16 สโมสร ทั้งหน้าเก่า-ใหม่ ต่างเสริมผู้เล่นให้ทีมตัวเองไฉไล ตอบโจทย์ต่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นแข้งระดับ “ซุป’ตาร์” หรือ นักเตะดาวรุ่ง

บางรายแทบไม่ได้ลงสนามในปีก่อน ทว่าฤดูกาลนี้กลับได้รับโอกาสเป็นกำลังหลัก บางคนถูกปล่อยยืมไป ก็กลับคืนสู่อ้อมกอดบ้านเก่า รวมถึงบางคนที่ปีกลายนั่งตบยุง แต่เมื่อย้ายทีมใหม่ กลับกลายเป็นขุนพลคนสำคัญไป

5 ผู้เล่นที่เรากำลังจะละเลงถึงนี้ ทั้งหมดต่างผ่านเรื่องราวที่เราเกริ่นมาข้างต้นทั้งสิ้น และในซีซั่นใหม่ที่กำลังรูดม่าน พ่อค้าแข้งเหล่านี้ อาจกลายเป็นแข้งที่ “ถูกจับตามอง”  อย่างเต็มตัว

 

โชติภัทร พุ่มแก้ว : สิงห์ เชียงรายฯ

หลังถูกปล่อยไปผจญภัยกับ เชียงใหม่ เอฟซี ในปีก่อน ฤดูกาลนี้ มิตติ ติยะไพรัช ตัดสินใจดึง “จ๊อบ” กลับสู่รังกว่างโซ้งอย่างทางการ

ด้วยฤดูกาลที่ผ่านมาสภาวะ “แบ็กขวา” ของเชียงรายฯ ค่อนข้างมีปัญหาพอควร เริ่มจากอาการบาดเจ็บของ ปิยพล ผานิชกุล ช่วงต้นปี ทำให้ผู้เล่นอย่าง ชินภัทร ลีเอาะ หรือแม้แต่ สมคิด ชำนาญศิลป์ ถูกหยิบจับมารับบทบาทวิงแบ็กฝั่งขวาแทน แม้ “ลูกพี่ไดร์” จะหายกลับมาลงสนามได้ ทว่าด้วยขวบวัยที่ปาไป 32 ปีแล้ว จึงทำให้ต้องมีผู้เล่นเข้ามาซัพพอร์ต และทดแทนในตำแหน่งนี้ และ มาซามิ ทากิ เฮดโค้ชใหม่เลือกใช้งาน โชติภัทร

ในช่วงปรีซีซั่นที่ผ่านมา จ๊อบ ถูกส่งลงเล่นบทบาทวิงแบ็กขวา ในระบบกองหลัง 3 และ ปีกขวา ในระบบกองหลัง 4 แม้จะยังมีข้อผิดพลาดให้แก้ไขอยู่บ้าง แต่ในทัวร์นาเมนต์ปรีซีซั่นที่ผ่านมา เขาทำได้ดีระดับหนึ่ง

เรียกว่าหากปรับตัวเข้ากับแท็คติกทีมได้ เชื่อว่านี่อาจเป็นปีของ โชติภัทร ที่มีโอกาสกลายเป็นกำลังหลักทางกายขวาของ เชียงราย เลยทีเดียว

 

ภานุเดช ใหม่วงศ์ : พีที ประจวบ

การเสีย จิตปัญญา ทิสุด และ เมารินโญ กลับไม่ได้สร้างปัญหาให้ “ต่อพิฆาต” แม้แต่น้อย

เมื่อ “วัง ลันตา” ตัดสินใจเซ็นสัญญากับ นุ ภานุเดช เด็กหนุ่มวัย 24 ปี ที่มีดีกรีเคยไปค้าแข้งลีกฮ่องกง ทว่าแทบไม่ได้ลงสนามกับ ชลบุรี เอฟซี ในปีก่อนมาร่วมทัพ

ใช่ว่าชื่อชั้นของ ภานุเดช เทียบเคียงกับ 2 ผู้เล่นที่ออกไปไม่ได้เลย หากแต่จากผลงานในช่วงปรีซีซั่น หมอนี่กลับกลายเป็นนักเตะที่เด่นสุดของ พีที ประจวบ ไปเสียอย่างนั้น

คล่องแคล่ว ไปกับบอลได้ดี สร้างสรรค์เกมได้ในตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ ที่สลับกันกับ ยู จุน-ซู และ เล่นกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง รัชพล นาวันโน ได้อย่างรู้ใจ จนกลายเป็นอีก 1 จุดแข็งในแผงมิดฟิลด์ พีที ประจวบ ไปเฉย

แน่นอนว่าหากไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร “เจ้านุ” น่าจะกลายเป็นขุนพลตัวเลือกแรกในแนวรุกทีมฤดูกาลนี้

 

วัฒนากรณ์ สวัสดิ์ละคร : เอสซีจี เมืองทองฯ

จากสถานการณ์ “รัดเข็มขัดทีม” ของกิเลนผยอง และสโมสรปล่อยตัว เอร์เนสโต ภูมิภา ไป ทำให้ในตำแหน่งแบ็กซ้ายเหลือเพียง ไดสึเกะ ซาโตะ เพียงคนเดียว

ทำให้ อเล็กซานเดร์ กามา ให้โอกาส “อาร์ต” ลงสนามในช่วงปรีซีซั่นที่ผ่านมา และหมอนี่ทำได้อย่างยอดเยี่ยม กับจังหวะเติมเกมขึ้นสุดลงสุด มีลูกครอสและบอลตั้งเตะเป็นอาวุธหลัก ซึ่งดูดีกว่า ซาโตะ ด้วยซ้ำ

จากเด็กปั้นที่ฟูมฟัก จับเซ็นสัญญามาตั้งแต่น้องเรียนรั้ว โพธินิมิตวิทยาคม ปล่อยไปเสริมกระดูก เก็บประสบการณ์ทั้ง อุดรธานี เอฟซี และ บางกอก เอฟซี จนวันนี้เจ้าตัวกลับมาสู่อ้อมอก เมืองทองฯ อีกครั้ง

ปีก่อนหมอนี่ได้รับโอกาสลงสนามไปเพียง 2 เกม ทว่าฤดูกาลนี้เชื่อว่าหาก  อาร์ต เรียกฟอร์มเก่งได้เหมือนต้นฤดูกาล เขาจะกลายเป็นกำลังสำคัญของ กามา อย่างแน่นอน และเป็นอีกดาวเตะที่น่าจะมีบทบาทกับทีม และควรจับตามองในซีซั่นนี้

 

ธัชนนท์ นคราวงศ์ : นครราชสีมา มาสด้า

จากกองกลางคนสำคัญของ ตราด เอฟซี สู่การย้ายทีมยัง สิงห์ เชียงรายฯ แชมป์ไทยลีกฤดูกาลล่าสุด

อย่างไรก็ตามด้วยพื้นที่มิดฟิลด์ของ “กว่างโซ้ง” ที่แทบชนกันตาย ทำให้โอกาสของ “คอปเตอร์” มีให้ไม่มากอย่างที่คิด และเป็นทาง “สวาดแคท” ของ ธีระศักดิ์ โพธิ์อ้น ที่ขอดึงไปใช้งานในปีนี้

ความน่าสนใจของดีล ธัชนนท์ คือ ที่ผ่านมาโคราช ใช้ระบบกองกลางที่เป็นสไตล์ “ผึ่งงาน” มากกว่าจอมเทคนิค ทว่าฤดูกาลนี้จากการเปลี่ยนผ่านกุนซือ สโมสรปล่อยทั้ง อรรถพงษ์ หนูพรหม, กฤษดา เหมวิพัฒน์, นฤพน พุฒซ้อน ที่เป็นแกนหลักในแดนกลางออกทั้งหมด

ทำให้การมาของ ธัชนนท์ แทบการันตีตัวจริง 11 คนแรกภายในทีมเลยก็ว่าได้ และการวางบอล ลูกตั้งเตะของหมอนี่น่าจะช่วยเพิ่มมิติแนวรุกทีมได้มากโขเลยทีเดียว

ที่สำคัญเจ้าตัวจะได้ลงเล่นคู่กับ  วงศกร ชัยกุลเทวินทร์ เพื่อนร่วมทีมที่เล่นร่วมกันกับ ตราด เอฟซี ในปีก่อนอีกด้วย

 

เกียรติศักดิ์ เจียมอุดม : ราชบุรี มิตรผล

ในตำแหน่งแบ็กซ้าย หากไม่นับ เอกลักษณ์ ทองกริต ที่วัยปาเข้าไป 36 ปี และถูกฮุบไปเล่นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ก็เหลือเพียง อลงกรณ์ ประทุมวงศ์ แบ็กวัย 33 ที่ประจำการอยู่ฟากซ้าย เนื่องจากสโมสรปล่อยทั้ง ศาสนพงษ์ วัฒยุชูติกุล และ จิรวัฒน์ ทองแสงพราว (ยืมตัว) ออกไป

การเซ็นสัญญาคว้าตัว เกียรติศักดิ์ มาจาก ชัยนาท จึงเป็นดีลที่น่าสนใจและอาจตอบโจทย์รูปแบบทีมได้อย่างดี

ด้วยระบบของ “ราชันมังกร” ที่เล่นทั้งกองหลัง 3 และ 4 สลับกันไปแต่ละเกม ซึ่งแบ็กจอมลุยวัย 24 ปี รายนี้สามารถบู๊บุ๋นได้หมด เนื่องจากสมัยเล่นให้ “นกใหญ่พิฆาต” ก็ถูกจับเล่นทั้งตัวรับและรุก

แทน เป็นแบ็กสมัยใหม่ ที่มีทั้งความเร็ว ตามติดกัดคู่แข่งไม่ปล่อย มีจังหวะครอสบอลที่แม่นยำระดับหนึ่ง ซึ่งทำให้เขาไม่น่ามีปัญหากับการมาเล่นให้ ราชันมังกร อย่างแน่นอน

และน่าจะเป็นตัวเลือกแรกในตำแหน่งแบ็กซ้ายทีมในปีนี้ด้วยซ้ำ