:::     :::

เมืองทองฯ กับปีที่หยุดเปย์

วันศุกร์ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2563 คอลัมน์ ฉันดูบอลที่ร้านเหล้า โดย ดากานดา
9,302
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
นับนิ้วอีกไม่ถึงสัปดาห์ ฟุตบอลไทยลีก 2020 จะได้ฤกษ์รูดม่านหวดกันสะบั้นหั่นแหลก อย่างเป็นทางการ

หลายสโมสร ต่างคว้านักเตะที่ต้องการมาเติมเต็ม ผ่าตัดทีม เพื่อให้พร้อมสุดก่อน "คิกออฟ"

แต่ที่น่าสนใจกว่าชาวบ้านเห็นจะเป็น เอสซีจี เมืองทองฯ

เพราะตลาดนักเตะ "กิเลนผยอง" ในปีนี้ ขาออก กลับมากว่า ขาเข้า

นับนิ้วถึงปัจจุบันขณะมีเพียง สหรัฐ กันยะโรจน์, วิลเลียน ป็อปป์, ลูคัส โรชา และ สรวิทย์ พานทอง (กลับมาจากสัญญายืมตัว)

ส่วนผู้เล่นที่ปล่อยออกไปนั้นมีมากถึง 16 ราย 7-8 ราย คือ "แกนหลัก" ที่ตะบันช่วยทีมจนถีบจากโซนแดง กลับมาจบด้วยตัวเลขอันดับ 5 (ยังไม่นับสถานการณ์ของ สารัช อยู่เย็น ที่รอวันเปิดตูดลาอีก)

จากทีมที่ถูกสถาปนาเป็น "เจ้าบุญทุ่ม" เมืองไทย กว้านซื้อนักเตะระดับ "ซุป'ตาร์" ประดับประดาทีมนับไม่ถ้วน เป็นสโมสรแรก ๆ ที่เปย์เงินเดือนสุดงามให้พ่อค้าแข้ง จนเพดานลูกหนังไทยทะลุ หากแต่วันเวลาเปลี่ยนผ่าน กิเลนตัวเดิมกลับยอม "รัดเข็มขัด" เงินเดือน จนต้องระบายผู้เล่นออกอย่างมากมาย

นักเตะต่างชาติที่เงินเดือนสูงกว่า 1,000,000 บาท ไม่ว่าจะเป็น เฮแบร์ตี แฟร์นานเดส, บรูโน กัลโล, โอ บัน-ซอค หรือไม่ว่าจะเป็นแข้งไทยตัวหลักที่เงินเดือนสูงลิ่วระดับ 6 หลัก ต่างถูกปล่อยออกจากทีมทั้งหมด (เหลือเพียง แดร์เลย์ รายเดียวที่เก็บไว้) พร้อม ปั้นเด็ก ดันดาวรุ่งขึ้นมาทดแทน




ขณะผู้เล่นต่างชาติคนใหม่ที่จะเข้ามา สโมสรให้อำนาจการตัดสินใจกับ อเล็กซานเดร์ กามา เต็มตัว อยากได้สเปกแบบไหน หล่อ ล่ำ ขาว ดำ อวบ ไปจีบมา เพียงแต่ว่าขอจ่ายไม่เกิน 1,000,000 บาท ต่อเดือน

แน่นอนว่าแข้งเหล่านี้เมื่อเข้ามา ต้องตอบโจทย์ทั้งในแง่แท็คติก เป็นกำลังหลักให้สโมสรได้ และประคองแข้งดาวรุ่งที่ถูกดันขึ้นมา และนักเตะเหลืออยู่อีกที

เข้าใจว่าส่วนหนึ่งที่สโมสรเปลี่ยน "กลยุทธ์" การบริการทีม อาจมาจากเรื่อง "เงิน ๆ ทอง ๆ" ที่ต้องบริหารแบ่งจ่ายหลายทาง อีกทั้งสถานการณ์ของผู้สนับสนุนหลักหลายใหญ่อย่าง "เอสซีจี" ใกล้หมดลง และมีเปอร์เซ็นต์สูงว่า จะไม่ถูกสะบัดน้ำหมึกเซ็นสัญญาต่อ

การ "รัดเข็มขัด" เปลี่ยนหมานโยบายทีมใหม่ เจียดค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ออกจากบ้านไป จึงเป็นทางเลือกของทีม ผู้บริหารกำลังขับเคลื่อนสโมสรให้ยืนได้ด้วยตนเองบนลีกสูงสุด แม้ในวันที่ผู้สนับสนุนหลักไม่อยู่  

แต่สิ่งที่ตามมาหลังการเปลี่ยนแนวทางการทำทีมคือ "ผลงาน" 




แฟนกิเลนผยอง และคนทั่วไปยังคงผูกขาดกับภาพจำที่ว่า เอสซีจี เมืองทองฯ คือ "บิ๊กทีม" แม้ปีก่อนต้องเหนื่อยในเลกแรก จนกลับมาเกาะ "หัวตาราง" ในครึ่งฤดูกาลหลัง แต่ซีซั่นนี้ต่างออกไป เมื่อทีมจะไร้ "ซุป'ตาร์" ตัวหลักที่ร่วมหัวจนท้ายกับสโมสรมา

อเล็กซานเดร์ กามา อาจเป็นยอดกุนซือมันสมอง ที่เสกแชมป์ให้มากมายตลอดการรับงานในประเทศไทย แต่อย่าลืมว่าทั้ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ สิงห์ เชียงรายฯ ที่เขากุมบังเหียนนั้น อุดมด้วยผู้เล่นฝีตีนระดับต้นของลีก ต่างจาก กิเลนผยอง ปัจจุบันขณะ

ฟุตบอลอาจคือกีฬาที่เล่นเป็นทีม หากแต่ศักยภาพนักเตะ ก็เป็นส่วนสำคัญในการเติมเต็มแท็คติกเช่นกัน และเมื่อดูฟอร์มการเล่นจากทัวร์นาเมนต์ "ลีโอ ปรีซีซั่น คัพ" ที่ผ่านมา ผู้เขียนยังหาทิศทางไม่เจอว่า เมืองทอง ชุดนี้จะกลับไปยิ่งใหญ่เช่นเดิมได้อย่างไร

อย่าว่าแต่ "ลุ้นแชมป์" ไทยลีก ติด 1 ใน 5 ยังไม่ง่ายเลยด้วยซ้ำ

เหล่านี้คือสิ่งที่สาวก "กิเลนผยอง" ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่หมด และยอมรับความจริงว่า เอสซีจี เมืองทองฯ อาจไม่ใช่ทีมลุ้นแชมป์เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป

ท่อนท้ายสุดในบทเพลง "แชมเปี้ยนส์เมืองทอง" ซึ่งเปรียบเสมือนเพลงชาติสโมสร ที่แฟนบอลคอยเปล่งเสียงให้นักเตะก่อน-หลังเกมทุกนัด บอกว่า "เราคือแชมป์บอลไทยพรีเมียร์ลีก"

จากนี้ไม่แน่ใจว่าแฟนกิเลนผยอง จะร้องมันได้เต็มปากหรือไม่      


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด