:::     :::

แก้ไปทีละเปลาะ เคาะไปทีละโล ใจเย็นๆ..

วันพุธที่ 22 มกราคม 2563 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
2,376
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ อยู่ที่ว่าทางออกที่่ว่านั่นอยู่ในรูปแบบไหน ทำด้วยวิธีอะไร และที่สำคัญคือ เมื่อไหร่ ที่จะเป็นเวลาเหมาะสมของการแก้ปัญหานั้นๆ
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดตอนนี้ถือว่าอยู่ในสภาพย่ำแย่ถึงขีดสุด จนถึงสถานการณ์ปัจจุบันนี้ทีมมีปัญหามากๆในเรื่องของฟอร์มการเล่น และปริมาณนักเตะที่พร้อมสำหรับลงทำศึกในการแข่งขันเต็มๆ4รายการ อันได้แก่ พรีเมียร์ลีก ลีกคัพในเส้นทางรอบรอง เอฟเอคัพ และ ยูโรป้าลีกรอบน็อคเอ้าท์ 32ทีมสุดท้าย

ณ ปัจจุบันคือเริ่มเข้าสู่ช่วงท้ายเดือนมกราคม นั่นแปลว่า แมนยูไนเต็ดจะต้องกรำศึกหนักอีกมากมายไปอย่างต่ำๆ4เดือน ด้วยทีมที่ขนาดเล็กมากระดับที่ว่า Squad Depth ยังแทบจะเอาคำนี้มาใช้กับแมนยูไม่ได้แล้ว เพราะมันแทบจะไม่เหลือนักเตะลงเล่น ยิ่งตัดพวกดาวรุ่งทีมชุดสำรอง ยิ่งชัดเจนเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองกลาง และ กองหน้า ที่ตอนนี้ มิดฟิลด์แท้ๆเหลือในทีมแค่สองคน แถมยังต้องลงเล่นแบกทีมทุกนัดไม่มีตัวเปลี่ยน  ในขณะที่กองหน้าแท้ก็เหลือแค่สองคนเท่านั้น คือหมากกับเมสัน นอกนั้นคือปีกอย่างเจมส์ และกลางรุกจำนวนมากที่ทับตำแหน่งกันเองทีม แต่ฟอร์มแย่ไม่สามารถฝากความหวังไว้ได้ จะมีก็เพียงฆวน มาต้า ที่ฟอร์มดี แต่อายุอานามที่มากขึ้น ทำให้ไม่สามารถลงต่อเนื่องเป็นตัวหลักได้ แถมสปีดความเร็วก็ไม่เหลือมากพอจะใช้รับมือกับบางสถานการณ์อีกด้วย


ในภาวะหน้าเหลือสอง กลางเหลือสอง ไม่มีคนเปลี่ยนเช่นนี้ กับอีก4เดือนเต็มๆที่ต้องลงทำศึก4รายการอีกไม่รู้กี่นัด คิดว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะเอานักเตะที่ไหนมากพอจะลงไปทำศึกได้ ในเมื่อปล่อยตัวออกรัวๆตั้งแต่ปีก่อน ทั้งกลางและหน้า โดยไม่มีการนำเข้านักเตะ ซื้อเข้ามาทดแทนเช่นนี้

เมื่อมารวมกับเรื่องหลักที่ทุกคนด่ากันอยู่ทุกอาทิตย์อย่างความเฮงกะบ๊วยของบอร์ดบริหารในด้านการจัดการ และทิศทางการซื้อขายนักเตะ ที่จนกระทั่งถึงตอนนี้ ตลาดมกราคมจะปิดอยู่ในอาทิตย์ถัดไปอยู่แล้ว แต่แมนยูไนเต็ดที่ขาดตัวเล่นอยู่ถึง 4-5 คน กลับกลายเป็นว่า ยังไม่สามารถซื้อใครได้เลยจนกระทั่งถึงตอนนี้  ข่าวที่ใกล้เคียงยื้อกันไปกันมา ก็คือข่าวซื้อบรูโน่ ที่มีอยู่ข่าวเดียวตั้งแต่ต้นเดือน  ล่าสุดก็มีตัวละครใหม่อย่าง Jude Bellingham กองกลางวัย16ปีของเบอร์มิงแฮมเข้ามาอีก ซึ่งไม่ใช่ภาวะจำเป็นเลยในการจะต้องรีบเซ็นเด็กคนนี้   เอาเงินไปใช้กับนักเตะที่สามารถเข้ามาแล้วแก้ปัญหาได้เลยจะดีกว่าที่จะเซ็นดาวรุ่ง ซึ่งในทีมของเราเองก็มีดาวรุ่งมีแววพอๆกันอีกมากมายที่พอจะใช้ลงสนามได้ไม่ต่างกับจู๊ด อย่างเช่นการ์เนอร์และเลวิทท์นั่นเอง

ซื้อจู๊ดมายังไงก็พลิกเกมแก้สถานการณ์อะไรเราตอนนี้ไม่ได้หรอก


ซึ่งเมื่อประมวลทุกอย่างแล้ว ถือว่ามันหนักมากจริงๆสำหรับสถานการณ์ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในตอนนี้ ที่มีปัญหาเข้ามารอบด้าน แถมยิ่งหนักทวีคูณขึ้นเรื่อยๆทุกครั้งที่ผ่านแต่ละแมตช์ มีแต่ข่าวที่ทำให้แฟนผีไมเกรนแดกกันทั้งโลกแล้ว

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นั่นคือการพูดถึงภาพรวมว่า เราเจออะไรกันบ้างคร่าวๆ แต่บทความนี้ คือ"หนทางของการแก้ปัญหา" ในแง่มุมที่เป็นด้านบวก ต่อการเผชิญหน้าสารพัดโรคที่รุมเร้าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่เหมือนคนภูมิคุ้มกันบกพร่องเช่นนี้ หนึ่งในการแก้ปัญหาของคนเรา ในยามที่เผชิญภาวะหนักอึ้งรุมประดังเข้ามานั้น

เราสามารถใช้วิธี "แก้ปัญหาไปทีละเปลาะ" ค่อยๆเคลียร์ไปทีละนิดทีละปมเรื่องได้ ด้วยวิธีการที่พอจะแก้สถานการณ์ไปได้ชั่วคราว  ดังนั้นต่อจากนี้คือ หนทางแก้ไขปัญหาที่ แมนยูไนเต็ด และคนกุมบังเหียนอย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จะสามารถทำได้เพื่อเอาตัวรอดในสถานการณ์ย่ำแย่เช่นนี้

สิ่งแรกที่เราต้องทำในการแก้ทีละเปลาะนั้นก็คือ "การนำปัญหาทุกอย่างมาวางกองบนโต๊ะให้หมด" เพื่อให้เห็นว่า เราต้องแก้เรื่องอะไรบ้าง  ค่อยๆทำไปทีละอย่าง เท่าที่พอจะทำได้ไปก่อน 


1.ปัญหาทั้งหมดที่มี

ไล่ลิสต์ไปพร้อมๆกันกับคนเขียนเลย ว่ามันมีอะไรบ้างในตอนนี้ที่เป็นหลักๆควรจะแก้ไขก่อน

-กองหน้าขาด (แรชฟอร์ดเจ็บยาวอย่างต่ำน่าจะ3เดือน ก็เฉียดๆรูดม่านซีซั่น)

-กองกลางขาด (กลางสนามในพื้นที่ของCentral Midfielder และ/หรือ Defensive Midfielder)

-ฟอร์มการเล่นที่ชะงักลงไปเพราะขาดตัวหลักที่ใช้มาตลอดในแผน / formation ที่ต้องปรับแก้เพราะไม่มีนักเตะรองรับ

-ทีมแพทย์ กับปัญหาอาการบาดเจ็บ

-ตลาดจะปิดยังไม่ได้ใครสักตัว ไม่มีทิศทางการซื้อขายที่ดี

-บอร์ดบริหารซื้อขายห่วยแตก งก ไม่จริงใจ

-ผู้จัดการทีมอ่อนการแก้เกม ความสามารถในการบริหารจัดการยังไม่ดีพอ ซึ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดสรรการแบ่งระดับความสำคัญของบอลถ้วยไม่ดีด้วย จะเอาหมดทุกถ้วยจนนักเตะกรอบทั้งทีม

และสุดท้าย "ลิเวอร์พูลกำลังจะเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ30ปี" .. ข้อนี้ไม่เกี่ยว ไม่ใช่ปัญหาของเรา ตัดออกไป

เราทำอะไรไม่ได้(ฮา)


2.ปัญหาที่เราแก้ไขเองได้ VS ปัญหาที่อยู่เหนือการควบคุม

ลิสต์ทั้งหมดด้านบนเราจะแบ่งเป็นสองกองอย่างที่ทุกๆคนบนโลกนี้ทำกัน นั่นก็คือ แบ่งปัญหาเป็นสองประเภท แบบที่เราสามารถรับมือมันได้ แก้ไขมันได้ด้วยตัวเอง กับปัญหาที่ไม่สามารถไปทำอะไรกับมันได้

-กองหน้าขาด -กองกลางขาด -การบริหารของผู้จัดการทีม  -ฟอร์มการเล่น  กองนี้คือปัญหาส่วนที่พอจะจัดการได้

-การซื้อขาย และทิศทางการบริหารของบอร์ด : กองนี้คือปัญหาที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา 2ข้อนี้ที่ไม่สามารถทำอะไรได้จริงๆนอกจาก จะให้คนเดินขบวนประท้วง งดสนับสนุนพร้อมกันทั่วโลกทุกช่องทาง และภาวนาให้มีคนอยากเข้ามาเทคโอเวอร์ ซึ่งก็ต้องไปลุ้นให้พวกปลิงเกลเซอร์ขายหุ้นอีก ซึ่งยาก  ดังนั้นข้อนี้คือ ปัจจัยที่เราไม่สามารถทำอะไรกับมันได้จริงๆ


3.แก้ไปทีละเรื่อง ลำดับความสำคัญทีละอย่าง

ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดที่เข้าขั้นอันตรายถึงขีดแดง รอวันระเบิดซึ่งก็ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ คืนนี้ หรือนัดหน้า นั่นก็คือปัญหาการขาดแคลนนักเตะที่ดีพอจะลงสนามให้ทีม โดยเฉพาะกองหน้าและกองกลาง

ต้องพูดแบบนี้ก่อนว่า ถ้ามันถึงที่สุดแล้ว เราอาจจะต้องยอมให้ปัญหานี้กลายเป็นแค่ การขาดจำนวนนักเตะลงสนาม ซึ่งถ้ามันถึงที่สุดของที่สุดแล้ว เจ้าเด็กๆชุด u-23 ทั้งหมดอาจจะต้องยกโขยงกันขึ้นมาเล่นให้กับแมนยูไนเต็ดกันหมดภายในปีนี้เลย แต่ก็อาจจะไม่หนักถึงขั้นนั้น เรามาดูกันละทีเรื่อง ไล่ไปก่อนทีละอย่างตามลำดับ


3.1 กองหน้าขาด

ตอนนี้ปัญหาที่มาเป็นเบอร์หนึ่ง ต้องรีบแก้หนักกว่าเดิม คือการขาดนักเตะในแดนหน้าที่จะมาลงเล่นในระบบเดิมที่ปั้นและซ้อมกันมาตลอดซีซั่น นั่นก็คือ 4-2-3-1 เพราะจะเห็นได้ว่า ระบบ 3-5-2 จากนัดก่อนที่ใช้กับลิเวอร์พูลนั้น อาจจะมีความเหนียวแน่นก็จริง แต่ทีมฟุตบอลอย่างแมนยูไนเต็ดที่ต้องการคะแนนไปเล่นUCLนั้น ไม่ได้เกิดมาเพื่อจะตั้งรับอย่างเดียวแล้วทุกฝ่ายพอใจ

ดังนั้น ปัญหาของเกมรุก เราจึงจำเป็นต้องคัฟเวอร์การขาดหายไปของแรชฟอร์ดให้กระทบเกมรุกให้น้อยที่สุด

ทำยังไงได้บ้างในเบื้องต้น


3.1.1 "ใบมีดโกนสีเขียว" เมบิ้น กรีนเพอร์ซี่

-วิธีที่ง่ายที่สุด ณ ตอนนี้คือ การปรับทัพเอาตัวที่ใช้ได้ (และควรจะใช้) อย่าง "Mason Greenwood" ลงมาเป็นตัวหลักให้ทีมเลยนับตั้งแต่ตอนนี้ ในเวลาที่ทีมยังเสริมกองหน้าคนใหม่เข้ามาไม่ได้เลย

เมสัน กรีนวู้ดจำเป็นต้องลงหัวหอกตัวจริงให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้แล้ว เขาขึ้นชุดใหญ่มาเพื่อเจอสถานการณ์แบบนี้แหละ

ดังนั้นวิธีการแรกสุดที่จะแก้ปัญหาของแรชฟอร์ดนั้นง่ายมากๆเพื่อเอาตัวรอดไปก่อนคืนนี้ นั่นก็คือ ดันเมสันกรีนวู้ด มายืนหน้าเป้า "หรือ" กองหน้าฝั่งขวาก็ได้ ในการลง 11 ตัวจริงให้กับทีม เพื่อรักษาShapeของformation 4-2-3-1 ที่ทีมเล่นกันอย่างคุ้นเคยเอาไว้ได้ ดังนั้น Manchester United 2020's XI ควรจะเป็นเช่นนี้ในยามที่แรชฟอร์ดเจ็บยาว

----------------De Gea------------------

AWB-----Lindelof---Maguire(c)----BW/Shaw

-------------Matic------------Fred-------

Greenwood-------Mata/Pereira------James

---------------------Matial------------------

นั่นคือการยืนกองหน้าเซ็ต1หรือจะสลับเป็นแบบ2

James---------Mata-Pereira----------Martial

-------------------Greenwood------------

ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า รูปแบบ2 ที่โยกเอามาร์กซิยาลยืนแทนแรชฟอร์ด(เพราะจริงๆแล้วนั่นตำแหน่งแท้ของหมากมากกว่า) เอาแดนเจมส์เล่นปีกขวา ที่ไม่มีใครในทีมเล่นได้เลย  แล้วเอาตัวจบสกอร์คมๆอย่างGreenwoodไปยืนไว้ข้างหน้าในตำแหน่งของ CF นั่นเอง


3.1.2 นำดาวรุ่งมาสำรองในแดนหน้า Largie Ramazani / D'Mani Mellor

หากโอเล่ต้องการนักเตะดาวรุ่งขึ้นมาเพื่อทดแทนตำแหน่งต่อตำแหน่งเลย เพื่อให้หมากเมแดน ได้ลงเป็นตัวหลัก และมีกองหน้าในการรอเปลี่ยนอยู่ข้างสนามนั้น ตัวที่สามารถทดแทนแรชฟอร์ดได้ในเรื่องของตำแหน่งโดยตรง ก็คงจะเป็นกองหน้าตัวรุกฝั่งซ้ายอย่าง เจ้าหนูลาร์กี้ Ramazani จากทีมสำรองชุดU-23 ที่เล่นในตำแหน่งปีกซ้าย ลงมามีชื่อที่ม้านั่งสำรอง

นักเตะวัย18ผู้นี้ ในเกมสำรองที่เจ้าตัวลงเล่นสำหรับพรีเมียร์ลีกทูนั้น 13นัดยิงไปทั้งหมด9ประตู เป็นดาวรุ่งอีกคนที่มีชื่อคุ้นเคยของทีม และได้โอกาสลงในยูโรป้าลีกชุดใหญ่มาแล้วกับเกมเยือนแอสตาน่า

หากต้องการนักเตะมาทดแทนกัน ก็มีรายนี้ที่น่าสนใจ ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือเจ้าหนูไมเคิลแจ็คสัน D'Mani Mellor ในตำแหน่งCFเหมือนกรีนวู้ด คืออีกคนที่สามารถดันขึ้นมาเป็นตัวสำรองเฉพาะกิจในม้านั่งสำรองได้ สำหรับตำแหน่งกองหน้า


3.2 กองกลางขาด

ตอนนี้เอาจริงๆผมถือว่าวิกฤตมากๆแล้วที่ทีมเหลือเพียงแค่นักเตะสองคนเท่านั้นอย่างที่ทราบกันก็คือ เฟร็ด กับ มาติช สองนักเตะที่เป็นมิดฟิลด์แท้โดยธรรมชาติ ทีมเราเหลือแค่นี้ที่เล่นในมิติของ"กองกลาง" ได้อย่างแท้จริง ไม่นับพวกที่หยิบยืมมาเล่นได้แค่เฉพาะกิจ ไม่ใช่กลางแท้อย่าง อันเดรส เปเรร่า ที่ลักษณะการเล่นและสรีระมันเป็นตัวรุกอยู่แล้ว

และเมื่อสถานการณ์บีบบังคับเพราะทีมไม่เสริมอะไรเข้ามาเลย จึงเป็นความจำเป็นของโอเล่ในการต้องเข็นทั้งคู่ลงสนามในทุกๆนัด ซึ่งเอาจริงๆแล้วเขาสามารถเลือกถอดพักในเกมไม่สำคัญได้ แต่เดี๋ยวค่อยว่ากัน แต่ในเมื่อตอนนี้เหลือแค่สองคน ที่ยังดวงดีไม่บาดเจ็บนั้น ปัญหาจึงยังไม่ปะทุ แต่เมื่อไหร่ก็ตามในสนาม มีีคนใดคนนึงลงไปนอนกอง นั่นแหละทุกครั้งแฟนผีทุกคนหน้าซีดแน่นอนที่ต้องเห็นเฟร็ด หรือ มาติช ลงไปกองกับพื้นในยามนี้

เพราะไม่รู้จะเป็นไงบ้าง ถ้าหากเจ็บขึ้นมาอีกก็งานเข้าแน่นอน เพราะเราจะได้เห็นเปเรร่ากลางสนามและสร้างความบรรลัยเป็นแน่แท้

-วิธีแก้ไขเบื้องต้นของเรื่องนี้นั้น อย่างง่ายที่สุดที่พอจะทำได้ จริงๆก็คือ การดันเอา James Garner กับ Dylan Levitt สองกองกลางดาวรุ่งของเราขึ้นมาประจำการตำแหน่งกองกลางสำรองสแตนด์บายรอเปลี่ยน  หรือจริงๆแล้วก็ควรจะได้รับการลงสนามเป็นตัวจริงเลยบ้าง เพื่อถนอมร่างกายของตัวหลักอย่างเฟร็ดมาติช เพื่อรอการกลับมาของแม็คโทมิเนย์ของป็อกบาในเดือนถัดๆไป  การ์เนอร์กับเลวิทท์ควรได้รับโอกาสลงไปเล่นแทนเฟร็ดมาติชบ้าง

อยู่ที่ว่า โอเล่จะทำหรือไม่ทำ โดยเฉพาะในเกมอย่างการเจอเบิร์นลีย์ในบ้านเราเองซึ่งคุมเกมแน่ๆแล้วนั้น ส่งลูกกรอกพวกนี้ลงมาเพื่อให้ตัวหลักพักบ้าง "เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง"

ไม่ใช่บอกว่า จะปั้นเด็กแต่ปาก ถึงเวลาจริงก็ไม่เคยให้โอกาสลงสนาม

วิธีนี้ถือว่าทำได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในระหว่างที่ทีมก็ไม่มีข่าวจะซื้อใครเลยนอกจากเด็กอายุ16 ซึ่งถ้าเป็นงั้น ใช้การ์เนอร์กับเลวิทท์ยังจะดีซะกว่าที่เด็กเรามันมีpassion และรู้ระบบของสโมสรเป็นอย่างดีมาแล้ว ไม่ใช่ไปเอาJude Bellinghamที่เพิ่งได้เล่นต่อเนื่องปีนี้ และยังไม่สามารถเข้ามาแบกอะไรได้ในเกมระดับสูงอย่างแน่นอน

