นัดชิงชนะเลิศ คาราบาวคัพ วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะจัดหนักจัดเต็มใส่ทีมที่กำลังหนีตกชั้นอย่าง แอสตัน วิลล่า มากน้อยแค่ไหน?

'อิงลิชฟุตบอลลีกคัพ' หรือชื่อย่อ 'อีเอฟแอลคัพ' หรือชื่อที่เรียกกันสั้นๆ จนติดปากว่า 'ลีกคัพ' หรือชื่อที่เรียกตามสปอนเซอร์ของรายการ 'คาราบาวคัพ' ถือเป็นรายการที่มีความสำคัญเป็นอันดับสามรองจาก พรีเมียร์ลีก กับ เอฟเอ คัพ และถ้าเป็นทีมใหญ่ที่มีเกมยุโรปด้วยแล้ว ความสำคัญก็ถูกลดลงไปอยู่อันดับสี่

ทว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับทำให้เห็นถึงความสำคัญของรายการนี้ เพราะกวาดแชมป์ถึง 4 ครั้งจาก 6 ฤดูกาลหลังสุด เป็นผลงานของ มานูเอล เปเยกรินี่ 2 ครั้ง และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อีก 2 ครั้งใน 2 ซีซั่นหลัง

จริงๆ แล้ว ไม่ใช่แค่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรอก ที่ให้ความสำคัญกับ ลีกคัพ เพราะตลอด 5 ฤดูกาลหลังสุด บรรดา 'บิ๊กซิกซ์' ต่างผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศกันมาหมดแล้ว แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เข้าชิงปี 2016, 2018 และ 2019, ลิเวอร์พูล เข้าชิงปี 2016, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้าชิงปี 2017, เชลซี เข้าชิงปี 2015 กับ 2019, อาร์เซน่อล เข้าชิงปี 2018 และ สเปอร์ส เข้าชิงปี 2015

เพียงแต่ในบางฤดูกาล บางทีมอาจจำเป็นต้องทิ้งรายการนี้ ด้วยการส่งตัวสำรองหรือดาวรุ่งลงเล่นเยอะ หากอยู่ในช่วงโปรแกรมชุก เหมือนอย่างที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องจำใจส่งทีมยู-23 ลงเล่น เพราะติดภาระกิจเดินทางไปทำศึกฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ ในฤดูกาลนี้

แต่สำหรับซีซั่นที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เริ่มต้นฤดูกาลพรีเมียร์ลีกด้วยการแพ้ทีมน้องใหม่ นอริช ตั้งแต่เกมที่ 5 และแพ้คาบ้านต่อ วูลฟ์แฮมป์ตัน ตั้งแต่เกมที่ 8 ทำให้ เป๊ป เริ่มมองเห็นแล้วว่า เรือใบสีฟ้า ต้องคว้าทุกรายการที่เหลือ

ดังนั้นเกมรอบสามที่บุกเยือน เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ ทีมแกร่งของแชมเปี้ยนชิพ ราฮีม สเตอร์ลิง จึงถูกส่งลงยืนสามประสานแดนหน้าร่วมกับ กาเบรียล เชซุส และ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ขณะที่แดนกลางก็มีทั้ง ดาบิด ซิลบา และ อิลคาย กุนโดอาน ลงคุมเกม ผลก็คือ แมนฯ ซิตี้ บุกชนะ 3-0

เกมรอบสี่ได้ลงเล่นในบ้านเจอ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่ตอนนั้นอยู่ในโซนท้ายตารางพรีเมียร์ลีก เป๊ป เปลี่ยนสามแนวรุกมาเป็น เซร์คิโอ อเกวโร่, กาเบรียล เชซุส, ริยาด มาห์เรซ และยังถอย แบร์นาร์โด้ ซิลวา ไปยืนกองกลางอีก เป็นการจัดแนวรุกโหดขึ้นกว่ารอบที่แล้ว และ 'กุน' ก็ยิงสองประตูในชัยชนะ 3-1

รอบห้าเจอคู่แข่งที่อ่อนลงมาอย่าง อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด แต่ เป๊ป ก็ไม่ได้ปรับทีมอ่อนลงตาม ราฮีม สเตอร์ลิง, ริยาด มาห์เรซ, แบร์นาร์โด้ ซิลวา ดาหน้าทะลวงแนวรับทีมจากลีกวัน ก่อนจบเกมที่สกอร์ 3-1 สเตอร์ลิง ยิงอีกสองประตู

มาถึงรอบรองชนะเลิศ เป็นเกม 'แมนเชสเตอร์ดาร์บี้' เจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สองเกมเหย้า-เยือน โดยเกมแรกที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เป๊ป จัดเต็มเกือบครบสิบเอ็ดตำแหน่ง มีเพียง เคลาดิโอ บราโว่ มือสองที่ลงเฝ้าเสาครบทุกเกมในถ้วยนี้

แนวรุกยังเป็นสามหน้าเดิมจากรอบที่แล้ว และแดนกลางเรียงหน้ากระดาน เควิน เดอ บรอยน์, โรดรี้, อิลคาย กุนโดอาน ก่อนที่เกมรอบนี้จะจบลงตั้งแต่ 45 นาทีแรก จากสกอร์นำ 3-0 แม้จบเกมด้วยชัยชนะ 3-1 และนัดสองแพ้คาบ้าน 0-1 แต่ก็ไม่ส่งผลต่อการเข้าชิง ลีกคัพ เป็นฤดูกาลที่สามติดต่อกัน

นี่แสดงให้เห็นว่า เป๊ป ต้องหยิบแชมป์ใบนี้มาครอบครองให้ได้ และรอบชิงชนะเลิศที่ เวมบลีย์ อาจเป็นงานที่หนักกว่านี้ หากคู่แข่งเป็น เลสเตอร์ ซิตี้ แต่กลับเป็น แอสตัน วิลล่า ที่พลิกล็อกผ่านเข้าชิง ทั้งที่ตัวเองก็มีห่วงในการลุ้นหนีตกชั้นพรีเมียร์ลีก

เหตุการณ์แบบนี้ทำให้นึกย้อนกลับไปถึงซีซั่น 1996-97 เป็นปีที่อยู่ในความทรงจำอันเลวร้ายของ มิดเดิลสโบรช์ กับการผ่านเข้าชิงชนะเลิศทั้งลีกคัพ และเอฟเอคัพ แต่แพ้รอบชิงทั้งสองรายการ ยังไม่เจ็บปวดเท่ากับการตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกด้วย

หรือจะเป็นฤดูกาล 2012-13 ที่ วีแกน แอธเลติก พลิกล็อกทะลุเข้าถึงรอบชิง เอฟเอคัพ และเป็น เบน วัตสัน ที่ทำประตูชัยที่ เวมบลีย์ ในช่วงทดเจ็บพาทีมพลิกล็อกล้ม แมนฯ ซิตี้ 1-0 แต่ซีซั่นนั้น เดอะ ลาติกส์ ต้องตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก และเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นในลีกสูงสุดด้วย

แม้ความสำคัญของถ้วยเล็กๆ ใบนี้ จะห่างไกลจาก พรีเมียร์ลีก เป็นรองเอฟเอคัพ หรือถ้วยยุโรป แต่ อิงลิชฟุตบอลลีกคัพ หรือ คาราบาวคัพ เป็นถ้วยที่สร้างขวัญและกำลังใจได้ดีเสมอ กับการได้ชูโทรฟี่แรกของฤดูกาล

ไม่เชื่อถาม เป๊ป...