เกมเปลี่ยนถ้ามี 'วีเออาร์'
กับโลกฟุตบอล แน่นอนอย่างที่เราทุกคนรู้กัน มันก็คือ "วีเออาร์" หรือตัวช่วยสำหรับผู้ตัดการสินให้มีความถูกต้องมากขึ้น โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในเกมยูเอสแอลลีกหรือลีกรองของ สหรัฐ อเมริกา
หลังจากนั้นเทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายไปทั่วโลก มีทั้งเสียงสนับสนุนและเสียงคัดค้าน รวมถึงปัญหาอรรถรสในการชมเกมที่ต้องหยุดชะงัก รวมถึงนักเตะที่ทำเข้าประตูพร้อมดีใจสุดเหวี่ยง สุดท้ายโดนริบประตู
และถึงได้ประตู อารมณ์ดีใจมันก็ถูกลดทอนลงไปเยอะเหมือนกันนั่นแหละ
การมีวีเออาร์ทำให้หวนนึกถึงหลายเหตุการณ์ในโลกฟุตบอลที่เกิดความไม่ยุติธรรมขึ้น หรือจะการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้ตัดสิน แม้จะไม่ได้บอกว่ามันทำให้ผลการแข่งขันเปลี่ยน แต่มันทำให้เกมเปลี่ยนแน่ๆล่ะ
ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นเกิดขึ้นในยุคนี้ล่ะก็ หน้าประวัติศาสตร์อาจจะเปลี่ยนไป
ล้ำหน้า - คาร์ลอส เตเวซ
ฟุตบอลโลก 2010
อาร์เจนติน่า - เม็กซิโก
หนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ อาร์เจนติน่า และในคราวนี้ก็เป็นอีกครั้งที่พวกเขาได้ประโยชน์
"ฟ้า-ขาว" ภายใต้การนำทัพของ ดีเอโก้ มาราโดน่า ที่ผันตัวเองมาเป็นผู้จัดการทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในรอบแบ่งกลุ่มด้วยการเก็บชัยชนะ 3 เกมรวด ยิงได้ 7 ประตูและเสียแค่ 1 ประตูเท่านั้น
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายถือเป็นอะไรที่น่าผิดหวังกับการตัดสินของทีมงานจากอิตาลีที่นำโดย โรแบร์โต้ โรเซ็ตติ เชิ้ตดำคนดัง
ประตูแรกของเกมเกิดขึ้นในนาทีที่ 26 จังหวะที่ ลิโอเนล เมสซี่ จ่ายบอลทะลุช่องให้ คาร์ลอส เตเวซ ทะลุกับดักล้ำหน้าเข้าเขตโทษแต่ ออสการ์ เปเรซ มือกาวของ เม็กซิโก ออกมาบล็อคได้ซึ่งบอลมาเข้า เมสซี่ ยิงสวนบอลไม่ได้แรงมาก แต่ เตเวซ ที่ถลำไปในจังหวะแรกอยู่ตรงนั้นแล้วโหม่งเข้าไป
แต่จากภาพช้านั้น กองหน้าคนดังอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า แถมต้องใช้คำว่า "ล้ำหน้าชัดๆ" สุดท้ายเกมนั้น อาร์เจนติน่า เอาชนะไป 3-1 ก่อนจะไปพ่าย เยอรมัน 0-4 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
จังหวะประตูแรกที่ต้องบอกว่า เตเวซ ล้ำหน้าน่าเกลียดจริงๆ ไม่น่าเชื่อที่ผู้กำกับเส้นจะมองไม่เห็น
กลับมาที่ปัจจุบันเราได้เห็นกันมาแล้วว่าการล้ำหน้านั้น แม้แต่เพียงนิดเดียวก็ไม่ได้ประตู บางคนแค่แขนที่ยื่นออกไปก็ไม่ได้ประตูแล้ว แน่นอนว่าลูกนี้จะไม่ได้ประตูแน่นอน
เหยียบหัว - ไทโรน มิงส์
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2016/17
แมนฯ ยูไนเต็ด - บอร์นมัธ
สิ่งหนึ่งที่เราได้เห็นนอกเหนือจากการตัดสินให้ได้หรือไม่ได้ประตูแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ "วีเออาร์" ช่วยผู้ตัดสินก็คือเรื่องของใบแดงนั่นเอง
อย่างที่เราเห็นในฤดูกาลนี้ที่ ซน ฮึง-มิน และ ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมย็อง โดนกันไปหลังจากที่ผู้ตัดสินได้ดูภาพช้าข้างสนาม ซึ่งแน่นอนมันจะเกิดขึ้นกับ ไทโรน มิงส์ อย่างแน่นอนหากวีเออาร์ถูกนำมาช้าในปีนั้น
เกมระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ บอร์นมัธ เราได้เห็นการปะทะกันระหว่าง ซลาตัน อิบราฮิมโมวิช และ ไทโรน มิงส์ และในจังหวะที่กองหน้าทีมชาติสวีเดนนอนอยู่ที่พื้น มิงส์ ที่มีโอกาสไม่พลาดจงใจเอาขาเหยียบใส่หัวของ "พระเจ้า" เต็มๆ แต่ทำเป็นเหมือนว่าแค่พยายามวิ่งกลับไปเล่นเกมรับเท่านั้น
แต่จากภาพช้ามันชัดเจนว่า มิงส์ จงใจทำอย่างนั้นหลังจากที่มองดูแล้ว ซึ่งยังไงหากผู้ตัดสินได้ดูภาพช้าต้องเป็นใบแดงแน่นอน
ทว่างานนี้ ซลาตัน ก็เอาคืนในจังหวะลูกเตะมุมที่ขึ้นโหม่งและเอาศอกไปประทับใส่หน้า มิงส์ เต็มๆ ที่แน่นอนว่าผู้ตัดสินก็ไม่เห็นเช่นกัน
ถึงกระนั้นสุดท้ายทั้งคู่ก็โดนลงโทษย้อนหลังโดย มิงส์ โดนแบนไป 5 เกม ส่วน อิบราฮิโมวิช โดนไป 3 เกม
ถ้ามี "วีเออาร์" เรื่องคงไม่ต้องถึงเอฟเอที่ต้องลงโทษย้อนหลังจบเกม แต่โดนตั้งแต่ในเกมไปแล้ว ซึ่ง อิบราฮิโมวิช จะรอดเพราะจะไม่มีการเอาคืนในจังหวะถัดมา
ประตูผี - แฟร้งค์ แลมพาร์ด
ฟุตบอลโลก 2010
เยอรมัน - อังกฤษ
ถือเป็นอีกคู่ที่มีคดีกันอยู่ในฟุตบอลโลก 1966 ที่ อังกฤษ ได้แชมป์โลกไปครอง ซึ่งในเกมชิงชนะเลิศที่เจอกับ เยอรมัน ตะวันตก มันมีเรื่องราวอยู่ในเกมนั้อยู่
หลังเสมอกันในเวลา 90 นาทีที่สกอร์ 2-2 ช่วงต่อเวลาพิเศษในนาทีที่ 101 เจฟ เฮิร์สต์ สับไกบอลชนคานเด้งลงมายังไม่ข้ามเส้น แต่ โทฟิค บาห์รามอฟ ผู้กำกับเส้นกลับบอกกับ ก็อตต์เฟร็ด ไดน์ส ผู้ตัดสินว่าบอลข้ามเส้น ทำให้ "สิงโตคำราม" นำ 3-2 ก่อนที่สุดท้ายจะชนะไปด้วยสกอร์ 4-2
44 ปีผ่านมา คู่นี้กลับมาเป็นคดีกันอีกครั้งในฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
เกมนี้ เยอรมัน ออกนำก่อน 2-0 จาก มิโลสลาฟ โคลเซ่ นาทีที่ 20 และ ลูคัส โพดอลสกี้ นาทีที่ 32 แต่ อังกฤษ ก็มาตีไขแตกได้จก แม็ทธิว อัพสัน นาทีที่ 37 และควรจะได้ประตูตีเสมอจากจังหวะยิงของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่บอลลอยข้ามมือ มานูเอล นอยเออร์ ชนคานเด้งข้ามเส้น แต่ทั้งผู้ตัดสินและผู้กำกับเส้นไม่เห็น เลยชวดตีเสมอไป
สุดท้ายในครึ่งหลัง "สิงโตคำราม" โดนทะลวงอีก 2 ลูกจาก โธมัส มุลเลอร์ พ่ายแพ้ด้วยสกอร์ 1-4 ไปอย่างน่าเจ็บใจ
ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันทั้ง วีเออาร์ และ โกลไลน์ ลูกนี้จะเข้าประตูเป็นลูกตีเสมอ 2-2 กำลังใจน่าจะเทกลับมาอยู่ที่ฝั่งของ อังกฤษ แน่
ไม่ได้บอกว่าทัพจากเมืองผู้ดีจะกลับมาชนะแน่นอน แต่มันก็มีความเป็นไปได้ที่ทีมเข้ารอบจะเปลี่ยนจาก เยอรมัน เป็น อังกฤษ
แฮนด์บอล - เธียร์รี่ อองรี
ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก
ฝรั่งเศส - ไอร์แลนด์
เหตุการณ์อัปแสนอัปยศที่แฟนบอลทีมชาติไอร์แลนด์คงจำไปจนวันตาย
ในฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือกที่มาจนถึงเกมเพลย์ออฟเข้ารอบ ไอร์แลนด์ จับสลากเจอกับ ฝรั่งเศส ซึ่งเกมแรกทัพ "ตราไก่" บุกเอาชนะถึงที่ ดับลิน มาได้ 1-0 จากประตูจอง นิโกล่าส์ อเนลก้า
แต่ในเกมเลกที่สองทัพ "ยักษ์เขียว" ทำผลงานได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อและเอาชนะไปด้วยสกอร์เดียวกันจาก ร็อบบี้ คีน ทำให้เกมต้องเล่นกันในช่วงต่อเวลาพิเศษ
และเหตุการณ์ในช่วงต่อเวลาพิเศษนี้เองทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนในนาทีที่ 103 ฟลอร็อง มาลูด้า ตักฟรีคิกเข้าเขตโทษบอลเลยมาถึง เธียร์รี่ อองรี ริมเสาประตูเปิดเข้ากลางให้ วิลเลี่ยม กัลล่าส์ ชาร์จจ่อๆเข้าไปเป็นประตูตีเสมอ ท่ามกลางการประท้วงอย่างหนักของแข้ง ไอร์แลนด์ โดยเฉพาะ เชย์ กิฟเว่น ผู้รักษาประตูที่อยู่ใกล้ที่สุด
ซึ่งจากภาพช้าจังหวะประตูนั้น อองรี จงใจเอามือประคองบอลก่อนเปิดเข้ากลางทำให้ทีมได้ประตู แถมในจังหวะนั้น กองหน้าทีม "ตราไก่" กลับสิ่งแสดงความดีใจสุดเหวี่ยงชนิดไร้ยางอาย
หน้ำซ้ำหากมองตั้งแต่แรกฟรีคิกลูกนี้นักเตะฝรั่งเศสล้ำหน้าตั้งแต่แรกแล้ว แต่ผู้กำกับเส้นกลับไม่ยากธงนำมาซึ่งประตู ทำให้รวมผลสองเกม ฝรั่งเศส ชนะ 2-1 ผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้าย
ถ้ามีวีเออาร์ที่การล้ำหน้าเพียงแค่แม้จะเซนติเมตรเดียวก็คือล้ำ ลูกนี้จะไม่ได้ประตูแน่นอน เกมอาจจะยื้อไปจนถึงช่วงต่อเวลาและการยิงจุดโทษซึ่งอะไรก็เกิดขึ้น
ถือเป็นดับฝันของการเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลโลกหนที่ 4 ของ ไอร์แลนด์ อย่างน่าเจ็บใจจริงๆ
หัตถ์พระเจ้า - ดีเอโก้ มาราโดน่า
ฟุตบอลโลก 1986
อาร์เจนติน่า - อังกฤษ
ถือเป็นเหตุการณ์ในหน้าประวัติศาสตร์ที่โด่งดังที่สุด คนที่เป็นคอลูกหนังไม่มีใครที่ไม่รู้จักเหตุการณ์
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่ามันเกิดขึ้นกับทีมอย่าง อังกฤษ ซึ่งถือเป็นชาติที่แฟนบอลบ้านเรายกให้เป็นทีมขวัญใจอันดับ 1 รองจากทีมชาติไทย
ฟุตบอลโลกบนแผ่นดินเม็กซิโกปี 1986 ถือเป็นอีกหนึ่งทัวร์นาเม้นต์ที่ความเข้มข้นสูง ทีมใหญ่ตบเท้าเข้ารอบกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะในรอบน็อคเอาท์ที่ชาติใหญ่ๆล้วนแต่ผ่านรอบแบ่งกลุ่มกันมาทั้งนั้น
แต่เกมสำคัญอยู่ที่การพบกันระหว่าง อาร์เจนติน่า กับ อังกฤษ ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ถือเป็นการเจอกันครั้งแรกของทั้งสองชาติหลังจากสงครามฟัลเคิร์กเมื่อปี 1982
หลังจากครึ่งแรกจบลงที่สกอร์ 0-0 ก็มีประตูแรกเกิดขึ้นในนาทีที่ 51 ที่ สตีฟ ฮ็อดจ์ สกัดบอลลอยโด่งเข้าเขตโทษตัวเอง ดีเอโก้ มาราโดน่า ขึ้นโหม่งตัดหน้า ปีเตอร์ ชิลตัน เข้าประตูไปให้ อาร์เจนติน่า ออกนำ 1-0 ท่ามกลางการประท้วงของผู้เล่น อังกฤษ
เมื่อมาดูภาพช้าก็เห็นชัดเจนว่า "เสือใต้" ใช้มือปัดบอลก่อนที่ ชิลตัน จะเข้าถึงนิดเดียวกลายเป็นบอลลอยเข้าประตู ซึ่งทาง อาลี บิน นาสเซอร์ ผู้ตัดสินชาวตูนีเซียก็อยู่ไกลเกินกว่าจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน ผู้ช่วยผู้ตัดสินก็ดันไม่เห็นอีกคน
หลังจากนั้นอย่างที่รู้กันว่าชัยชนะตกเป็นของ "ฟ้า-ขาว" ที่สกอร์ 2-1 ซึ่งในภายหลัง มาราโดน่า ยอมรับว่าประตูนั้นเป็นลูกแฮนด์บอล แต่ก็ชี้ว่านั่นคือ "แฮนด์ ออฟ ก็อด" หรือ "หัตถ์พระเจ้า"
หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปัจจุบัน แน่นอนว่า "วีเออาร์" จะจับภาพได้อย่างชัดเจน ผู้ตัดสินใจริบประตูนี้ไป แถม มาราโดน่า อาจจะโดนใบแดงไล่ออกจากสนามด้วยซ้ำ
และบางทีหน้าประวัติศาสตร์อาจจะเปลี่ยนไป เพราะแชมป์โลกในปีดังกล่าวคือ อาร์เจนติน่า ไม่แน่ว่าอาจจะเป็น "สิงโตคำราม" ที่ไปถึงจุดสูงสุดก็ได้