สองคนนี้คือคีย์สำคัญในการขัดตาทัพ เพื่อรอวันกลับมาของแม็คโทมิเนย์นั่นเอง


3.3 ฟอร์มการเล่นที่ไม่มีความแน่นอน

ข้อนี้เป็นอีกประเด็นที่สามารถแก้ไขได้ไปก่อนโดยไม่ต้องพึ่งบอร์ดบริหาร อยู่ที่ความสามารถของทีมโค้ช และผจก.ทีมล้วนๆที่จะสามารถกระตุ้นเด็ก และโค้ชชิ่ง แก้แทคติกได้ประมาณไหน ถือเป็นเรื่องที่แก้ได้ง่ายสุดแล้ว

ทำยังไงบ้าง?

สิ่งแรกที่ต้องจัดการก่อน ก็น่าจะอย่างที่ตามข่าวมาว่าโอเล่ต้องการนักจิตวิทยามาช่วยลูกทีมให้มีMindsetเดียวกันในการลงสนามทุกนัดไม่ว่าจะต้องเจอใคร

ฟังอาจจะดูตลก แต่เรื่องจริงที่โอเล่ไม่มีจิตวิทยามากพอถึงระดับบรมครูอย่างSAF เขาไม่เก่งพอจะจิตวิทยาให้ลูกทีมได้เหมือนที่ป๋าซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งในเรื่องนี้ทำได้ การเล่นของเด็กในทีมจึงขาดๆเกินๆ ดีมั่งฮึกเหิมมั่ง ยุบมั่ง ไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่าง

ดังนั้นเรื่องของสภาพจิตใจ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเล่นฟุตบอลนั้น ถือว่าจำเป็นมากที่ต้องแก้ไข เกมที่เล่นกับทีมเล็กๆท้ายตารางอย่างเบิร์นลีย์ เราควรจะเล่นเหนือกว่าเขา ควรจะทำลายพวกเขาให้สิ้นซากได้ ไม่ใช่ไปเข้าร่วม(ความกาก)กับเขาเวลาเจอทีมท้ายตารางก็เล่นเหมือนอยู่ท้ายตารางไปด้วยกัน  พอเจอทีมใหญ่ก็ค่อยกลับมาเล่นดีมีลุ้น

คืออะไร?

ดังนั้น นี่คือหน้าที่ของผู้จัดการทีมเลยอย่างแรก ที่นักเตะในทีมบางส่วนก็พอจะคาดหวังได้ และยังพอจะมีใช้งานอยู่ อย่างแผงแบ็คโฟร์ กลางสองตัว กองหน้าตัวหลักสองคนหมากเจมส์ และมาต้า  ส่วนที่เหลือก็หาคนมาโปะให้ทีมมันไปต่อได้ อย่างน้อยที่สุดเกมที่ไม่ยากก็ควรจะเอาชนะไปให้ได้ก่อนทีละนิดๆ

มันคงไม่ยากเกินไปใช่ไหมโอเล่ ที่จะปลุกไฟของเด็กๆในทีมขึ้นมา หรือถ้าคิดว่า จ้างนักจิตวิทยาเข้าสโมสร หรือพาร์ทไทม์มาคุยกับเด็กในทีมได้ จะทำไงก็เอา ปัญหานี้มันแก้ได้(โว้ย!)

เอานักจิตวิทยามาคุยกับพวกพี่ก่อนเลยดีไหม why so serious?

3.4 การบริหารทีม

ข้อนี้สำคัญมากในช่วงนี้ เพราะ"การจัดการ" ถือเป็นตัววัดสำคัญเลยของผู้จัดการทีมว่ามีฝีมือในการพาทีมและนักเตะผ่านเกมการแข่งขันถี่ยิบไปได้หรือไม่ ก็จากฝีมือการmanagementทรัพยากรต่างๆที่สโมสรมีทุกอย่างว่าจะทำอะไรได้บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้คือ การจัดลำดับความสำคัญที่มั่วเละเทะไปหมด

3.4.1 เป้าหมายความสำคัญในแต่ละถ้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แย่มากๆจริงๆ และยังพอจะกลับลำแก้ไขทันได้ด้วยการจัดการที่ดีขึ้น นั่นก็คือการจัดความสำคัญว่า เราจะเอาถ้วยไหนให้ได้เป็นหลัก เป้าหมายหลักของซีซั่นนี้คืออะไร ดูเหมือนจะไม่ชัดเจน เพราะโอเล่ทำท่าเหมือนอยากจะเอาทุกถ้วย โดยเฉพาะถ้วยที่ไม่สำคัญอย่างลีกคัพ ที่ส่งทีมชุดใหญ่ลงตลอด จนส่วนหนึ่งทำให้เด็กๆเรากรอบกันขนาดนี้เพียงแค่ครึ่งฤดูกาล

เอฟเอคัพที่ดูจะใหญ่กว่า และยังมียูโรป้าลีกอีก ไหนจะอันดับในลีก ที่จำเป็นมากๆ

จนถึงตอนนี้ เรายังมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่า ทิศทางของโซลชานั้น ให้ความสำคัญที่ไหนเป็นที่แรก จากการสังเกต ดูข่าว สัมภาษณ์ ทุกๆอย่าง ไม่มีความชัดเจนเลยว่า เขาจะเอาอะไรก่อน ซึ่งควรจะเน้นหนักที่ตรงนั้น แน่นี่คือเหมือนลงสนามเช้าชามเย็นชามไปทีละนัดๆ ซึ่งการโฟกัสนัดต่อนัดนั้นไม่แปลก แต่คุณควรจะวางเป้าหมายไว้ด้วยว่า จะเอาจริงถ้วยไหน เบาถ้วยไหน

ไม่ใช่จัดเต็มทุกถ้วยแบบนี้จนทีมพัง ซึ่งทีมเราศักยภาพมันไม่ได้เหมือนช่วงปี2007-2010ที่จะลุ้นแชมป์ทีละ3-4ถ้วยใหญ่แบบนั้น

ซึ่งหากให้เราตัดสินใจในมุมมองของแฟนบอลนั้น โควตาแชมเปี้ยนส์ลีกนั้นสำคัญมากที่สุด ดังนั้นเกมที่ควรต้องจัดเต็มให้ได้ทุกนัด และควรต้องผ่อนถ้วยอื่น เพื่อมาลงกับรายการนี้ นั่นก็คือ "พรีเมียร์ลีก" ที่ยังมีลุ้นคว้าอันดับ4ได้อยู่ แม้ส่วนตัวจะเชื่อว่า ศักยภาพตอนนี้ไม่น่าจะถึงหากไม่เสริมทีมอย่างน้อยสองตัวหลักๆ  เราคว้า4ยากแน่นอนเพราะทีมไร้ความชัวร์ในการเล่นเช่นนี้

พรีเมียร์ลีก ควรสำคัญอันดับหนึ่ง เพื่อบอลยุโรปUCL


ส่วนยูโรป้าลีกนั้น ควรจะสำคัญรองลงมาในฐานะ "ความสำเร็จที่จับต้องได้" มากกว่าลีกคัพ มากกว่าเอฟเอคัพ โดยจริงๆแล้วลีกคัพควรจะไม่เน้นตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ แต่เข้ามาถึงขนาดนี้แล้ว คงจำใจกัดฟันพูดว่า อาจจะต้องให้ ลีกคัพ > เอฟเอคัพไปแล้วหน่อยนึง ซึ่งก็ยาก เพราะเลกสองเจอแมนซิตี้ที่บ้านเค้า ดูยังไงก็ไม่มีทางรอด เพราะแรชฟอร์ดไม่อยู่เช่นนี้

สรุปแล้ว หากเป็นไปได้ ในลีกเรายังพอมีหวังอยู่ ควรจะผ่อนในเกมถ้วยอื่นๆอย่าง เอฟเอคัพ ยูโรป้าลีก ซึ่งจะคว้าแชมป์เพื่อโควตาUCLมันเป็นไปไม่ได้เลย  ดังนั้นพักให้หมด แล้วมาลงเกมลีกให้สุดชีวิตดีกว่า

เอารูปเก่ามาลงให้สะท้อนใจกันไปข้าง

3.4.2 priorityลำดับความสำคัญในการเลือกซื้อนักเตะที่สำคัญมากกว่ากับสถานการณ์เฉพาะหน้า

เรื่องของลำดับความสำคัญในการเลือกซื้อนักเตะในตอนนี้นั้น ส่วนตัวของผมมองไปที่สามตำแหน่งสำคัญที่จำเป็นต้องซื้อเข้ามาโดยเร่งด่วน นั่นก็คือ กองหน้า กองกลางCM กลางรุกAMC สามคนสามตำแหน่ง

ซึ่งดูสภาพบอร์ดซังกะบ๊วยนั้น ตัวเดียวยังยากส์!!!

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเลือกได้ตัวเดียว ณ ตอนนี้เราควรทำยังไงดี

ผมว่า กองหน้าตัวยิงประตู แซงความสำคัญขึ้นมาเป็นอันดับ1แล้วที่ต้องรีบซื้อ

เพราะที่ผ่านมาแรชฟอร์ดแบกทีมมาตลอดจนมาถึงตอนนี้ได้ที่เกาะอันดับ5ไว้และผ่านเข้ารอบบอลลีกแต่ละถ้วย เมื่อขาดแรชไป รับรองว่ากระเทือนแน่ๆ การซื้อกองหน้าคุณภาพดีเข้ามา จึงเป็นfirst priorityที่ต้องรีบจัดมาให้ไว

จากนั้นก็คือ มิดฟิลด์กลางสนาม แล้วไป กลางรุกที่สำคัญเป็นอันดับ3

เพราะว่า ตัวกลางสนามปริมาณไม่พอจริงๆเพราะเราใช้งานหนักมากๆ และเกมก็เยอะ ดังนั้นลำดับสองที่ต้องรีบซื้อมา หลายคนบอกว่ากลางรุก แต่ส่วนตัวผู้เขียนตอนนี้อยากได้CMแท้มาช่วยงานเฟร็ดมาติชอีกคนแล้ว ไม่งั้นลำบากแน่ๆกับเกมหนักที่ปริมาณแมตช์เยอะขนาดนี้ เล่นแค่2 หรือ3คนหากแม็คจะกลับมานั้น ยังไงก็ไม่รอด เดี๋ยวมีเจ็บตายไปอีกแน่นอน

"ต้องซื้อกองกลางมาเพิ่มด่วนๆเท่านั้นในมกราคมนี้"

และถัดหลังจากนั้น คือมิดฟิลด์ตัวรุก ซึ่งกับข่าวบรูโน่กำลังดีลตกลงอยู่ภายในวีคนี้นั้น หากเป็นจริงคงจะดีมาก และก็ไม่เป็นไรหากจะได้ตัวมาก่อน  ก็ถือว่ากำขี้ดีกว่ากำตด ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย หากได้บรูโน่มา เรายังอาจจะมีตัวเลือกในการใช้งาน เปเรร่า ลงไปเล่นกองกลางคู่กับมาติชได้ (แต่อย่าคู่เฟร็ดนะ เละ)


4.ปัญหาที่อยู่นอกเหนือการควบคุม

คือเรื่องที่ไม่มีทางแก้ได้ และคงแก้ไม่ได้แน่ๆในเร็ววันนี้ระดับหลักปีๆเลย นั่นก็คือ เรื่องของความห่วยแตกของการบริหารสโมสรโดยบอร์ดตระกูลเกลเซอร์ และควบคุมงานโดยเอ็ด วู้ดเวิร์ด ที่ยังคงรวบอำนาจเอาไว้อยู่คนเดียว ไม่ยอมตั้งDOFเข้ามาช่วยบริหารทิศทางการซื้อขายให้สโมสรสักที

เรื่องของวิสัยทัศน์การบริหารทีม ที่กลายเป็นโฟกัสกับการตลาด การค้า เสียมากกว่าผลงานในสนามบอลซึ่งจริงๆแล้วสำคัญมากกว่าในการสร้างมูลค่าเพิ่มและรักษาความนิยมให้คงอยู่ไปยาวๆนั้น  บอร์ดโฟกัสผิดจุดมากๆ เหลือแต่การกินบุญเก่า

ซึ่งบุญเก่าที่ว่าก็คือพวกตูนี่แหละ แฟนบอลรุ่นเก่าที่นั่งหัวโด่ที่เอ็งไม่เคยแคร์นี่ไง!!!!


ดังนั้นจะมาหวังให้ใครเทคโอเวอร์นั้น ยากมาก เพราะตระกูลนี้ไม่มีวี่แววจะขายหุ้นอยู่แล้ว กว่าจะมีก็คงอีกนานซึ่งก็ไม่รู้เท่าไหร่ ตรงนี้เป็นปัญหาที่เราไม่สามารถแก้ไขได้โดยเร็วทันทีทันใด เพราะเกมฟุตบอลมันแข่งกันตลอดเวลา ซึ่งที่ทำได้คือ แก้เรื่องภาคปฏิบัตการในสนามเท่านั้นแค่พอจะทำได้

สิ่งที่อยากให้เปลี่ยนแปลงสำหรับบอร์ดบริหารนั้นก็มีแค่ไม่กี่อย่างเอง แค่

-ซื้อขายตัวให้มันเร็วๆเพื่อให้มีเวลาเตรียมทีม จะได้ใช้งานได้ทันทีไม่ต้องรอ

-มีทิศทางในการซื้อขายนักเตะอย่างชัดเจน ไม่มั่ว

-กล้าทุ่มในส่วนที่ควรจะทุ่ม อย่างกเหนียม เพราะการลงทุนกับผลงานในสนาม มันส่งผลต่อรายได้ในอนาคตโดยตรง

-ตั้งDirector of Football มาทำหน้าที่แทน ส่วนตัวเอง(เอ็ด)ไปดูแลด้านการตลาดอย่างเดียวน่าจะดีเพราะมือโปรมากเรื่องการตลาดอันนี้ยอมรับ

-โฟกัสที่ผลงานทีมในสนาม ซีเรียสผลการแข่งขันของเด็กๆและโค้ชเบื้องล่าง มากกว่าโฟกัสว่าพรุ่งนี้จะไปดีลกับสปอนเซอร์ตัวไหน และจะเอาใครมาอยู่ในโฆษณาบ้าง

คงจะไม่ขอเยอะเกินไปใช่ไหม? (เขียนไปเขียนมาโคตรเยอะเลย!!!!)

ก็อย่างที่บอกไปครับ นี่คือพาร์ทปัญหาที่อยู่เหนือการควบคุม สิ่งเดียวที่แฟนบอลจะทำได้คือ พนมมือ ตั้งนะโมสามจบ แล้วภาวนาให้พวกมันขายหุ้น มีคนมาเทคโอเวอร์ อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้มันแก้ไขปรับปรุงตัวในการบริหารสโมสรให้มันดีๆกว่านี้ แล้วทุกอย่างจะดีเอง  อยากรู้ว่าทำไงให้แฟนบอลรัก จัดสัมนาไปดูงานที่เลสเตอร์ซิตี้บ้างไป

ส่วนเรื่องของการจะรวมกลุ่มประท้วงนั้น ทำได้ยากมาก เพราะแฟนบอลไม่ได้ทำเหมือนกันทุกคน คิดไม่เหมือนกันทุกคน หากยังสนับสนุนสินค้าสโมสรอยู่ เข้าไปดูบอลในสนามอยู่ นั่นก็แปลว่ายังสนับสนุนทางตรง พวกมันก็จะยังอยู่ได้เหมือนเดิม จะกดดันต้องหยุดซัพพอร์ตทุกช่องทาง แล้วประท้วงให้ถึงที่สุดจนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับเลเวลการบริหาร ซึ่งเคสแบบนี้ทำได้ยากเหลือเกิน

ปี้กกะบู้!!!

5.สรุป

ทั้งหมดทั้งมวลนั้น นี่คือการไล่เรียงปัญหาออกมาตีแผ่ให้หมดสิ้นว่า เราเจอปัญหาอะไรรุมล้อมอยู่บ้าง แล้วจากนั้นเอามาตีแผ่ เรียงลำดับความสำคัญของการแก้ไขปัญหา และดูว่า เราแก้อะไรได้บ้างในเบื้องต้น เท่าที่พอจะทำได้ ไล่เรียงไปตามลำดับความสำคัญที่เขียนเรียงเอาไว้ในข้อ 3.ใหญ่นั่น  นี่คือวิธีคิดเบื้องต้นของการแก้ปัญหารุมเร้าอย่างหนักหน่วงที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต้องเผชิญอยู่ ณ ขณะนี้ ซึ่งมันทำให้อารมณ์ความรู้สึกของแฟนๆปีศาจแดงทั่วโลกนี้ตอนนี้ค่อนข้างเครียด ดาวน์ และดูบอลกันอย่างไม่ค่อยเป็นปกติสุขเท่าไหร่ จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้นด้วยการ ได้นักเตะเข้ามาเสริมทีมจริงๆจังๆภายในตลาดนี้ "อย่างน้อย2คน" คือกองหน้ากับกองกลางตัวหลักที่เก่งจริงๆ 

ใช้คำว่าอย่างน้อย เพราะถ้าได้แค่1 ยังไงก็ไม่รอด

แต่ถึงที่สุดแล้ว บทความนี้เขียนด้วยการตีแผ่ปัญหาก็จริง แต่จะชี้ให้เห็นว่า ทุกปัญหามันมีทางออกเบื้องต้น และวิธีการที่เราสามารถแก้ไขได้ ไม่ถึงกับมืดสนิทไปซะทั้งหมด อย่างน้อยๆก็ปัญหาการขาดนักเตะนั่นแหละที่อาจจะพยายามถูไถไปได้บ้าง ก็ต้องลุ้นว่าเราจะเสริมอะไรมาได้ภายในเดือนนี้เท่านั้น


เรียงลำดับ แล้วค่อยๆแก้ทีละอย่าง แก้ไปทีละเปลาะอย่างที่เขามักจะพูดกัน ซึ่งมันเป็นวิธีที่"ถูกต้อง" ในการรับมือกับสถานการณ์ที่ทีมเจอสภาวะปัญหารุมรายล้อมรอบตัวขนาดนี้  เราจึงต้องค่อยๆแก้ไปทีละอย่าง .. มันก็เหมือนการวิ่งมาราธอนเหมือนกันอย่างนึง เวลาที่เราเหน็ดเหนื่อยกับระยะทางไกลๆ และเหลือเส้นทางข้างหน้าที่ต้องไปอีกเยอะ

สิ่งที่นักวิ่งในสภาพเหนื่อยล้าควรจะทำก็คือ โฟกัสไปทีละกิโลเมตร ค่อยๆตุ๊ยมันไปทีละโล วิ่งไปเรื่อยๆทีละนิด จาก33 เป็น34 เป็น 35

เคาะไปทีละโลจนครบ42

ปัญหาทุกอย่างเราไม่สามารถแก้ได้ในทันที จากจุดที่บาดเจ็บในกิโลที่30 แล้วคุณหวังจะให้มันเข้าเส้นชัยที่42.195กิโลเมตรเลยนั้นมันเป็นไปไม่ได้ สิ่งนี้แหละจึงเป็นสิ่งที่เราต้องทำ แค่วิ่งเบาๆผ่านมันไปให้ได้ทีละโล ทีละโลตรงหน้า

ถ้าเราเดินหน้าสู้กับปัญหาไปเรื่อยๆทีละนิด เดี๋ยวมันก็จะค่อยๆเคลียร์หมดไปทีละอย่างเอง

-ศาลาผี-


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด