มั่นคงเกินลมต้าน
นอริชจอมแสบ
นอริช นั้นถึงแม้จะเป็นทีมที่จมอยู่ท้ายตารางก็จริง แต่พวกเขาคือตัวแสบของทีมใหญ่อย่างแท้จริงครับ พวกเขาสามารถชนะ แมนฯ ซิตี้ได้ และสามารถตัดแต้มทีมใหญ่ๆ ได้หลายทีม ทั้งสเปอร์ - เลสเตอร์ - อาร์เซน่อลต่างทำแต้มตกหล่นกับพวกเขาทั้งนั้น เกมนี้ก็เช่นกัน พวกเขามาเล่นแบบเน้นรับอย่างมีระเบียบวินัย นักเตะทุกคนช่วยกันวิ่ง ไล่บอล และรักษาตำแหน่งของตัวเองได้เป็นอย่างดี พวกเขาทิ้งตัวรุกแค่ไม่กี่ตัวไว้ในแดนหน้านอกนั้นจะมาแพ็กเกมรับกันในแดนตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ลิเวอร์พูลอึดอัดมากพอสมควรตลอดครึ่งเวลาแรก และนอกจากนั้นพวกเขายังมีทีเด๋็ดในการสวนกลับที่น่ากลัวอีกด้วย โดยที่พวกเขามีตัวที่พลิกบอลเก่งๆ อย่างท็อดด์ แคนท์เวลล์ หรือ ออนเดรจ์ ดูด้า และมีกองหน้าที่หาที่ว่างและไลน์วิ่งเก่งๆ อย่าง ตีมู ปุ๊กกี้ ด้วย และเกือบที่จะได้ประตูขึ้นนำไปเสียด้วยจากจังหวะสวนกลับที่ ลูคัส รุปป์ หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปดวลกับอลีสซง แต่เขาเลือกที่จะส่งให้กับ ตีมู ปุ๊กกี้ แทนที่จะยิงเอง และเป็นความยอดเยี่ยมของพ่อหมีอลีสซง ที่อ่านทางออกและเข้าไปใช้มือตะปปปัดบอลก่อนจะไปเข้าเท้าปุ๊กกี้ได้อย่างยอดเยี่ยม นี่คือ 1 ในจุดเปลี่ยนของเกมอย่างแท้จริง ในเกมที่อึดอัดแบบนี้ถ้าลิเวอร์พูลโดนยิงนำไปก่อนก็ยังเดาไม่ออกเหมือนกันว่าเกมนี้จะจบแบบไหน และนั่นก็ทำให้ลิเวอร์พูลยังรักษาสกอร์ให้เท่ากับนอริชไว้ได้ในครึ่งแรกที่ 0-0 นั่นเอง
ปัจจัยไม่อำนวย
เกมนี้ลิเวอร์พูลเล่นได้อย่างยากลำบากจริงๆ ครับ นอกจากนอริชเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมแล้วปัจจัยทางธรรมชาติอย่าง “ลม” ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่สร้างความลำบากให้กับพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด เกมนี้กระแสลมรุนแรงมาก ซึ่งจะเห็นว่าในหลายๆ จังหวะตอนที่ตั้งลูกฟุตบอลเพื่อที่จะเตะมุมหรือเตะจากประตู ลูกฟุตบอลโดนลมพัดจนเปลี่ยนจุดอยุ่บ่อยครั้ง และมันมีผลต่อเกมของลิเวอร์พูลค่อนข้างเยอะ จากที่ทุกๆ คนรู้กันว่า หนึ่งในอาวุธเกมรุกของพวกเขาคือการ”โยนบอล” นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการครอส หรือ การวางบอลยาวจากแดนลึก แต่ในเมื่อลมแรงขนาดนี้การกะระยะหรือน้ำหนักของการโยนค่อนข้างจะมีปัญหามากทีเดียว และในครึ่งหลังยิ่งดูเหมือนว่ากระแสลมจะแรงขึ้นไปอีกระดับ ทำให้ลิเวอร์พูลที่ดูเหมือนจะครองเกมไว้ได้ทั้งหมด แต่ก็ไม่สามารถเจาะเกมรับของนอริช ได้เลย จนกระทั้งคล็อปป์ต้องแก้เกมเอา ซาดิโอมาเน่ และ ฟาบินโญ่ลงมา ซึ่งนี่แหละครับ คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของเกมนี้อย่างแท้จริง
จุดเปลี่ยน - มาเน่ มาแล้ว!!!!!
ลิเวอร์พูลนั้นเอามาเน่ ลงมาแทน อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่เกมนี้ดูเหมือนจะสร้างอันตรายได้น้อยเกินไปหน่อย กับ ฟาบินโญ่ ลงมาแทนไวนัลดุ้ม ที่เกมนี้ดูเหมือนหายไปจากเกมอยู่เหมือนกัน ทำให้รูปเกมเปลี่ยนไปจากเดิมพอสมควร คือ คล็อปป์จับเอานักเตะที่ฟอร์มแรงที่สุดคนนึงในขณะนี้อย่าง กัปตันเฮนโด้ ให้กลับมาเล่นตำแหน่ง บ๊อกซ์ทูบ็อกซ์ ที่เจ้าตัวถนัดเหมือนเดิม และ พอลิเวอร์พูลมีมาเน่ นั่นก็เหมือนว่าลิเวอร์พูลกลับมาเป็นทีมที่อันตรายสุดๆ อีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่มาเน่ลงมา เจ้าของตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของทวีปอาฟริกา ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างเด็ดดวง เขาสร้างความอันตรายให้กับแนวรับของนอริชได้อย่างมากมายมหาศาล และการมาของเขายังส่งผลให้แบ็กซ้ายอย่าง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน เล่นได้อย่างอันตรายมากขึ้นไปอีกด้วย จากการประสานงานอันเข้าขารู้ใจของทั้ง 2 คน ตั้งแต่ทั้ง 2 คนนี้ลงมาลิเวอร์พูลก็ค่อยๆ เพิ่มความดุดันและสร้างแรงกดดันให้กับแนวรับของนอริช มากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดแนวรับของนอริชก็พ่ายแพ้ในจังหวะที่ เฮนโด้มองเห็นจังหวะที่มาเน่สลัดตัวประกบทะลุเข้าในกรอบเขตโทษและวางให้มาเน่แม่นยำราวจับวาง และมาเน่ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสงามหลุดลอย จัดการจับบอลและตะบันยัดเสาแรกเข้าไปอย่างเด็ดขาด ถึงแม้จะมีจังหวะหวาดเสียวว่าจะเป็นการฟาวล์จากจังหวะที่เจ้าตัวสะบัดแขนใส่ตัวประกบ แต่สุดท้ายก็ไม่มีการเปลี่ยนผลการตัดสินใดๆ ทำให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำได้สำเร็จ และปลดปล่อยความกดดันออกจาบ่าของตัวเองได้เสียที
นับถอยหลัง
ในฤดูกาลนี้นั้น ลิเวอร์พูลได้พิสูจน์ตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าจริงๆ ครับ ว่าพวกเขาเหมาะสมที่จะเป็นแชมป์ไหม เรื่องความสามารถของนักเตะหรือโค้ชก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่ต้องยอมรับจริงๆ ว่าหัวใจของพวกเขาในตอนนี้นั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ และที่สำคัญพวกเขายังมุ่งมั่นและโฟกัสไปที่เป้าหมายหลักของพวกเขาแบบไม่มีวอกแวกเสียสมาธิไปมองทางอื่นจนลืมหรือลดความสำคัญของเป้าหมายแรกที่พวกเขาต้องการจริงๆ แต่อย่างใด วันนี้ก็เป็นอีกบทพิสูจน์อย่างดีมากๆ อีกครั้งหนึ่งครับ แม้ว่าพวกเขาจะได้พักไป 2 สัปดาห์เต็มๆ และแม้ว่าพวกเขาจะทำคะแนนทิ้งอันดับ 2 อย่างแมนฯซิตี้ไปถึง 22 คะแนนแล้ว และแม้ว่าพวกเขาจะมีเกมสำคัญในถ้วยแชมป์เปี้ยนลีกส์ในการปะทะกับแอตฯ มาดริด รอคอยอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่มีผ่อนคันเร่ง และยังจัดตัวแบบเต็มสูบในพรีเมียร์ลีกเหมือนเช่นเดิม เหมือนนัดแรกของปีที่พวกเขาลงสนาม เหมือนกับในตอนที่พวกเขายังคะแนนเท่ากับผู้ตามอยู่ทุกทีม จนมาถึงตอนนี้ไม่ต้องไปดูผลจากคู่อื่น ก็เหลืออีกเพียงแค่ 15 แต้มเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาได้แชมป์ไปแบบแน่นอน 100% และถึงใครๆ จะพูดว่าพรีเมียร์ลีก มันจบไปแล้ว แต่เจอร์เก้น คล๊อปป์และนักเตะในทีมทุกคนรู้ซึ้งดีครับ ว่าคำว่า “จบ” ก็คือในตอนที่ทุกอย่างมันจบแบบสมบูรณ์แบบแล้วจริงๆ และจะต้องไม่มีโอกาสเกิดการพลิกผันอะไรที่จะทำให้พวกเขาพลาดการเป็นแชมป์ในครั้งนี้แล้วจริงๆ
การรอคอยอันยาวนาน กำลังจะสิ้นสุดลงแล้วครับ ตอนนี้อยู่แค่ว่า “เมื่อไร” แค่นั้นเอง ... มานับถอยหลังไปพร้อมๆ กันนะครับ YNWA