:::     :::

"COVID-19 กับโลกฟุตบอล" และชัยชนะที่มันจะไม่มีวันได้ไป

วันพุธที่ 08 เมษายน 2563 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
1,935
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
COVID-19 กับผลกระทบต่อวงการฟุตบอลภาพรวม เกิดอะไรขึ้นบ้าง และกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอันเป็นที่รักของเรานั้น ในตอนนี้พวกเขาเป็นยังไงกันบ้าง ในวันที่ไม่มีฟุตบอลให้ลงแข่ง

ไม่น่าเชื่อว่า เพียงระยะเวลาแค่หนึ่งเดือน โลกได้เปลี่ยนโฉมหน้าจากที่เราเคยรู้จักมาตลอดชีวิต 20-30ปี ของมนุษย์แต่ละคน แปรผันกลายเป็นเหมือนเหตุการณ์ที่เคยอยู่แต่ในหนังฮอลลีวูดที่เคยสร้างขึ้นมาหลายต่อหลายเรื่อง แต่บัดนี้สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นความจริงแล้ว และเป็นความจริงที่โหดร้ายเหนือกว่าในหนังซะอีก เพราะการที่เราได้รับชมเรื่องราวเหล่านั้น มันก็มีเพียงแค่ไม่กี่แง่มุมที่นำเสนอออกมาบนหน้าจอให้ได้ดูเท่านั้น ซึ่งเราอาจจะได้เห็นการเดินทางของพระเอก การหนีตายของครอบครัวนางเอก ได้เห็นภาพภัยพิบัติที่ทำให้เมืองมนุษย์ไม่เหลือสภาพความเป็นเมือง

แต่จริงๆยังมีเรื่องราวเบื้องลึกที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าที่หนังหนึ่งเรื่องจะนำเสนอได้


COVID-19 มันไม่ได้มีแค่เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องของการติดต่อและแพร่เชื้อผ่านละอองฝอยdropletและสัมผัสเชื้อมาจากที่ต่างๆเท่านั้น

แต่มิติทางสังคม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของพวกเราทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกผลกระทบเรื่องนี้เข้าเต็มๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องที่ "หนังไม่เคยนำเสนอ" อย่างสภาวะการที่คนเริ่มตกงาน ธุรกรรมต่างๆหยุด การติดต่อค้าขายชะงัก พอไม่มีงานทำ ตกงาน ก็ไม่มีเงินซื้อข้าวกิน รวมถึงความรู้สึกและความสัมพันธ์ในสังคมมนุษย์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างหลังจากนี้หากผ่านพ้นไปได้ โลกเราจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า New Normal อย่างแน่นอน (ความปกติในรูปแบบใหม่)

ซึ่งมันคือความเปลี่ยนแปลง

ภาพรวมระหว่างนี้เราในฐานะคนไทยก็มีแต่จะต้องปฏิบัติตัวให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าคิดว่ามันไกลตัวอีกต่อไป หากไม่อยากให้เกิดการสูญเสียขึ้น เหมือนอย่างเรื่องที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ คุณจะต้องระวังให้มากที่สุดเหมือนกับว่า ทุกที่มันมีเชื้อโรค ทุกคนที่เจออาจจะเป็นพาหะไปหมดแล้ว(เหมือนในหนัง)  ถ้าเราระมัดระวังอย่างถึงที่สุด เซฟที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่าคนที่พยายามทำทุกอย่างให้ปลอดภัยนั้นจะสามารถเอาตัวรอดไปจากสภาวะนี้ซึ่งจะอยู่กับเราไปอีกนานหลายเดือน จนอาจจะคลี่คลายอีกทีก็ปลายปีเลย

บางคนอาจจะนึกไปว่า มันคือNatural Selection การคัดสรรทางธรรมชาติ แต่เอาเข้าจริงนี่มันไม่ใช่สิ่งนั้นหรอก เพราะคนที่รอด ไม่ได้แปลว่าสภาพร่างกายของเค้ามันเหมาะสมและควรที่จะอยู่สืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไป ในขณะที่คนที่ตาย แปลว่าเขาไม่สมควรมีชีวิตอยู่เช่นนั้นหรือ?

ลองให้เกิดขึ้นกับครอบครัวก่อน เราอาจจะไม่กล้าพูดว่ามันคือNatural Selectionก็เป็นได้

ดังนั้นจะเห็นแล้วว่า มนุษย์เราไม่สามารถประมาทเชื้อไวรัสตัวนี้ได้เลยเพราะมันไม่เลือกจริงๆ ต่อให้ร่างกายแข็งแรง ภูมิคุ้มกันดี โอกาสติดก็ยังเท่าๆกันอยู่ดีหากไปรับเชื้อมาจากที่ไหนก็ตามโดยไม่รู้ตัว อาจจะไปเจอคนเป็นพาหะที่ไม่แสดงอาการ หรือพลาดสัมผัสจุดที่มีเชื้อโรคก็ได้ พวกเราไม่มีทางรู้


แล้วเรื่องฟุตบอลของเราล่ะ?

ก็อย่างที่เห็นกัน ตอนนี้องค์กรต่างๆก็ประกาศเลื่อนการแข่งขันฟุตบอลและกิจกรรมทุกอย่างออกไปอย่างไม่มีกำหนด ลีกบางลีกที่ไม่มีผลตอบแทนก้อนใหญ่มากนักก็ประกาศโมฆะยกเลิกผลการแข่งขันที่ยังแข่งไม่จบไปแล้ว ส่วนลีกใหญ่ๆที่เม็ดเงินมหาศาลนั้นก็ยืดระยะเวลาออกไปเพื่อรอให้สถานการณ์มันดีขึ้น เพื่อที่จะกลับมาแข่งขันต่อให้จบด้วยวิธีการใดสักอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเตะในสนามปิดไม่ต้องมีคนดู เพื่อหยุดการแพร่ระบาด

หรือกระทั่งการย้ายสนามไปเตะในประเทศที่ปลอดภัยจากการแพร่กระจายเชื้อไวรัส อย่างเช่นประเทศจีนเป็นต้นเพื่อหนีศูนย์กลางใหญ่ของการแพร่ระบาดซึ่งตอนนี้ไปหนักที่สหรัฐอเมริกาแล้ว และสถานการณ์ของยุโรปเองก็ยังไม่นิ่งเท่าไหร่ ยังคงแย่เหมือนเดิม


คนในวงการฟุตบอลมีหลายรายมากๆที่ติดเชื้อCOVID-19เข้าไป รายใหญ่ที่เป็นข่าวดังๆมีหลายรายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายของดิบาล่า เฟลไลนี่ รูกานี แกบเบียดินี่  ฮัดสันโอดอย เป็นต้น พวกนี้คือคนที่ติดเชื้อตามข่าวที่เกิดขึ้น และในส่วนของบุคลากรทางฟุตบอล แน่นอนว่าไม่มีใครน่าตกใจเท่ากับรายแรกๆอย่าง มิเกล อาร์เตต้า ผู้จัดการทีมอาร์เซนอลนั่นเอง

สิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้ ทำให้พวกเราเห็นอะไรได้บ้าง อย่างแรกสุดเลยก็คือ โรคนี้มันไม่เลือกคนว่าจะแข็งแรง หรืออ่อนแอ จะยากดีมีจน มีคุณภาพชีวิตที่ดียังไง ต่อให้ร่างกายแข็งแกร่งระดับนักฟุตบอลชั้นแนวหน้าของโลก ก็ยังมีโอกาสได้รับเชื้อโควิด19นี้ไม่ต่างกับตาสีตาสาชาวบ้านทั่วไปเช่นกัน โรคมันไม่เลือกคนจริงๆ ซึ่งหากโชคร้ายไปเจอกับคนที่สภาพร่างกายทนทานกับโรคนี้ไม่ได้พอดี ก็อาจจะต้องเสียชีวิต

ก็ได้แต่หวังว่า บุคลากรในโลกฟุตบอลทุกคนที่ติดเชื้อนี้นั้น ขอให้ทุกคนมีอาการที่ดีขึ้น ปลอดภัย และหายกลับมาให้เร็วที่สุดโดยที่ได้รับผลกระทบกับร่างกายน้อยสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จะได้เป็นหนึ่งกำลังใจให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ด้วยว่า โรคที่ว่ามันสามารถหายได้ เราจะได้มีกำลังใจในการใช้ชีวิตสู้มันต่อไป เรื่องราวของโรคนี้ในวงการฟุตบอลจึงเป็นอีกหนึ่งส่วนเล็กๆที่จะทำให้เราเดินต่อไปได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

get well soon Felli

สภาวะการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อย่างที่บอกไปแล้วเบื้องต้นว่า มันไม่ได้มีเพียงแค่มิติของ "โรคภัยและการแพร่เชื้อ" ที่เราเห็นกันเพียงฉากหน้าอย่างเดียวเท่านั้น  แต่สภาวะทางสังคม เศรษฐกิจ มันโดนผลกระทบรุนแรงมากไม่ต่างกับความอันตรายของเชื้อที่ว่านี้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องงาน เงิน อาหาร ซึ่งหากยังตึงเครียดและคนบางส่วนไม่มีรายได้เข้ามาแล้ว อะไรจะตามมาหลายคนคงจะทราบกันดีแต่ไม่อยากเอ่ยถึง นั่นก็คือเรื่องของโจร ขโมย และคดีอาชญากรรมที่อาจจะเริ่มเกิดมากขึ้นเรื่อยๆถ้าคนบางคนจนตรอกและทำสิ่งที่ไม่ควรทำ  หากมีเรื่องของอาชญากรรมขึ้นมาอีกทาง ซึ่งมีแน่ๆนั้น เราก็จะยิ่งใช้ชีวิตกันลำบากมากขึ้นไปอีก

ในวงการฟุตบอล เชื่อว่าหลายๆคนจะเห็นข่าวกันแล้วว่า หลายๆสโมสรชื่อดังยักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสโมสรของพวกเราเองอย่างManchester Unitedนั้นก็ได้มีการดูแลเรื่องนี้อย่างดีมากๆ ผมเชื่อว่า แฟนปีศาจแดงน่าจะภูมิใจและยืดอกกับ "สถาบัน" ของเราที่เข้มแข็งมากจริงๆ


แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดประกาศว่าจะไม่รับความช่วยเหลือของภาครัฐบาลอังกฤษ และเราจะยังคงจ่ายเงินเดือนให้กับบุคลากรในสโมสรอย่างเต็มที่เหมือนเดิม รวมถึงเหล่าสต๊าฟที่ทำงานในวันแข่งที่เป็นแมตช์เดย์ต่างๆเหล่านั้น  จำนวนนัดที่ยังคงเหลืออยู่ในซีซั่นที่ผ่านมา คนเหล่านั้นได้รับการยืนยันว่าจะได้เงินค่าจ้างครบนัดอย่างแน่นอน

และนอกจากนี้แล้ว แมนยูไนเต็ดเองยังได้ให้บุคลากรในสโมสรของพวกเรากว่า900คนเนี่ยแหละ ออกไปเป็นอาสาสมัครในการช่วยเหลือสังคมอีก

ซึ่งการตัดสินใจปฏิเสธเงินอุดหนุนจากรัฐดังกล่าวนั้นออกมาจากตระกูลเกลเซอร์โดยตรง ซึ่งเรื่องนี้ทำได้ดี ต้องขอชื่นชมมากๆ เพราะทันทีที่รัฐประกาศในวันที่20มีนาคม เกลเซอร์ก็บอกปัดทันที และเรายืนยันที่จะดูแลพนักงานของเราเองด้วยเงินสำรองช่วยเหลือมากกว่าร้อยล้านปอนด์ที่จะถูกนำมาใช้ในสถานการณ์นี้ และพวกเราไม่ต้องการรับความช่วยเหลือที่ว่า ซึ่งขณะเดียวกันบางสโมสรที่ประกาศจะรับความช่วยเหลือด้วยเงิน80%นั้นก็ถูกถล่มไปแล้วเรียบร้อยจากภายนอกและจากแฟนทีมตัวเอง (ไม่เกี่ยวกับเรานะ เราทำดีแล้วก็เป็นส่วนของเรา ไม่ต้องสนใจการตัดสินใจคนอื่น)

เรื่องนี้ขอคารวะเอ็ด และตระกูลเกลเซอร์เลย

ส่วนหนึ่งแล้วนั้น แมนยูไนเต็ดแสดงจุดยืนที่ชัดเจนอยู่เสมอที่จะสร้างแบรนด์ของเราให้มันสะอาดเป็นแบบ Clean Brand อยู่เสมอ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพันธมิตรการเงินของเราได้อีกด้วย และยังดูแลคนในสังกัดได้เอง ดูแลสังคมภายนอกเพิ่มเติมได้อีกเพราะมีเหลือพอจะช่วยคนอื่นได้

คือมันน่าภูมิใจเข้าขั้นตื้นตันใจเลยนะ ยิ่งเป็นทีมที่เรารัก แล้วมีนโยบายและแผนการคืนกำไรสู่สังคมเช่นนี้ มันยิ่งทำให้เราเชื่อว่านี่ไม่ใช่แค่สโมสรที่จะมาเตะๆๆๆฟุตบอลกันอย่างเดียว แต่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคือสถาบันที่เข้มแข็ง และจะยืนหยัดฝ่าทุกๆอย่างไปได้อย่างแน่นอน เหมือนที่เคยเป็นมาตลอดประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของที่นี่

เชียร์ทีมไม่ผิดจริงๆ


เช่นเดียวกัน สโมสรเพื่อนบ้านที่ไม่น่ารำคาญอีกแล้วในวินาทีนี้อย่าง แมนเชสเตอร์ซิตี้ ก็เป็นอีกสโมสรที่ประกาศตัวชัดเจนว่า จะไม่รับเงินอุดหนุนจากทางภาครัฐ และก็จะจ่ายเงินให้สต๊าฟของพวกเขาด้วยตัวเองเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าการดำเนินงานของสโมสรคู่แห่งเมืองแมนเชสเตอร์นั้นค่อนข้างมั่นคง แข็งแกร่ง นอกจากยืนได้ด้วยตัวเองยังไม่พอ ยัง"เหลือ" ที่จะบริหารให้คนของเราไปแบ่งปันแก่สังคมโลกที่กำลังเดือดร้อนอีก โดยที่ไม่จำเป็นต้องมานั่งแยกแยะว่า นี่แฟนบอลใคร นี่แฟนทีมเรา 

เพราะในเมื่อโรคนี้ไม่เลือกทีม สโมสรของพวกเราก็ช่วยเหลือโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชังเช่นเดียวกัน


ความเข้มแข็งนี้ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และแมนเชสเตอร์ซิตี้นั้น เป็น "ตัวอย่างที่ดี" มากๆที่สะท้อนให้เห็นว่า แม้กระทั่งในโลกฟุตบอล ถึงเราจะโดนผลกระทบเต็มๆมากที่สุดเรื่องนึงบนโลกนี้ เพราะมันเป็นกิจกรรมที่มีรายได้ผ่านการ "รวมตัวกันของคน" ทั้งการดูสด หรือชมผ่านโทรทัศน์ก็ตามที  พอมีสภาวะที่คนจำเป็นต้องหนีห่างจากกัน  รายได้และเงินค่าถ่ายทอดต่างๆก็หยุดชะงักลงเช่นกัน แต่พวกเขาก็ยังคงต้องดูแลพนักงานต่อไป

การที่ยูไนเต็ดเป็นทีมที่พึ่งพารายได้ที่หามาด้วยตัวเอง และมีแบรนด์ที่เข้มแข็งมากของโลกนี้นั้น มันทำให้สโมสรเราสายป่านยาวพอที่จะยืนหยัดให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ และผมเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ เราจะเข้มแข็งกว่าเดิมอีกเท่าตัว

เพราะความแข็งแรงของภาคองค์กรนี่แหละที่เป็นตัวชี้วัดทุกสิ่งทุกอย่าง

เรื่องราวของยูไนเต็ดและซิตี้นั้นถือเป็นcase studyตัวอย่างที่ดีมากๆในโลกฟุตบอลว่า หากเราพอจะช่วยเหลือสังคมทางใดทางหนึ่งได้ เราก็จะทำ ซึ่งนี่แหละมันจะทำให้ภาคฟุตบอล มันหลอมรวมกับวิถีชีวิตของคนเป็นเนื้อเดียวกันมากขึ้น  ฟุตบอลจะไม่ใช่เพียงความบันเทิงที่อยู่หน้าจอ หรือในสนามอย่างเดียวอีกต่อไป แค่ดูแล้วก็จบๆเป็นแมตช์ๆ

แต่ฟุตบอลมันคือส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของพวกเราต่างหาก United กับ City ได้แสดงให้เห็นถึงสิ่งนี้แล้ว


นอกจากส่วนของมหภาคระดับองค์กรแล้วนั้น สถาบันที่ย่อยลงมาก็คือ "นักฟุตบอล"  สถานการณ์เช่นนี้เราได้เห็นอะไรบ้าง ที่แน่ๆก็คือได้เห็น "น้ำใจ" ของนักบอลหลายๆคนที่เต็มใจจะบริจาคและลดค่าเหนื่อยของตนเองลง ไม่ว่าจะครึ่งหนึ่งหรือ30%ก็ตามที เพื่อที่จะลดภาระให้สโมสรต้นสังกัด  บางคนหักเงินตัวเองเพื่อที่จะบริจาคให้องค์กรที่แก้ปัญหาเรื่องโควิดนี้อยู่ แต่ในขณะที่นักเตะบางส่วน ก็อาจจะไม่โอเคที่จะบริจาค และอยากจะเอาเงินไปลงช่วยเหลือบ้านเกิดของตนเองมากกว่า

เรื่องเหล่านี้ไม่ว่ากัน ถือเป็นสิ่งที่พวกเขาจะไปตกลงกันเองในสมาคมนักฟุตบอล

แต่เรื่องนี้มันทำให้เราได้เห็นหัวใจของมนุษย์คนหนึ่งที่มีจิตเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก ทั้งที่พวกเขาเองไม่ต้องออกมาเคลื่อนไหว ประกาศหรือtake actionใดๆทั้งสิ้นเลยก็ได้ แต่บางคนในบรรดาเหล่านั้นก็เลือกที่จะทำ เช่นเอ็ด วู้ดเวิร์ด ที่ลองนำเรื่องนี้ไปปรึกษากัปตันทีมอย่าง แฮรี่ แมกไกวร์ เรื่องที่จะลดค่าเหนื่อยนักฟุตบอลลงชั่วคราวเพื่อเอาเงินไปบริจาคให้หน่วยงานที่สู้เรื่องนี้อยู่อย่าง NHS หรือสำนักงานบริการด้านของสุขภาพประเทศอังกฤษ (คล้ายๆสาธารณสุขบ้านเรา)

แฮรี่ แมกไกวร์ อาจจะไม่ได้เป็นผู้นำในรูปแบบของรอย คีน หรือ แกรี่ เนวิลล์ แต่นี่แหละคือบุคคลที่มีสภาวะผู้นำสูงลิบลิ่วของจริง และมันมาพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่า "ความรับผิดชอบ"  และ "จิตสำนึกสาธารณะ" ที่สูงมากๆด้วย


ยิ่งเห็นข่าวแบบนี้ยิ่งทำให้รู้สึกรักและชื่นชมแฮรี่ แมกไกวร์ ยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะเขามีจิตสำนึกสูงมากจริงๆ

นอกจากนี้ที่เรารู้ข่าวกันอย่างเช่น เจ้าหนูมาร์คัส แรชฟอร์ด กองหน้าของพวกเราที่ไประดมทุนได้เงินกว่า20ล้านเพื่อบริจาคอาหารเด็กในช่วงเจอโควิด-19 เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนเช่น วิลเฟร็ด ซาฮา หรือ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ก็ช่วยเหลือในเรื่องราวต่างๆเท่าที่ตัวเองจะทำได้


สุดท้ายนี้กับข่าวเศร้าเมื่อสองวันที่แล้ว เมื่อมีการประกาศว่า มารดาของเป๊ป กวาดิโอลาร์ นั่นก็คือคุณแม่โดเวอร์ ซาล่า การ์ริโอ้ Dolors Sala Carrió วัย82ปีของเป๊ปได้เสียชีวิตลงไปเพราะติดCOVID-19 ที่Manresa, Barcelona เรื่องนี้ถือเป็นข่าวที่ทำร้ายความรู้สึกแฟนบอลมากพอสมควรเลย ต่อให้เป็นแฟนบอลที่เชียร์ทีมตรงข้ามเขาอย่างแฟนแมนยูก็ตามที แฟนลิเวอร์พูล หรือใครก็แล้วแต่ เมื่อได้ยินข่าวนี้ผมเชื่อว่า หัวใจทุกดวงส่งไปหาเป๊ปอย่างแน่นอน

และเวลานี้โลกฟุตบอลนั้น"ไร้พรมแดน" อย่างแท้จริง

ไม่มีแบ่งเขา ไม่มีแบ่งเรา  ไม่มีแฟนเป็ด ไม่มีผีกาก ไม่มีเพื่อนบ้านน่ารำคาญ ไม่มีสามล้อถูกหวย หรือนักเลงถ่อยที่ไหนอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่มีอยู่ตอนนี้มันคือ World's Unity "ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนทั้งโลก" ที่จะร่วมมือกันทั้งหมดเพื่อที่จะผ่านหายนะที่กำลังเกิดกับเผ่าพันธุ์เราตอนนี้ไปให้ได้


โดยที่มันก็เป็นเหมือนการย่อส่วน "ตัวอย่างของสังคมโลกทั้งใบ" ให้เล็กลงมาแค่แวดวงฟุตบอลนั่นเอง

วงการฟุตบอลทำให้เราเห็นว่า องค์กรไหนจะเข้มแข็งหรือไม่ ให้ดูที่สถานการณ์ไม่ปกติมากๆเช่นนี้ เรารับรู้ได้เลยทันทีว่า วิธีปฏิบัติและแนวความคิดของทีมที่เราเชียร์อยู่นั้นเป็นยังไง

วงการฟุตบอลทำให้โลกเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ คุณก็มีสิทธิ์ที่จะเจอเชื้อนี้ได้หมดหากพลาดรับเชื้อมา หรือป้องกันตัวเองยังไม่ปลอดภัยพอ  มันจะส่งผลให้คนเกิด States of Consciousness สภาวะรับรู้ตัวเองได้ว่า ควรจะระมัดระวังมากขึ้นอีกเพียงใด

วงการฟุตบอลทำให้เห็นว่า น้ำใจ ยังเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงไม่ว่าจะชาติไหนๆ ผ่านการแบ่งปันของสถาบันใหญ่อย่างแมนยูไนเต็ดและแมนซิตี้ ในช่วงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ ไม่ได้เพียงแต่จะหากำไรจากแฟนบอลอย่างเดียว แต่ยังคืนสิ่งดีๆให้สังคมในลักษณะของการ "เกื้อกูลกัน" อีกด้วย

วงการฟุตบอลทำให้เราเห็นความเสียสละของผู้มีรายได้สูง และสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้สบายอย่างนักฟุตบอล ในการลดรายได้ของตัวเอง และพร้อมที่จะบริจาคให้องค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะภายในลีกที่ค้าแข้งอยู่ หรือจะบริจาคให้ประเทศตัวเองเหมือนอย่างที่เป๊ปที่มอบเงินหนึ่งล้านให้กับเมืองบ้านเกิดของเขาในการต้านโควิดเองก็ตาม สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นการเสียสละทานให้แก่ผู้อื่นในช่วงเวลาเช่นนี้  ไม่ได้ใช่ว่าจะตระหนี่เห็นแก่ตัว และเอาแต่ตัวเองรอดกันอย่างเดียว

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันทำให้ผมมั่นใจ และแน่ใจว่า มนุษยชาติจะต้องผ่านสถานการณ์นี้ไปได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะวงการฟุตบอลทำให้เห็นแล้วว่า มนุษย์เราเมื่อถึงเวลา เราก็ร่วมมือร่วมใจกันได้ทุกอย่างจริงๆไม่มีต้องแบ่งเขาแบ่งเรา แต่ทุกคนคือunityหนึ่งเดียวกันที่จะเดินไปด้วยกัน และช่วยเหลือกันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

เอาจริงๆเลยนะตอนนี้ อย่าว่าแต่เรื่องฟุตบอลเลย เอาแค่เรื่องของชีวิตพวกเราเองนี่แหละ ทำยังไงก็ได้ให้ผ่านพ้นเรื่องราวตรงนี้ไปให้ได้ก่อน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ทั้งด้านปากท้อง เงินทอง ข้าวปลาอาการ และด้านความปลอดภัยที่ต้องระวังตัวจากโรคนี้อีก

ลืมเรื่องของความบันเทิง ความสุขสบายไปก่อนได้เลย


เราอยู่ในสถานการณ์ที่คนในGenerationนี้ไม่เคยได้พบได้เห็นกันมาก่อน  และเราจะต้องผ่านมันไปให้ได้ ขอส่งกำลังใจให้กับ "คนรักฟุตบอล" ทุกคนไม่ว่าคุณจะอยู่ทีมไหนๆ ขอให้พวกคุณปลอดภัย และเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ไปให้ได้โดยที่เสียหายน้อยที่สุด หรือไม่เสียหายเลยถ้าเป็นไปได้

ไม่ใช่แค่คนที่อ่านบทความนี้เท่านั้น แต่ขอให้ทุกคนที่แม้จะไม่ได้อ่านสิ่งนี้ก็ตามที

"ขอให้ทุกๆคนปลอดภัย"

COVID-19 มันอาจจะทำให้วิถีชีวิตของพวกเราเปลี่ยนไป อาจจะทำให้ฟุตบอลแข่งขันต่อไม่ได้ อาจจะทำให้หลายๆคนต้องเสียชีวิตไปจากเหตุการณ์นี้ แต่มันก็ทำได้แค่นั้นแหละ

COVID-19จะไม่มีวันได้ชัยชนะจากมนุษย์เราบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน

เพราะพวกเราแสดง"หัวใจที่แข็งแกร่ง" ให้มันเห็นแล้ว

หากจะเปรียบเปรยสถานการณ์การแพร่ระบาดของCOVID-19 และการรับมือของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นแมตช์การแข่งขันเผชิญหน้ากันของ Man United VS COVID แล้วละก็.. ทั้งหมดที่อ่านมา และสิ่งที่ยูไนเต็ดเทคแอคชั่นดำเนินการในช่วงเวลาเช่นนี้นั้น ผมบอกได้เลยว่า เราสามารถทายสกอร์ผลลัพธ์ของการแข่งขันครั้งนี้ได้คร่าวๆเลยว่า

สกอร์ที่คาด Manchester United 20 19 COVID

แมนยูจะชนะในแมตช์เจอกับโควิดอย่างแน่นอน ผมมั่นใจ

#BELIEVE

-ศาลาผี-


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด