้วนั้น จะสามารถสรุปได้จริงๆว่า เกมนี้การลงสนามของBrandon Williamsนั้น เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญของแมนยูไนเต็ดจริงๆที่จะเพิ่มโอกาสให้เราไปคว้าผลการแข่งขันที่ดีในสนามเหย้าบ้านเขาได้ อย่างที่กล่าวไปทั้งสองกรณีนั่นก็คือ เรื่องของ 1.แบ็คที่จะปิดผนึกเกมริมเส้นลิเวอร์พูล ซึ่งโคตรสำคัญ และ 2.ความห้าวหาญที่จะไม่ถูกข่มขวัญในเกมแดงเดือด ซึ่งวิลเลียมส์มีสิ่งเหล่านี้แน่นอน

การที่ได้เห็นเด็กคนนี้มีPassionความภูมิใจในการเป็นนักเตะของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูเช่นนี้ มันทำให้ผมนึกถึงใครไม่ได้เลยนอกจากอดีตแบ็คขวากัปตันทีมของเราอย่าง Gary Neville นักเตะจากClass of 92' ผู้ซึ่งได้รับสมญานามว่าเป็น "Mr.United" ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า เลือดที่ไหลอยู่ทุกอณูของแกรี่นั้น คือเลือดปีศาจแดงที่"ข้นคลั่ก"ทะลุขีด ซึ่งจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาหยามแมนยูได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ลิเวอร์พูล ที่แกรี่สุดแสนจะเกลียดชังเข้ากระดูกดำนั้นยิ่งยอมไม่ได้

ความห้าวหาญของแกรี่ เนวิลล์ ฝังรากลึกในDNAสโมสร ถูกถ่ายทอดเข้ามาอยู่ในตัวของBrandon Williams อย่างสมบูรณ์แบบ

Mr.United

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ในฐานะเพื่อนซี้อีกคนนึงของแกรี่นั้นก็เพิ่งจะกล่าวเอาไว้ เหมือนอย่างที่บอกบ่อยๆว่าเขาชื่นชมเด็กคนนี้มากๆ เด็กคนนี้ช่วยทำให้เขาสัมผัสได้ถึงจิตใจความมุ่งมั่นในแบบแกรี่ เนวิลล์ที่อยู่ในตัวเขาเสมอ และโอเล่เชื่อว่า เด็กคนนี้จะต้องนำพาจิตวิญญาณนี้ไปฟาดฟันกับลิเวอร์พูลที่สนามแอนฟิลด์ของพวกเขาอย่างแน่นอน

ในฐานะแฟนปีศาจแดงคนนึง เมื่อพิจารณาจากความพร้อมของทีม ณ ตอนนี้ อาจจะยอมรับตรงๆว่า หากเรายังมีMarcus Rashford ในสภาพที่ฟิตสมบูรณ์เต็ม100%อยู่นั้น ผมอาจจะแอบมีความหวังในการมีลุ้น3แต้มบ้างเล็กๆน้อยๆว่ามันยังพอจะเป็นไปได้อยู่บ้าง แม้จะน้อยนิดแต่โอกาสก็ยังมีอยู่ เพราะเรามีตัวความหวังในการทำประตูที่สามารถ"สร้างความแตกต่างให้กับทีมได้" อย่างแรชฟอร์ดอยู่ในทีม

และปัจจัยดังกล่าวที่ว่านั้น จำเป็นต้องประกอบด้วยการที่ "Brandon Williams ต้องได้ลงเล่นแบ็คซ้ายตัวจริง" ให้กับทีมด้วย

นี่คือสิ่งที่ผมคิด ว่าต้องมีสองปัจจัยนี้มันจะทำให้ทีมเราพอมีลุ้นบ้าง

แต่พอมาเผชิญสภาพความเป็นจริงที่ แรชฟอร์ดมีอาการบาดเจ็บ และอาจจะต้องฉีดยาเพื่อฝีืนลงสนามด้วยซ้ำ ในกรณีของแรชนั้น ผู้เขียนไม่สนับสนุนให้ฝืนลงสนามเท่าไหร่ เพราะแม้เกมนี้มันจะเป็นแดงเดือดที่เต็มไปด้วยศักดิ์ศรีก็จริง แต่เอาจริงๆแล้วมันก็แค่อีกหนึ่ง "สามแต้ม" เท่านั้นที่เราลงเล่นกับทีมอื่น จะกลางตาราง ท้ายตาราง มันก็ไม่ต่างกับเกมหนึ่งเกมกับลิเวอร์พูลแต่อย่างใด

การจะฝืนลงแค่เพียงเพราะว่าเป็นศึกศักดิ์ศรี แล้วเจ็บซ้ำใช้แรชไม่ได้ในการล่าสามแต้มนัดอื่นอีกสี่ห้านัดนั้น โคตรจะเป็นอะไรที่ได้ไม่คุ้มเสีย

เพราะต่อให้แพ้นัดนี้ ก็ไม่ได้ถึงขนาดโลกแตกอะไร เพราะการที่ลิเวอร์พูลจะแชมป์หรือไม่แชมป์ มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเราแล้วตอนนี้ที่ไม่สามารถไปเป็นตัวแปรปัจจัยสำคัญในการขัดขวางได้อีกแล้วถ้ายอมรับความจริง และแพ้นัดเดียวเราก็ยังไปแก้มือเอาสามแต้มจากการตบเด็กทีมอื่นๆได้

ในกรณีแรชฟอร์ดที่เป็นตัวความหวังนั้น จึงตกไป และอัตราที่ทีมจะได้ชัยชนะกลับบ้านในเกมนี้ก็ลดเหลือน้อยมากๆจากที่เดิมก็ไม่มีลุ้นอยู่แล้ว เกมนี้พูดได้เลยว่า แทบจะปิดประตูแพ้ไปแล้ว

แต่ความหวังอีกหนึ่งที่ยังอยู่ ก็คือการหยุดเกมบุกของพวกเขาซึ่งเป็นภาระหน้าที่ของวานบิสซาก้า และวิลเลียมส์ในตำแหน่งแบ็คนั่นเองที่จะหยุดการเล่นริมเส้นและบอลยาวจากพวกเขา


หากทั้งคู่ท็อปฟอร์มและปิดผนึกเกมริมเส้นลิเวอร์พูลได้ ผมเชื่อว่าโอกาสที่จะ "ยันเสมอ" ออกจากแอนฟิลด์ ยังคงเหลืออยู่ เพราะเกมแดงเดือดไม่มีอะไรแน่นอน ในขณะที่ลิเวอร์พูลเองก็ไม่กล้าที่จะมาบุ่มบ่ามกับทีมที่ชอบการโดนบุก แล้วค่อยเล่นเค้าท์เตอร์แอทแท็คสวนกลับเร็วอย่างแมนยูไนเต็ดอย่างแน่นอน

เราไม่จำเป็นต้องไปเลี้ยงผ่านเวอร์กิล ฟานไดค์ให้ได้แต่อย่างใด ขอแค่ตั้งเกมรับให้เหนียวแน่นเอาไว้เป็น หากไม่โดนนำเร็วเราจะมีโอกาสบุกสวนกลับได้ตลอดทั้งเกมทันทีที่ลิเวอร์พูลพลาด ซึ่งคีย์ที่ว่าคือเกมรับจากนักเตะแบ็คทั้งสองฝั่งของเรานั่นเอง

และนักเตะที่จะเป็นตัวความหวังของแฟนบอลได้ในการแสดงความกล้าหาญต่อหน้าแฟนบอลลิเวอร์พูลเต็มแอนฟิลด์นั้น มีเพียงแค่คนเดียวที่จะยืนหยัดนำเอาความภาคภูมิใจของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แบกเอาไว้บนบ่า และต่อสู้ด้วยทุกอย่างที่มันมี

Brandon Williams จะสวมวิญญาณเดือดในร่างทรงGary Neville ลงไปฉะพวกสเก๊าเซอร์ให้เละกันไปข้างอย่างแน่นอน

-ศาลาผี-


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด