:::     :::

จากเถ้าถ่านของความพ่ายแพ้ สู่ความมืดทมิฬที่ยิ่งกว่าเดิม

วันอังคารที่ 21 มกราคม 2563 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
4,810
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
การพ่ายแพ้ต่อคู่อริตลอดกาลจนแฟนแมนยูโดนเหยียบจมธรณีก็หนักมากแล้ว แต่ความเลวร้ายที่เราต้องเจอมันยังมีอีกเยอะหลังจากนั้น

ชัยชนะของลิเวอร์พูลนี้แฟนผีหลายๆคนรู้ดีว่า เราเป็นรองทุกประตู ไม่มีลุ้นแม้แต่เสี้ยวเดียวจะบุกไปเอาชนะได้ ดังนั้นสิ่งเดียวที่ยังพอมีความหวังก็คือ การพยายามมายันเสมอให้ได้ก็ถือว่ากำไรแล้ว แพ้ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรหากดูกันตามเนื้อผ้าของคุณภาพทั้งสองทีม

แมนยูไนเต็ดอย่างที่ทราบกัน ตัวหลักของทีมหายกันไปครึ่งทีมแล้วตั้งแต่ป็อกบา แม็คโทมิเนย์ มาจนถึงล่าสุด แรชฟอร์ด ที่ตามข่าวอาจจะต้องเกือบๆปิดเทอมในซีซั่นนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ คือขุมกำลังหลักของทีมที่แบกภาระมาตลอดฤดูกาล และเมื่อทีมที่มีขนาดของทีมเล็กอย่างเหลือเชื่อ ใช้งานเคี่ยวกรำนักเตะเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกนัดโดยไม่มีคนลงมาช่วยเปลี่ยนสลับกันเล่นเพื่อโรเตชั่น ผลที่ออกมาจึงเป็นอย่างที่เห็น

แมตช์นี้จึงเริ่มต้นด้วยความไม่พร้อมในหลายๆด้าน ในการลงไปเจอกับลิเวอร์พูลที่ฟูลทีม+ฟอร์มที่สดพร้อมขยี้ไม่ว่าหน้าไหนบนโลกนี้ คิดเอาเองว่าจะเหลืออะไร .. ก็เป็นอย่างที่เราเห็น ผลการแข่งขันระดับ 2-0 ถือว่าปราณีแล้วด้วยซ้ำเพราะยังมีโอกาสอีกหลายๆครั้งที่น่าโดนยิงอีก ฝั่งแมนยูไนเต็ดเองก็มีจังหวะจะแจ้งแบบที่ไม่ควรพลาดอีกสองเม็ดเต็มๆที่สกอร์ควรจะเป็น 2-2 หรือ 3-2  ก็โยนทิ้งขว้างแบบไม่มีเยื่อใย


1.ภาคของการจัดตัว

ร่างทรงของสูตร 3-5-2 ที่ยูไนเต็ดจัดตัวลงมานั้น ส่วนตัวแล้วถือว่า โซลชาเลือกที่จะจัดตัวได้ดีที่สุด "เท่าที่ทรัพยากรในมือจะมี"แล้ว อย่างที่รู้กันว่า แรชฟอร์ดเพิ่งจะเป็นรายล่าอีกคนที่เจ็บหายไปน่าจะยาวๆ ดังนั้นเซ็ตตัวรุกหลักสามคนอย่าง หมาก แรช แดน จึงอาจจะต้องขยับสับเปลี่ยนกันบ้าง

ซึ่งเรื่องของการจะเลือกใครลงนั้น แดนหน้าเรายังมีเมสัน กรีนวู้ด เป็นอีกตัวเลือกที่ใช้งานได้จริง แต่ต้องพิจารณาดูด้วยว่า เราเลือกที่จะใช้แผนอะไร เน้นด้านไหนในการสู้กับลิเวอร์พูล ซึ่งสูตรการใช้หลังสามตัว เพื่อมาตั้งรับเกมบุกของลิพูนั้น ถูกหยิบมาจะใช้ในวันนี้ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เพื่อความบาลานซ์ของแผนการเล่น หากจะใช้หลังสาม ตัวในแดนหน้าจะถูกลดลงไปหนึ่งตัว ดังนั้นกองหน้า front three ที่แรชฟอร์ดหายไป จึงถูกปรับลงเหลือเป็นสูตรหน้าคู่ โดยยังคงมีAMCเหลืออยู่ในทีมเพื่อเชื่อมต่อเกมรุก

ในการเป็นเกมเยือนที่รู้อยู่แล้วว่าต้องโดนบุกแน่ๆ + ภาวะที่กองหน้าตัวหลักหายไปหนึ่ง การปรับแผนมาใช้ 3-5-2 จึงถือเป็นสูตรที่เมคเซนส์และสมเหตุสมผลของโอเล่ เพราะมันสอดรับกับปริมาณนักเตะตัวหลักที่เหลืออยู่ที่สามารถลงสนามได้พอดี การใช้ลุค ชอว์ ในการยืนเป็นเซ็นเตอร์ด้านข้างถือว่าไม่ฝืนอะไรมากนัก เพราะชอว์เป็นอีกคนที่การเล่นเกมรับแน่นพอใช้ได้ และสามารถหุบมาเล่นกลางได้บ่อยครั้ง ทำให้แบรนดอน วิลเลียมส์ที่เป็นตัวความหวังอีกคนนึง ยังสามารถยึดตำแหน่งวิงแบ็คฝั่งซ้ายได้อยู่


2.ครึ่งแรก

เปิดเกมมาความแตกต่างระหว่างสองทีมเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อแมนยูไนเต็ดโดนลิเวอร์พูลบี้ใส่อย่างหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยรูปเกมที่ต่างชั้นกันมาก เพราะโดนครองเกมฝ่ายเดียวอย่างเห็นได้ชัด และเต็มไปด้วยคุณภาพที่สูงลิบลิ่วอันนี้ต้องยอมรับ ทั้งเกมการpassingบอล จ่ายบอลสั้น เปลี่ยนจังหวะแทงบอลยาวที่ถนัด วิ่งหาที่ว่างและจ่ายบอลให้เพื่อนไปจู่โจม ฯลฯ เรียกว่ามาทุกรูปแบบจริงๆ จนสุดท้ายเพียงไม่นานแค่นาทีที่14 ประตูแรกก็มาแล้วจากลูกโหม่งของเวอร์กิล ฟาน ไดค์ อย่างที่เราเห็นกันที่วิ่งอัดมาจากวงนอกจนตัวประกบอย่างวิลเลียมส์เอาไม่อยู่ และสุดท้ายขึ้นเทคโหม่งเต็มๆโล่งๆแบบที่แมกไกวร์เข้ามาทำอะไรไม่ได้ ขึ้นนำ1-0 อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายๆจังหวะที่ลิเวอร์พูลก็น่าจะได้ประตู จากทั้งมาเน่และฟีร์มิโน่ รวมถึงเจ้าดุมอีกตัว ทั้งหมดยัดบอลเข้าตาข่ายทีมเราไปอีกสองครั้งแต่ยังดีที่ระบบแสดงให้เห็นว่าฟาล์วโกลและล้ำหน้า แต่นั่นแสดงให้เห็นว่า ลิเวอร์พูลพร้อมที่จะหาจังหวะสวยๆเข้าทำเราได้ถึงพื้นที่อันตรายมากมายนับครั้งไม่ถ้วน เหลือแค่มันลงล็อคตรงกรอบเท่านั้นก็แทบจะได้ประตูเพิ่มกันอีกตั้งหลายครั้ง

กลับกัน ถามว่าทางแมนยูมีอะไรบ้าง?

ยูไนเต็ดเองใช่ว่าจะไม่มีโอกาส ชิงบอลมาได้หลายครั้งหลายครามากๆที่มีโอกาสสวนกลับในเกมเค้าท์เตอร์แอทแท็คที่ถนัด แต่ระบบการเล่นสวนกลับของแมนยูนั้น "ไร้ประสิทธิภาพ" ทุกอย่างไม่มีความชัวร์เลยแม้แต่นิดเดียว สุดท้ายบอลที่อุตส่าห์ตัดมาจากภาคเกมรับได้ก็ไปแทบไม่ถึงกองหน้า ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้หาจังหวะคิดจะสับไกด้วยซ้ำ บอลก็ตายตั้งแต่กลางสนามแล้ว

สามตัวหน้าที่มีอย่าง หมาก แดนเจมส์ เปเรร่า ทำเกมรุกกันได้ห่วยมากไม่มีความแน่นอนในการเล่นเลย พลาดกันหมดทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อันเดรส เปเรร่า ที่"แจก"บอลกลับให้ลิเวอร์พูลซ้ำแล้วซ้ำเล่าแทบๆจะไม่ต่างกับลินการ์ดเลย ยูไนเต็ดจึงไม่มีอะไรไปบุกคืนได้ จนกระทั่งท้ายๆครึ่งแรกที่ดูเหมือนจะดีขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อลิเวอร์พูลที่บุกกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์จัดๆ แต่ยิงแมนยูเพิ่มไม่ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เมื่อพอลิพูนำ2-0ไม่ได้ มันจึงกลายเป็นความหวังของคนดูอย่างผมที่คิดว่า ก็ยังพอมีลุ้นได้อยู่นะในครึ่งหลัง

ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

ปลายครั้งแรกเรามีจังหวะสวนกลับมาจนเกือบทำประตูได้ ในจังหวะที่มาร์กซิยาลลองยิง เป็นโอกาสได้ยิงครั้งแรกของแมนยูในนาทีที่40 .. ใช่แล้วฟังไม่ผิด โอกาสครั้งแรกมาในนาที40 คิดเอาเองว่ามันoutclassขนาดไหน แต่จังหวะถัดมาควรจะได้มากๆจากลูกที่บิสซาก้าที่หลุดขวาไปแล้วตบเข้ากลาง เปเรร่าที่อยู่ตรงกลางเข้าชาร์จไม่ทัน ถ้าเรามีstrikerขนานแท้อยู่ในทีม รับรองว่าไม่น่าจะพลาดลูกยิงจังหวะนี้

จบครึ่งแรก1-0 แบบยังมีหวัง


3.ครึ่งหลัง

นั่งดูไฮไลท์หน้าจอทีวี ลิพูบุกมาใส่เราแทบจะ "ทุกนาที" ที่ไฮไลท์ตัดมาเลย คือนาที46มาละ อีกช็อตนึง47 สักพักช็อตต่อมา นาที48 ..

โอ้โห พวกพี่มากันยังกะช่องสาม  คุ้มค่าทุกนาทีจริงๆ!!!!

สามจังหวะที่ควรจะขึ้นเป็น3-0 / 4-0 เหนือกว่าทุกด้าน และบุกใส่แบบไม่พัก แต่ก็ยังบวกสกอร์เพิ่มไม่ได้ ซึ่งหลังจากนั้นแหละพอโอกาสเหนาะๆแล้วทำไม่ได้ จึงเริ่มกลับกลายเป็นฝั่งของแมนยูไนเต็ดได้บุกกลับบ้างตั้งแต่ราวๆเกือบนาที60 แมนยูไนเต็ดเริ่มบุกคืนบ้างหลายๆครั้งได้จากความยอดเยี่ยมของเฟร็ดที่ต้องปั้นเกมเอง สุดท้ายต้องหาจังหวะจบสกอร์เองเพราะคนอื่นๆไม่มีโอกาสจะได้ยิงเลย

จนกระทั่งมาถึงช็อตสำคัญที่เป็นตัวพลิกโฉมหน้าทั้งหมด เมื่อแมนยูไนเต็ดเผชิญกับสภาวะ"จอยค้าง"อีกครั้ง ซึ่งก็เป็นจอยอันเดิมที่ "แบรนดอน วิลเลียมส์" เคยปุ่มสี่เหลี่ยมค้างแล้วยิงบอลไปถึงจักรวาลอันไกลโพ้นนั่นแหละ เหมือนกันเป๊ะๆ..

อันนี้มุก แต่ที่จริงคือเป็นความผิดพลาดในระดับที่ยอมรับไม่ได้ของอ็องโตนี่ มาร์กซิยาล

ในสภาวะที่ทีมจำเป็นต้องได้ประตู แต่พลาดแบบไม่น่าให้อภัยได้ ต้องชื่นชมการบีบจากเกมรับของลิเวอร์พูลด้วย แต่นักฟุตบอลชั้นนำจริงหรือไม่ ก็มักจะตัดสินกันจากจังหวะชี้เป็นชี้ตายแบบนี้แหละที่ "ของจริง" จะไม่พลาดบ่อยๆแบบนี้ ซึ่งน่าผิดหวังมากจริงๆสำหรับฟอร์มของมาร์กซิยาลที่เล่นเหมือนมนุษย์ล่องหน มีจังหวะยิงน้อยนิดเหลือเกินแถมไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับเกม

เกมจึงเป็นแมนยูไนเต็ดที่ได้โมเมนตัมฮึกเหิมที่ลิพูขึ้นนำ2เม็ดไม่ได้ และยังมีโอกาสบุกคืนจนบุกได้อย่างน่ากลัวในช่วงท้ายครึ่งหลังอย่างที่เห็น ก่อนจะโดนสวนหาย ปิดกล่อง2-0 ไปเรียบร้อยโรงเรียนลิง แต่ลักษณะของรูปเกมที่เกิดขึ้นก็คล้ายๆครึ่งแรกมากในด้านของโฉมหน้าเกมที่เกิดขึ้น


4.บุกถล่มข้างเดียว หรือลิเวอร์พูลผ่อนเกม

ก่อนอื่นเลยต้องชื่นชมหัวจิตหัวใจนักสู้ที่แม้จะเป็นรอง แบกหัวใจลงไปเล่นในสนามอย่างแท้จริง แม้สภาพการเล่นของทีมจะสู้ไม่ได้ แต่ก็ยังพยายามจนมีโอกาสไปยิงคืนได้หลายครั้ง

ในช่วงท้ายๆของครึ่งหลัง โดยเฉพาะช่วงไล่บี้หนักๆคือตั้งแต่เปลี่ยนเอาเมสัน กับ มาต้าลงไปในสนาม เพียงแค่ไม่กี่นาทีของมาต้าที่ได้ลงไปนั้น  ดูดีมีประโยชน์กว่า74นาทีของเปเรร่าอย่างชัดเจน การปรับมาใช้แบ็คโฟร์ แล้วมี3ฟร้อนท์คือ หมากเจมส์เมโดยมีมาต้าเป็นคอนดักเตอร์ด้านหลัง ก็ยิ่งเพิ่มพลังกดดันให้ลิเวอร์พูลต้องเน้นเกมรับกันให้มากขึ้นเพราะว่านำอยู่แค่ลูกเดียว งานถอยหลังรับลึกจึงเกิดขึ้น

คำถามคือ สรุปแล้วมันเป็นยังไงกันแน่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงท้าย?


หากมองอย่างยุติธรรมแล้วนั้น ลิเวอร์พูลเองถูกบุกมากๆก็มียุบบ้างอะไรบ้าง แต่ที่จริงแล้วคือเรื่องของ"แทคติก"ด้วยส่วนหนึ่งที่เห็นกันจะจะ จากประตู2-0 นั่นแหละที่ลิพูลงไปรับต่ำกันอย่างเหนียวแน่น เพื่อล่อให้แมนยูไนเต็ด "ดันขึ้นสูงจนหมดหน้าตัก" เพื่อที่จะเอาประตูคืนให้ได้ จากการที่เราเห็นกันว่า แม้กระทั่งเดเคอายังจะขึ้นมาเอาประตูกับเขาด้วย มาต้าที่ยืนด้านหลังก็แทบจะไปอยู่หน้าอลิซงอยู่แล้ว

แต่เมื่อยูไนเต็ดพลาดเสียบอลนั้น เบ็คเกอร์ก็ไม่พลาดที่จะเล่นอย่างสุดยอดด้วยการที่สายตาดี และมองหาเพื่อนที่กางมุ้งรอเล่นเกมสวนกลับอยู่แล้วอย่างโมซาล่าห์ รอสตาร์ทอยู่ที่จุดเริ่มต้น และทันทีที่โกลพี่หมีแกขว้างบอลยาวมา บังโมที่ยืนอยู่ในแดนตัวเองและไม่ล้ำหน้านั้น ก็ลากโซโล่เดี่ยวมาซัดประตูในที่สุด (ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่า เจมส์ทำไมไม่ตัดฟาล์วเร็ว แต่ผมว่าแบบนี้ดีสุดแล้ว เพราะยังไงก็แพ้เหมือนกัน 1-0/2-0 แต่หากเจมส์ไปตัดฟาล์ว และเสียใบแดง ทีมจะเสียหายมากกว่านี้อีกจากการโดนแบนเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นหากจะบอกอย่างยุติธรรมจริงๆ มันคือโมเมนตัมบุกกดเพื่อทวงคืนของแมนยูไนเต็ด50% และลิเวอร์พูลที่ถอยต่ำเพื่อดึงแมนยูลอยสูงนั้น ก็เป็นเรื่องของทางแทคติกดีๆจากคล็อปป์ซะ50% เช่นกัน


5.ข้อผิดพลาดของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา

สิ่งที่โอเล่ยังคงความย่ำแย่อยู่เหมือนเดิมไม่แปลกใจอะไร นั่นก็คือเรื่องของความสามารถในด้านการแก้เกมที่แย่มากๆ กว่าที่จะรู้ว่าควรทำอะไร เวลาก็ล่วงเลยไปจนจะท้ายครึ่งหลังอยู่แล้ว หรือแกคิดว่า สิ่งที่เรียกว่าเฟอร์กี้ไทม์มันยังอยู่ กับการไล่บดลืมโลก10นาทีสุดท้ายจนยิงท้ายเกมได้แบบหล่อๆ ..

สิ่งเหล่านั้นมันไม่มีอยู่ในทีมนักเตะชุดนี้แล้วครับน้า!

5.1แก้เกมช้า

เห็นกันแล้วว่า ครึ่งแรกยูไนเต็ดถูกบดขยี้เพียงใดจนเกือบๆจะเสีย2-3ลูกอยู่แล้ว มีช่วงท้ายครึ่งที่พอจะบุกคืนมายิงได้บ้าง นั่นอาจจะทำให้โอเล่ชะล่าใจว่าเรายังมีหวัง แต่เมื่อกลับมาต้นครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลก็ปูพรมบอมป์ใส่แบบกะไม่ให้ได้ผุดได้เกิด จนกระทั่งเกือบๆจะนาที60ถึงค่อยโงหัวขึ้นมาได้บ้างนั้น

เราไม่รู้ว่าโอเล่ ไปมองเห็นทุ่งลาเวนเดอร์อะไรมาอีกว่า "นาที60ยังไม่ต้องทำอะไรก็ได้มั้งเหลืออีกตั้งนาน?"

ทั้งๆที่จริงๆ คุณน้ามึงต้องรีบขัดตาทัพโมเมนตัมของลิเวอร์พูลตั้งแต่นาที50กว่าๆแล้วว้อย! เพราะรูปแบบเกมมันไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมาเลยแถมยังจะเสียประตูสองอีก แทนที่จะได้ยื้อไว้เกมยาว90นาที แต่จะตายตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง โอเล่และแมนยูแค่โชคดีที่ยังไม่โดนเม็ดสองแค่นั้นเอง เพราะโอกาส3ดอกเหนาะๆที่ลิพูทำได้นั้น ควรจะส่งสัญญาณเตือนอะไรได้แล้ว

กว่าจะคิดได้ว่า ต้องเอาลูกรักที่ทำอะไรไม่ได้เลยมา70กว่านาทีออก แล้วส่งAMCที่ฟอร์มดีที่สุดในทีมอย่างมาต้าลงมานั้น ก็ปาเข้าไปนาที74 นั่นแปลว่าเหลือเวลาให้นักเตะเหล่านี้ได้ช่วยทีมแค่15นาทีเท่านั้นเอง

ถามจริงว่า คาดหวังอะไรจากนักเตะพวกนี้ในเวลาที่ให้มันเพียงแค่นี้


5.2ลูกรักคงยังไม่พอ

(โปรดอ่านเป็นเพลงของพี่เสือ) หมายความว่า ลูกรัก คงจะยังไม่พอใจกับการได้ลงเล่นอย่างเต็มอิ่ม น้าก็เลยไม่ยอมถอดออก จนกว่าจะท้ายเกม ในรายของอันเดรส เปเรร่า ที่ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ฟอร์มผีเข้าผีออก แต่ส่วนใหญ่จะผีออกมากกว่า เสียบอลง่ายๆแทบทั้งเกมจนเราต้องกลับเป็นฝ่ายรับอยู่เสมอตลอด และยังไม่สามารถสร้างสรรค์อะไรดีๆให้เกมรุกเราได้ พลาดจังหวะสำคัญๆอีกตะหาก

แต่คนแบบนี้ก็ยังได้อยู่จนนาที74

กลับกับ มาต้าเล่นดี แต่ต้องมาจุมปุ๊กอยู่ม้านั่งสำรอง และได้ลงไปแปปเดียว แต่การเล่นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นว่านัดนี้ นอกจากเฟร็ดเดอะแบกเบอร์สองของทีมแล้วนั้น ยังกลายเป็นสองผู้เฒ่าอย่าง มาต้า กับ มาติชซะยังงั้น ที่ช่วงนี้แบกทีมกันรัวๆกว่านักเตะคนอื่นในสนาม

แต่ยัง แค่การเก็บเปเรร่าไว้ยาวๆยังไม่สะใจพอ น้าแกยังถอดเอา แบรนดอน วิลเลียมส์ ที่ฟอร์มดีในตำแหน่งแบ็คซ้ายออก แล้วเลือกที่จะเอาลุค ชอว์ ไว้ใช้งานแทนในตำแหน่งLB ซึ่งสังหรณ์ใจอยู่แล้วว่า ถ้าชอว์หายเจ็บกลับมา สงสัยจะมาแย่งตำแหน่งสำคัญกลับไปอีกแน่แท้  งานนี้โชคดีว่าเราใช้หลังสาม วิลเลียมส์จึงมีโอกาสลงบ้าง แต่สุดท้ายก็โดนเปลี่ยนออกก่อนทั้งที่ชอว์ควรโดนถอดมากกว่า

แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ชอว์ตะคริวแดก สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ ผ่าม!!!!!

และก็กลายเป็นดาโลต์ที่ต้องลงมาเล่นแทนในภาวะที่เราต้องการประตู ซึ่งก็ไม่ได้หวังอะไรได้เท่าไรนัก

สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นเช่นนี้อย่างที่เห็น แพ้เพราะความไร้ฝีมือแก้เกมของผู้จัดการทีมไร้กึ๋นเหมือนเดิม


5.3 จุดอ่อนที่ไม่เคยคิดจะแก้

แมนยูไนเต็ดต้องเสียประตูจากการโดนลูกเตะมุมมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ในการรับมือการจู่โจมของคู่ต่อสู้ที่"โถมมาใส่"แนวรับตัวกระเปี๊ยกของยูไนเต็ด ในขณะที่ตัวใหญ่ๆในทีมก็มีแมกไกวร์แค่คนเดียวจริงๆที่เล่นลูกกลางอากาศได้ดี หรืออาจจะมีมาติชอีกคน แต่นอกนั้นที่เหลือคือ "บ่อ" ล้วนๆทั้ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้รักษาประตูก็บ่อเช่นกันกับการเจอลูกกลางอากาศ ที่ดูดีๆมีแค่แมกกับมาติชแค่นั้นนอกนั้นเฟลหมด

นอกจากเรื่องของความสามารถและปัจจัยทางกายภาพของนักเตะแล้วนั้น อีกสิ่งหนึ่งนั่นก็คือแทคติกในการรับมือกับลูกกลางอากาศที่พวกเขามักจะใช้การยืนโซน ในการป้องกันคู่ต่อสู้เสมอ

แทนที่จะเอาตัวพอฟัดพอเหวี่ยงไปมาร์คแมนตัวอันตราย แต่กลับส่ง "ลูกหมาตัวเล็กๆ" ในทีม ไม่ว่าจะเป็นใคร ไปตามติดตัวสำคัญ ซึ่งก็มักจะถูกเอาชนะได้อย่างง่ายดาย

ไม่มีการพัฒนา ไม่มีการรับรู้บทเรียนที่เคยผิดพลาด แต่ยังคงทำพลาดเหมือนเดิมๆ นี่ก็อีกครั้งที่เอาตัวเล็กนิดเดียวอย่างBWไปไล่ตามVVD ซึ่งตัวยังกะยักษ์ และผลที่เกิดขึ้นก็คือความผิดพลาดของผู้จัดการทีมล้วนๆ ไม่ใช่ความผิดของวิลเลียมส์ ไม่ใช่ความผิดของแมกไกวร์ที่เข้ามาช่วยไม่ทันและโดนสกรีนอยู่ ความผิดของโอเล่เต็มๆในประตูของฟานไดค์ และอีกหลายๆครั้งที่โดนลูกกลางอากาศเล่นงานจนเสียประตู

โอเล่ล้วนๆที่ไม่รู้จักจำ


6.คะแนนนักเตะ

De Gea 7.2 จังหวะการยืดไปเซฟลูกยิงการเดี่ยวของมาเน่ เบอร์หนึ่งทวีปแอฟริกาด้วยการใช้ขาเซฟนั้น ต้องมอบความยอดเยี่ยมให้กับน้องเดจังหวะนี้ที่ "ยืนตำแหน่ง" เอาไว้ดีมากๆที่โคฟมุมได้ดี ทั้งเสาไกลเสาใกล้จนในที่สุดมันก็ติดขาของเขาทัน ช็อตนี้คือเซฟดีมากจนทำให้เรามีลุ้นจนถึงท้ายเกม

นอกจากนี้การอ่าน กะระยะในหลายๆลูกก็ทำได้ดี โดยเฉพาะจังหวะที่ลิพูยิงเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาหน้าปากประตูบ่อยครั้งนั้นเดเคอาก็วัดระยะและปล่อยออกไปได้อย่างแม่นยำ จังหวะออกมาตัดบอลนอกกรอบก็มี

เรียกง่ายๆว่างานชุกมากๆ

แต่สิ่งที่ผมต้องจำใจตัดคะแนน นั่นก็คือจังหวะที่ขึ้นแย่งกับVVDนั่นเอง โอเคว่าVARตัดสินชัดเจนแล้วว่ามันฟาล์ว ข้อนี้เคลียร์แต่เดเคอาควรจะทำได้ดีกว่านี้ในจังหวะการขึ้นไปแย่งปัดบอล หลายต่อหลายครั้งเราเห็นเดเคอาพลาดรูปแบบนี้อยู่บ่อยๆ เพราะการเล่นลูกกลางอากาศของเขาห่วยมาก พร้อมที่จะโดนเบียด แย่ง ชิงจังหวะได้ทุกรอบ

จึงตัดคะแนนการเซฟของเดเคอา ไปจากช็อตนี้ซะ แม้จะไม่เสียประตูเพราะภาพช้าช่วย แต่เดเคอาควรทำได้ดีกว่านี้

Shaw 6.5 ในตำแหน่งของการเล่นCBด้านข้างในระบบหลัง3 ผมถือว่า ชอว์สอบผ่าน และสามารถเล่นมิตินี้แทนมาร์กอส โรโฮ ที่หมดอนาคตในทีมไปแล้วได้อย่างดีเพราะมีความสามารถด้านเกมรับที่แน่นอนอยู่ในตัว ช็อตยกบอลกลับหลังวันนี้ทำได้เนียนและสวยงามมากๆ และยังมีมิติของการพาบอลขึ้นหน้าได้เองด้วย เพราะยังไงเสีย เขาก็เป็นแบ็คอยู่ดี ไม่ใช่เซ็นเตอร์ ชอว์ในส่วนของฟอร์มการเล่น หากมองด้วยใจเป็นกลาง ส่วนตัวผมให้ผ่าน แม้จะไม่ชอบที่เขาได้โอกาสยึดแบ็คซ้ายจากBWก็ตาม แต่การเล่นเกมรับถือว่าโอเค

Lindelof 6.6 แม้จะดูไม่โดดเด่นอะไรเท่าคู่หู แต่ผมชอบสปีดของลินเดอเลิฟที่มีอยู่ในตัว และมักจะสปีดตามลงมาปิดมุมได้แทบทุกครั้งที่ลิเวอร์พูลเจาะด้านข้างจนเละเทะได้ เขาเองก็ได้แต่โวยเพื่อนอย่างเดียวว่าทำไมปล่อยหลุดมาแบบนี้ จากกองกลาง และแบ็คที่เผลอลอยขึ้นสูง

Maguire 7.5 เมื่อวานเป็นอีกวันนึงเลยที่ประทับใจฟอร์มการเล่นของแมกไกวร์มากทั้งเกมการป้องกันภาคพื้นดิน ทางอากาศ เล่นได้ดีทีเดียวจากที่เห็น ช็อตที่ได้ใจที่สุดคือการไปโวยวายจะเอาเรื่องผู้ตัดสินเคร็ก พอว์สัน ที่ตัดสินมั่วซั่วตลอดทั้งเกม จังหวะก้ำกึ่ง50-50ของแมนยูพี่แกเป่าหมด จังหวะ50-50ของลิเวอร์พูล พี่แกก็ปล่อยหมดเหมือนกัน! เท่านั้นยังไม่พอ จังหวะโถมกดดันเดเคอาก็ไม่ควรจะปล่อยให้เกมไหลแบบนั้น พี่แกก็ปล่อยไหลจนเขายิงประตูเข้าไปเฉยทั้งที่แมนยูไนเต็ดเสียประโยชน์ชัดเจน

ถ้าจะช่วยกันขนาดนั้นก็ชูถ้วยไปเลยเฮอะ

ยังไม่หนำใจ แจกใบเหลืองให้เดเคอาที่เข้าไปประท้วงความไม่ยุติธรรมด้วย มันเยี่ยมไปเลยอีหนู

นี่จึงถือเป็นอีกประเด็นWTFมาก แต่ในสภาวะเช่นนั้นเมื่อโดนพิษกรรมการเล่นงาน แฮรี่ แมกไกวร์ โชว์"ภาวะผู้นำ" ให้ได้เห็นกันจะจะด้วยการเข้าไปจะแดกหัวของเคร็ก พอว์สันให้ได้เห็น โดยกันให้เพื่อนๆออกไป แล้วพี่แกเข้าไปบวกใส่กรรมการเอง

ได้ใจมากจริงๆแฮรี่ แมกไกวร์เมื่อวาน


Williams 6.5 เมื่อวานวิลเลียมส์ฟอร์มอาจจะไม่เด่นชัดมากสักเท่าไหร่ แต่สำหรับการได้ลงเล่นเกมแดงเดือดเต็มๆในฐานะตัวจริงครั้งแรก ก็ต้องลงที่แอนฟิลด์เลย เจ้าชายเลือดเดือดที่วันนี้ไม่เดือดสักเท่าไหร่เพราะแก๊สคงหมดพอดี(โทรเรียกแพพ) แต่วิลเลียมส์ก็สามารถลงไปทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ไม่ได้สร้างความผิดพลาดอะไรใหญ่หลวงมากนัก อาจจะมีแค่บางช็อตที่ยังด้อยประสบการณ์อยู่จนโดนรุ่นพี่อย่างเฟร็ดมองถมึงเพราะว่าทุ่มออกบอลไม่ได้ แต่โดยรวมก็ไม่ได้แย่อะไรเลย มีช็อตพลิกบอลดีๆเหมือนเดิมให้ได้เห็น

เสียดายว่าโดนเปลี่ยนตัวออกไปก่อน ทั้งๆที่ควรจะได้อยู่ต่อในสนามเพื่อช่วยเกมรุก คิดดูเล่นๆว่า หากช่วงบุกกดตอนท้าย มีBWร่วมอยู่ในเกมรุกด้วย อาจจะได้ลุ้นกว่านี้

Wan-Bissaka 7 บิสซาก้ายังคงรักษาความคงเส้นคงวาได้เป็นอย่างดีมากๆ แถมรวมถึงมีช็อตที่พี่แกควรจะได้แอสซิสต์ไปแล้วเพราะทะลึ่งพรวดเติมสูงทางขวาจุดหลุดแนวรับหมดก่อนจะคัทแบ็คเข้ากลาง กลายเป็นเพื่อนที่ไม่มีความเร็วพอจะเข้าชาร์จทันได้ไม่งั้นสนุกกว่านี้แน่ โดยรวมแล้วบิสซาก้าก็ยังคงเป็นบิสซาก้าที่เข้าแทคเกิลจังหวะเทพๆให้เห็นอยู่ตลอดแบบที่นั่งดูกันจนชินแล้วว่า ทำไมมันอ่านจังหวะเข้าแม่นจังวะ?


Matic 7.9 หลายคนอาจจะแปลกใจ เฮ้ย ให้คะแนนผิดรึเปล่า ดูคู่เดียวกันรึเปล่าวะ (ฮา) ไม่ผิดครับ และให้ถูกแล้วด้วยจากมุมมองของผู้เขียนเอง มาติชที่เรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้หลายนัดระยะหลังแล้วนับตั้งแต่เล่นแทนแม็คโทมิเนย์ เขาลงมายืนกลางคู่ ด้วยroleที่เป็นตัวโฮลดิ้งแนวลึกให้กับทีม สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อมาติชที่สภาพร่างกายสมบูรณ์ และได้กลับมาเล่นตำแหน่งคุ้นเคยที่ถนัด ปรากฎว่าเฮียแกเอาอยู่แฮะ

แทบจะให้แมนออฟเดอะแมตช์ได้เลยอีกคนด้วยซ้ำ มาติชบังบอลเก็บบอลได้ดีมากๆ เซนส์การออกบอลในการ แก้&แกะ"เกเก้นเพรสซิ่ง"ได้อย่างสุดเนียนหลายครั้งตลอดทั้งเกม แถมยังมีมิติการวางบอลยาวไปให้แดนหน้าอีก

สมบูรณ์แบบที่สุดในปีนี้ ประทับใจมาก ปิดทองหลังพระสุดๆ

Fred 8.1 นี่คือฟอร์มของคนที่แบกทีมและเป็นหัวใจสำคัญในแดนกลางฤดูกาลนี้อย่างแท้จริง เมื่อได้ลงบ่อยๆ เฟร็ดแสดงให้เห็นแล้วว่า เขาคือกองกลางตัวจริงของทีมอย่างแน่นอน กับฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นแบกทีมเอาไว้ ทั้งการครองบอล คุมเกม เป็นหอบังคับการจ่ายบอล ตั้งเกมบุก และแม้กระทั่งลากไปยิงเอง เพราะคนอื่นไม่มีจังหวะเลย

เอาแมนออฟเดอะแมตช์ของทางฝั่งแมนยูไปเลยสำหรับเฟร็ด ดีมากๆ ทั้งรุกทั้งรับ ทำทุกอย่างเพื่อทีมจริงๆ

Pereira — 0 ใช่แล้วครับเห็นไม่ผิด 0 คะแนน แม้จะมีจังหวะลากไปยิงไกลได้บ้าง แต่โดยรวมเมื่อหักลบความดีความชั่วแล้ว ขอไม่ให้คะแนนเปเรร่าเลยแล้วกันในเรื่องของฟอร์มการเล่นของเจ้าตัว

คือการที่เขาเล่นได้แค่นี้ มันไม่ผิดหรอก แต่คนที่ส่งเขาลงไปสนาม แล้วไม่ยอมเปลี่ยนตัวออกทั้งๆที่กากขนาดนั้นยันนาที74 นั่นแหละคือตัวการที่แท้จริง แต่ส่วนหนึ่งนั้นเราก็ต้องยอมรับว่า เขาลงไปแล้วก็เล่นได้ย่ำแย่เองเหมือนกัน ทั้งการที่ไม่สามารถเก็บบอลอยู่ได้เลยเวลาครองบอลบุกสวนกลับ ทั้งๆที่เขาต้องเป็นตัวสตาร์ทเริ่มต้นเกมรุกด้วยซ้ำ ยังไม่ทันได้ปั้นเกมดีๆก็เสียบอลให้คู่ต่อสู้อย่างง่ายดายนับครั้งไม่ถ้วน แมนยูไนเต็ดจึงไม่มีโอกาสได้บุกได้ยิงบ้างเลยในช่วงต้นๆเพราะการแจกของเปเรร่านี่แหละ ยังไม่รวมจังหวะชาร์จระยะใกล้ๆที่น่าผิดหวังมากอีก

James — 6.5 แดนเจมส์ก็เงียบเหมือนกัน ในการเอาไปยืนเป็นหน้าคู่ โอเล่หวังว่าจะใช้ความเร็วในการสวนกลับ ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร แต่ชาวบ้านเค้ารู้แกวแผนเดียว หน้าเดียวแบบนี้ของแมนยูแล้ว เอาง่ายๆทุกคนที่ดูบอลบนโลกนี้ก็รู้กันหมดแล้วว่าแมนยูมีมุกอะไรบ้าง ตอนท้ายที่ระบบกลับมาเป็น 4-2-3-1 เจมส์ได้ถูกเอาไปยืนในตำแหน่งปีกซ้ายนั้น เห็นชัดเจนว่าเขามีประโยชน์และเล่นได้น่ากลัวมากกว่าเดิมเยอะ

ซึ่งในการแก้ปัญหาของการขาดแรชฟอร์ดอีกหลายเดือนนั้น การจับแดนเจมส์ มายืนLWถือว่าน่าลอง

Martial — 5 ไม่น่าแปลกใจอะไรที่คะแนนเท่านี้สำหรับมาร์กซิยาล ที่ควรจะทำตัวให้สมกับความคาดหวังมากกว่านี้ แต่ก็ยังเหมือนเดิม ฟอร์มยังคงหายไปจากเกมตลอด ส่วนร่วมไม่ค่อยมี พอถึงจังหวะที่มีก็กลับไม่ได้ทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันให้กับทีมมากนัก ซึ่งน่าผิดหวังมากหากเทียบสกิลเพลย์ที่เจ้าตัวมี ทั้งการลากเลื้อยปั้นเกม ความเร็ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการยิงประตู

ช็อตที่หลุดเดี่ยวเข้าไปจากการเคาะของเปเรร่าแล้วดันจอยค้าง สี่เหลี่ยมเต็มหลอดจนบอลพุ่งไปอยู่อีกที่นึงสักแห่งในอวกาศ ใกล้ๆกับลูกยิงของวิลเลียมส์อาทิตย์ก่อนนู้นเลย(ฮา) จังหวะแบบนี้ ไม่ควรจะพลาดแล้ว

สอบตก

สำรอง : Dalot — N/A Mason — N/A

Mata — 6.5 หากเขาได้ลงมาแต่แรก ฟอร์มทีมไม่น่าจะย่ำแย่ถึงขนาดนี้ที่ไม่สามารถบุกอะไรได้เลย แม้มาต้าจะเอาตัวเข้ามาเ อย่างน้อย "หากโอเล่เชื่อใจส่งมาต้าที่กำลังฟอร์มดีลง"  ผมว่าเราจะปั้นเกมบุกสวนกลับได้มีน้ำมีเนื้อมากกว่านี้ในครึ่งแรกบ้าง ไม่ใช่นาที40แล้วเพิ่งได้โอกาสยิงครั้งแรก น่าเศร้าใจเกินไปว่า เรากระจอกขนาดนั้นเลยเหรอวะ


7.เถ้าถ่านที่ถูกเผามอดไหม้ จะยิ่งดำทมิฬยิ่งกว่าเดิมหลังจากนี้

จากทั้งหมดทั้งมวลที่เขียนมานี้นั้น เรายังสามารถที่จะบรรลัยได้มากกว่านี้เยอะ

นอกจากการไม่สามารถเก็บคะแนนไล่คู่แข่งอันดับ4ขึ้นไปได้นั้น เดอะแบกอย่างแรชฟอร์ดนั้นมีวี่แววที่จะต้องเจ็บยาวมากๆ จากที่ตอนแรกคาดการณ์เอาไว้ว่าจะเพียงแค่หลักเดือนครึ่งราวๆ6วีค แต่อาการกระดูกสันหลังหักล้านั้น จำเป็นจะต้องได้รับการผ่าตัดอย่างที่หลายๆคนวิตกกังวล และมันเกี่ยวพันกับ "อนาคตนักกีฬา" ของแรชฟอร์ดโดยตรง ดังนั้นตามข่าวอย่างต่ำๆก็ควรจะต้องมีหลัก3เดือนด้วยซ้ำ คงแทบจะรูดม่านในซีซั่นนี้ไปเลยกับผลงานยอดเยี่ยมที่เจ้าตัวสร้างมาตลอดฤดูกาล

นั่นแปลว่า คนที่รับภาระในการทำประตูให้เราเก็บผลการแข่งดีๆในทุกๆนัดได้หายไป ปกติก็บุกกันกากๆอยู่แล้ว คราวนี้เหลือแค่หมาก เมสัน เจมส์ ผลการเล่นเกมรุกก็จะเป็น0 แบบนัดที่เจอลิเวอร์พูลนี่แหละ ส่วนเรื่องที่จะผ่าทางตันด้วยการดึงตัวยืมอย่างอเล็กซิสกลับมาช่วยลงสนามก่อนนั้น ลืมไปได้เลยเพราะว่าสัญญาของเล็กซี๊ดไม่มีเงื่อนไขการrecallตัวนักเตะกลับมาช่วยทีมเราได้ ประหนึ่ง ความวัวยังไม่หาย ความควายเข้ามาแทรก แต่ดูจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น มันไม่ได้เพิ่งจะมาแทรก..

เพราะจริงๆแล้ว "ความควาย" อยู่กับบอร์ดบริหารของแมนยูไนเต็ดมาตลอดต่างหาก



ดีลกับบรูโน่ยังไม่เรียบร้อย ยื้อกันอยู่ที่60-80m นี่แหละเรื่องเงินก้อนหลักที่สปอร์ติ้งอยากได้เงินเย็นๆรับประกัน แต่แมนยูไนเต็ดก็อยากจะใส่ออฟชั่นที่เป็นไปไม่ได้เข้าไปทั้งๆที่นักเตะอยากย้ายจนตัวสั่น ต้นสังกัดเองก็พร้อมขายถ้าได้ราคา ก็มีแต่ฝั่งเรานี่แหละที่ยังทำธุรกิจแบบเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่ายอยู่ ทั้งๆที่เราจำเป็นต้องได้ตัวมาตั้งแต่1มกราให้เร็วที่สุด แต่นี่ซัดไปจะปลายเดือนแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้ามากกว่าเดิมเลย

เท่านั้นยังไม่พอ ตำแหน่งที่ขาดตำแหน่งอื่นก็ยังไม่ได้เสริมเข้ามาเลย ทั้งกลางรุก ทั้งCMกลางสนามที่ไม่ยอมซื้อเข้ามา ทู่ซี้ใช้เฟร็ดมาติชยาวๆ ไม่นานมีตัวเจ็บยาวตามไปอีกแน่ๆเพราะใช้งานเกินขีดจำกัดโดยไม่ดูsquad depthของทีม บริหารจัดการความสำคัญของแต่ละถ้วยไม่ดี แถมกองหน้าตัวความหวังเจ็บยาวอีก แทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว หากไม่ได้เสริมใครในตลาดมกราคมนี้ เพราะตัวที่ดีที่สุดอย่างแรชฟอร์ดก็หายไปแล้ว

ปัญหาทั้งหมดของทีมกำลังค่อยๆดำดิ่งมืดมนลงเรื่อยๆ.. เหมือนขอบฟ้าที่ดวงอาทิตย์กำลังจะอันตรธานหายไปชั่วกัปชั่วกัลป์ และราตรีกำลังปกคลุมย้อมสีให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดหม่นหมอง

เหมือนกับกองไฟที่ลิเวอร์พูลเผาเราเสียจนเหลือแต่เถ้าถ่านของความพ่ายแพ้ ..เมื่อไฟมอดดับลง.. ฟ้ามืดดำทมิฬลงเรื่อยๆจนแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีกต่อไป

เพราะมองไม่เห็นอนาคตเลยแม้แต่นิดเดียว..

-ศาลาผี-


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด