:::     :::

เกาเหลาที่แอนฟิลด์

วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
7,942
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ควันหลงหลังเกมลิเวอร์พูลเสมอเชลซี 1-1 ท่ามกลางข่าวมาเน่ไม่พอใจคล็อปป์ คล็อปป์ไม่พอใจผู้ตัดสิน ... ฤ จะมีเกาเหลาเกิดขึ้นที่แอนฟิลด์ ไปตามล่าหาความจริงกันครับ

ไม่น่าเชื่อว่าเกมที่ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเสมอกับเชลซี แชมป์เก่า 1-1 จะมีควันหลงออกมามายมาก ขนาดที่เอามาพูดกัน 3 วัน 3 คืน ยังไม่จบ !!


กลิ่นดราม่าเริ่มมาตั้งแต่ ลิเวอร์พูลเลือกที่จะโรเตชั่นทีมในเกมสำคัญเกมนี้ ดรอปซาดิโอ มาเน่ และโรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ไว้บนม้านั่งสำรองแล้วให้ดาเนี่ยล สเตอริดจ์ และอเล็ก อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน ลงสนามแทน ขณะที่กองกลางดันเจมส์ มิลเนอร์ ลงสนามแล้วพักจอร์จินโญ่ ไวจ์นาลดุม ไว้เป็นตัวสำรอง นอกจากจะได้พักผู้เล่นแล้ว คล็อปป์ยังหวังผลทางแทกติกเพื่อรับมือกับเอเดง อาซาร์ ของเชลซีที่กำลังฟอร์มเข้าฝักด้วย ขณะที่ทางเชลซีดรอปเชส ฟาเบรกาส แล้วส่งแดนนี่ ดริ่งค์วอเตอร์ ลงสนามเป็นตัวจริง หมายรับมือกับเกมรุกที่กำลังร้อนแรงของลิเวอร์พูล แน่นอนว่าการจัดทีมแบบไม่เต็มสูบของทั้ง 2 ทีม ทำเอาแฟนบอลวิพากษ์วิจารณ์กันตั้งแต่เห็นรายชื่อ 11 ตัวจริง 




แม้จะเล่นในบ้านของลิเวอร์พูล แต่ก็เป็นเชลซีที่เล่นได้ดีกว่า โดยเฉพาะในครึ่งแรกที่บุกได้น้ำได้เนื้อกว่าทีมเจ้าบ้านเยอะ กลับกันกับทีมเจ้าบ้านที่เหมือนจะพึ่งโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ได้แค่คนเดียว พอโดนผู้เล่นเชลซีรุมที 4-5 คน ก็เลยทำอะไรไม่ถนัดถนี่ เช่นเดียวกับคูตินโญ่ที่เกมนี้กองกลางของเชลซีอย่าง กองเต้ บากาโยโก้ และดริ้งค์วอเตอร์ ลงมาแพคเกมรับอย่างแน่นหนา ไม่ปล่อยโอกาสให้คูตินโญ่ได้ส่องเลย


เกมครึ่งแรกต้องบอกว่า เป็นครึ่งของเชลซีอย่างแท้จริงครับ โดยเฉพาะเอเดง อาซาร์ ที่ต้องยอมรับว่า เหนือชั้น !!


ครึ่งหลัง เกมของลิเวอร์พูลดีขึ้น คล็อปป์สลับเอาอ็อกซ์เลดไปอยู่ขวา ซาล่าห์ไปอยู่ซ้าย เพื่อที่จะเอาอ็อกซ์เลดมาช่วยป้องกันอาซาร์อีกคน ปิดการขึ้นเกมทางฝั่งซ้ายของทางเชลซี บังคับให้เชลซีขึ้นเกมได้แค่ทางขวาเท่านั้น (ฝั่งโมเรโน่) ตรงนี้วัดใจพอสมควร เพราะว่า โมเรโน่เองก็เพิ่งมีเกมที่ต้องบอกว่า แทบจะห่วยแตกที่สุด ในชีวิตการค้าแข้งของตัวเองกับลิเวอร์พูลมาในเกมที่แล้ว (เยือนเซบีย่า) 


โมเรโน่ตอบแทนความไว้ใจของคล็อปป์ในเกมนี้ได้เป็นอย่างดี เข้าสกัดสำเร็จ 8 ครั้ง เช่นเดียวกับแย่งบอลจากเท้าคู่แข่งสำเร็จ 8 ครั้ง ทุกอย่างมันจะเฟอร์เฟคกว่านี้ ถ้าลิเวอร์พูลชนะ !!


การแก้เกมของคล็อปป์ทำให้เกมรุกของลิเวอร์พูลดูน่ากลัวขึ้น เมื่อโม ซาล่าห์ และคูตินโญ่ประสานงานกันได้ลงตัว ก็เป็นที่มาของประตู 1-0 ที่คูตินโญ่ลากมาทางซ้ายก่อนผ่านเข้ากลางให้อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน ทิ่มนิ่มๆให้ซาล่าห์หลุดเข้าไปแปอย่างเลือดเย็น




ทำไมผมถึงบอกว่าเป็นการแก้เกมที่ดีของเจอร์เก้น คล็อปป์ ? ก็เพราะว่า การบังคับให้เชลซีบุกได้ด้านเดียว คือ ด้านขวา เท่ากับว่า ลิเวอร์พูลก็มีโอกาสสวนกลับทางด้านซ้ายมือของตัวเองด้วยเช่นกัน และมีมากกว่า 2-3 จังหวะที่ลิเวอร์พูลได้ประตูในเกมนี้จากการสวนขึ้นมาทางซ้าย


ถ้าคิดไม่ออก ให้คิดถึงลูกที่ได้ประตู และลูกที่คูตินโญ่แทงให้ซาล่าห์ เกือบหลุดเดี่ยวนั่นแหละครับ


แบบนี้ไม่เรียกว่า แก้เกม จะเรียกว่าอะไร ??


น่าเสียดายที่เชลซีเองก็แก้เกมได้ดีเช่นกัน ในเมื่อไม่จำเป็นต้องรัดกุมเกมรับแล้ว ก็ส่งตัวรุกมันลงมาทีเดียวเลย 3 ตัว หวังเอาประตูคืน และหากได้เร็ว อาจจะเอาถึงชนะ ตามสไตล์ของคอนเต้




แม้วิลเลี่ยนจะเป็นคนที่ลงมายิงตีเสมอได้ (เปิดบอลผิดเหลี่ยมเข้า) แต่คนที่ลงมาทำลายเชฟเกมรับของลิเวอร์พูลจริงๆ คือ เชส ฟาเบรกาส ครับ


ทันทีที่ฟาเบรกาสลงมานาทีที่ 73 เกมรุกของเชลซีที่เดิมโดนบีบให้เล่นได้แค่ฝั่งเดียวก็กลับมามีสีสันอีกครั้ง คราวนี้งานหนักของกองหลังทีมเจ้าบ้านแล้ว ว่าจะรับมืออย่างไร เพราะแทบไม่มีคนประกบฟาเบรกาสเลย (เสียคนไปกับการประกบอาซาร์แบบ 2 ต่อ 1) 


จนในที่สุด ลิเวอร์พูลก็มาพลาดท่า เสียประตูจนได้ โอเคแม้จะไม่ใช่ลูกที่จะตั้งใจให้เข้าก็ตาม (ถ้าเปิดไม่ผิดเหลี่ยม ลูกนี้ครอสข้ามมาจะล้ำหน้าโมราต้าที่ยืนรอที่เสาสอง) แต่นั่นก็เริ่มมาจากการที่เชลซีแก้เกมได้อย่างรวดเร็ว


กลับมามองที่ลิเวอร์พูล ข้างสนามเห็นลัลลาน่ายืนรออยู่นานพอสมควร แต่ไม่โดนเปลี่ยนลงสนามสักที จนมารู้หลังเกมว่า คล็อปป์จะเปลี่ยนลัลลาน่าลง แต่กรรมการไม่ให้เปลี่ยนเพราะคิดว่าจะถ่วงเวลา !!




เมื่อไล่เรียงเหตุการณ์ลงไปอีก ก็เจอเรื่องที่ตลกกว่า นั่นคือ ผู้ตัดสินที่ 4 บอกว่า ตัวเขาเองถามกลับไปยังสตาฟฟ์โค้ชของลิเวอร์พูลถึง 6 ครั้ง ว่าพร้อมที่จะเปลี่ยนตัวหรือยัง แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับใดๆจากสตาฟฟ์ แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องก่อนที่จะเสียประตู ทั้งสิ้น


งานนี้ คนที่รับผิดชอบไปเต็มๆ ก็คือ โค้ชผู้รักษาประตูอย่าง จอห์น อัชเตอร์เบิร์ก ที่เป็นคนประสานงานกับผู้ตัดสินที่ 4 




นักข่าววงในอย่างพอล จอยช์ ของ เดอะ ไทม์ บอกว่าเรื่องนี้ทำเอาเซลจ์โก บูวัช มือขวาของคล็อปป์หัวเสีย จนไม่ยอมพูดกับอัชเตอร์เบิร์กหลังเกมเลยทีเดียว ต้องตามกันต่อว่า คู่นี้จะเกาเหลากันจริงหรือไม่


งานนี้เป็นบทเรียนที่ดีของลิเวอร์พูลครับ คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีก


ผลเสมอกับแชมป์เก่า จริงๆมันไม่ได้เสียหายอะไรเท่าไหร่ อาจจะแค่เสียดาย แต่ถ้าดูจากรูปเกมแล้ว ผลเสมอก็ยุติธรรมดีกับทั้ง 2 ฝ่าย 


ตำแหน่งแชมป์เวลานี้ แทบจะไม่มีใครกล้าสู้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้แล้ว แต่สำหรับอันดับ ท็อป 4 แล้ว ทุกทีมยังมีโอกาสครับ 


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด