:::     :::

วาทะเด็ดของ เจอร์เก้น คล็อปป์

วันศุกร์ที่ 01 พฤษภาคม 2563 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
2,551
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เรียกได้ว่าเป็นที่รู้จักมาช้านานสมัยที่อยู่ในเยอรมัน แต่แฟนบอลอังกฤษอาจจะเพิ่มมารู้จักมักคุ้นตอนคุม ดอร์ทมุนด์ หรือบางคนอาจจะเพิ่งได้รู้จักตอนมาคุม ลิเวอร์พูล เท่านั้น

ที่ผ่านมาเราคงได้เห็นนายใหญ่ชาวเยอรมันออกแอ็คชั่นยามอยู่ในสนามไม่ว่าจะเป็นยามที่ผู้ตัดสินเป่าค้านสายตา, ลูกทีมโดนทำฟาวล์หนัก และจังหวะที่ทีมได้ประตูกล้องมักจะรู้งานจับไปทาง เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ออกลีลาดีใจแบบสะใจแฟนบอลสุดๆให้เห็นเสมอ

แต่สิ่งหนึ่งที่ดุดันไม่แพ้กันก็คือ "วาทะ" นอกสนามที่เทรนเนอร์ผู้นี้มีคารมที่เฉียบคมไม่แพ้มันสมองของการคุมเกม

ลองไปดูคำพูดเด็ดๆที่เจ้าตัวเปล่งออกมาจากปากหลังก้าวขึ้นมาเป็นกุนซือกัน

เทียบตัวเองกับ โชเซ่ มูรินโญ่


เพียงแค่ครั้งแรกในการให้สัมภาษณ์ในฐานะนายใหญ่แห่งถิ่นแอนฟิลด์ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็สร้างความประทับใจให้กับสื่อมวลชนของอังกฤษในทันทีทันใด

สื่อแดนผู้ดีขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องการหยิบนั่นจับนี่มาเป็นประเด็น และการที่เขาถามเทรนเนอร์คนใหม่ "หงส์แดง" ว่านิยามตัวเองว่าอะไรนั้น คงไม่ได้มาเล่นๆ

"ผมคือ 'เดอะ นอร์มอล วัน', ผมเป็นคนธรรมดาจาก แบล็ค ฟอเรสต์, ผมเป็นนักเตะธรรมดา, ผมไม่เปรียบตัวเองกับเหล่าผู้จัดการทีมที่ยอดเยี่ยมในอดีต"

แค่คำพูดง่ายๆนี่เองกลายเป็น "วาทะ" ที่โด่งดังไปทั่วโลก เช่นเดียวกับเมื่อครั้ง โชเซ่ มูรินโญ่ ตอนนี้รับงานคุมทีม เชลซี ว่าเขาคือ "เดอะ สเปเชี่ยล วัน"

ถึงช่วงเวลาที่เป็นนักเตะ

        

เกือบตลอดชีวิตการเป็นนักฟุตบอล เจอร์เก้น คล็อปป์ ค้าแข้งกับ ไมนซ์ จนกระทั่งแขวนสตั๊ด มีแค่ปีแรกในเส้นทางอาชีพอยู่กับ ร็อท-ไวส์ แฟร้งค์เฟิร์ต ในปี 1989/90 หลังจากนั้นก็อยู่กับ ไมนซ์ ยาวมาตลอด

ตลอด 11 ปีที่ค้าแข้งกับ ไมนซ์ นั้นเจ้าตัวเป็นแค่นักเตะในระดับ "ลีกรอง" ที่อยู่ในลีกา สอง เยอรมันเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นปีที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมแค่ไหน ทีมก็ไม่ได้ไปไหนไกลเกินกว่าลีกที่เป็นอยู่

เจอร์เก้น คล็อปป์ เคยพูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน และแน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่คำพูดธรรมดา แต่แฝงด้วยอะไรที่ลึกซึ้ง

"ผมไม่เคยประสบความสำเร็จในการรำสิ่งที่อยู่ในสมองมาสู่ในสนาม, ผมมีพรสวรรค์ในลีกอันดับ 5, ในใจของผมอยู่ที่บุนเดสลีกา, ผลคืออาชีพของผมค้าแข้งในดิวิชั่น 2"

เทียบกับ บาเยิร์น มิวนิค


ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่คุม ดอร์ทมุนด์, เจอร์เก้น คล็อปป์ พาทัพ "เสือเหลือง" ขึ้นมาต่อกรกับ บาเยิร์น มิวนิค ยักษ์ใหญ่ประจำประเทศได้อย่างดีเยี่ยม

ช่วงเวลาปี 2008-2015 คล็อปป์ พา ดอร์ทมุนด์ เป็นแชมป์บุนเดสลีกา เยอรมัน 2 สมัย ในปี  2010/11 และ 2011/12 สองปีติด ส่วนที่เหลือเป็น "เสือใต้" ได้แค่ 4 สมัย และ โวล์ฟสบวร์ก ได้ไป 1 สมัย

จะว่าไปก็ถือว่าทำได้ดีที่เดียว แต่ คล็อปป์ ยอมรับว่าอาวุธของทีมที่มรยังไม่อาจจะเทียบกับขาให้แห่งเมืองเบียร์ได้ แต่การเปรียบเทียบนั้นก็ต้องถือว่าทำได้เยี่ยม และไม่ได้เป็นการยอมแพ้ซะทีเดียว

"เรามีธนูกับลูกศร และถ้าเราเล็งเป้าดีๆ, เราสามารถยิงถูกเป้าหมาย, ปัญหาก็คือ บาเยิร์น มีบาซูก้า, ดังนั้นโอกาสที่พวกเขาจะยิงเข้าเป้ามีสูงมากกว่า, แต่ โรบิน ฮู้ด ก็ประสบความสำเร็จอย่างมากเหมือนกัน"

ชัยชนะเหนือ บาเยิร์น มิวนิค ที่ อัลลิอันซ์ อารีน่า

 

หนึ่งในโทรฟี่แชมป์ลีกที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ พาทีมคว้ามาเชยชมได้สำเร็จ อีกหนึ่งอย่างที่น่าภาคภูมิใจที่สุดก็คือการพา "เสือเหลือง" บุกชนะ บาเยิร์น มิวนิค ถึงรัง

หลังจากที่ไม่ชนะในการมาเยือนคู่แข่งคนสำคัญถึงเกือบ 20 ปี

ในเกมนั้น ลูคัส บาร์ริออส ทำประตูให้ ดอร์ทมุนด์ นำก่อน แต่ บาเยิร์น มิวนิค มาตามตีเสมอได้จาก ลุยซ์ กุสตาโว่ แต่ผู้มาเยือนก็มาได้อีกสองประตูจาก นูริ ซาฮิน และ มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ ให้ทีมเอาชนะไปได้ 3-1 ซึ่งมาพร้อมกับอีกหนึ่งคำคม

"หนล่าสุดที่ ดอร์ทมุนด์ บุกชนะที่นี่เมื่อ 19 ปีที่แล้ว, แข้งส่วนใหญ่ในทีมของผมยังคงกินนมแม่อยู่เลย"

เสีย มาริโอ เกิทเซ่ ให้กับ บาเยิร์น มิวนิค


อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ บาเยิร์น มิวนิค ดูดผู้เล่นตัวเก่งของคู่แข่งไปอยู่กับทีมตัวเอง เพราะนั่นคือสิ่งที่พวกเขาถนัดและทำมาอย่างช้านานอยู่แล้ว

แต่การประกาศคว้าตัว มาริโอ เกิทเซ่ ไปร่วมทีมในเดือนเมษายน 2013 ก่อนหน้าที่ ดอร์ทมุนด์ จะลงเล่นเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกกับ เรอัล มาดริด เป็นอะไรที่เสียมารยาทมากจริงๆ

และนั่นก็นำมาซึ่งความไม่พอใจอย่างมากของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จนแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ออกมาอย่างเผ็ดร้อน

"เขาไปก็เพราะว่าเขาเป็นที่โปรดปรานของ กวาร์ดิโอล่า, ถ้าจะเป็นความผิดของใครล่ะก็, ก็คงเป็นผม, ผมไม่สามารถทำให้ตัวเองเตี้ยกว่านี้และพูดสเปนได้"

สุดท้าย ดอร์ทมุนด์ ผ่าน "ราชันชุดขาว" ไปเล่นในรองชิงชนะเลิศสำเร็จ แต่แพ้ให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ส่วน เกิทเซ่ ย้ายไปสมใจแต่สุดท้ายกลายเป็นส่วนเกินต้องระหกระเหินกลับมาอยู่กับทีมในปัจจุบัน

เรื่อง มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ ตกเป็นข่าวย้ายทีม


ไม่มีผู้จัดการทีมคนไหนชอบตอบคำถามเรื่องการย้ายทีมของนักเตะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันเกิดขึ้นกับนักเตะคนสำคัญ

มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ คือปราการหลังคนสำคัญของ ดอร์ทมุนด์ เขาคือเซนเตอร์ระดับโลกที่หลายทีมต้องการตัว โดยย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 มีข่าวว่านักเตะอาจจะย้ายไปเล่นกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

แน่นอนว่าเมื่อถูกถาม เจอร์เก้น คล็อปป์ ย่อมหัวเสียเป็นธรรมดาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเป็นข่าวที่ไม่มีมูลความจริงเอาซะเลย

"ถ้านั่นไม่ใช่เรื่องปัญหาอ่อน, ผมจะแดกไม้กวาดโชว์เลย"

สุดท้าย ฮุมเมิ่ลส์ ไม่ได้ย้ายและอยู่กับทีมจนถึงปี 2016 ก่อนไปค้าแข้งกับ บาเยิร์น มิวนิค และกลับมาอยู่กับ "เสือเหลือง" อีกครั้งในฤดูกาลนี้

อีกครั้งกับ มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ เรื่องอาการบาดเจ็บ


หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่แตกต่างกับผู้จัดการทีมทั่วไปคือการสร้างความสัมพันธ์อันยอดเยี่ยมกับนักเตะในทีม สะท้อนออกมาให้เห็นได้จากทุกคนที่ทำงานร่วมกับเขา

เราจะเห็นได้ตั้งแต่ ไมนซ์, ดอร์ทมุนด์ รวมถึงล่าสุดกับ ลิเวอร์พูล ด้วยคือการที่นักเตะพร้อมถวายหัวสู้จนขาดใจเพื่อทีม 

และอาการบาดเจ็บที่เล่นงาน ฮุมเมิ่ลส์ สร้างความกังวลและห่วงใยในตัวนักเตะอย่างมาก และเขาก็แสดงออกมาอย่างไม่ปิดบัง

"เรารอการกลับมาของเขาเหมือนกับภรรยาที่แสนดีเฝ้ารอสามีที่อยู่ในคุก"

แม้จะมีปัญหาเรื่องความฟิตแต่ ฮุมเมิ่ลส์ ก็จับคู่กับ เนเว่น ซูโบติช อย่างแข็งแกร่งมีส่วนสำคัญในการช่วย ดอร์ทมุนด์ ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ลีก 2 สมัยติดต่อกัน

เรื่องการทำแว่นหัก (อีกครั้ง)


สิ่งที่เราเห็นกันอยู่เสมอเวลาที่ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้ประตู เขามักจะเฮไปกับลูกทีมอย่างเต็มที่แบบไม่มีกั๊ก แต่บางครั้งมันก็มากจนถึงขั้นแว่นหัก!

ย้อนกลับไปในเกมเมื่อเดือนมกราคม 2016, ลิเวอร์พูล พลิกสถานการณ์จากตามหลัง นอริช ซิตี้ 1-3 ก่อนมานำ 4-3 แล้วโดนตีเสมอ 4-4 ในนาทีที่ 92 แต่กลับมาเอาชนะ 5-4 ซึ่งมันเป็นอะไรที่สะใจสุดๆ

โดยเฉพาะประตูชัยจาก อดัม ลัลลาน่า ในนาทีที่ 95 ของเกม เรียกได้ว่าแทบจะนาทีสุดท้าย ย่อมปลุดอารมณ์ถึงขีดสุดซึ่งจังหวะนั้น คล็อปป์ ลงไปเฮกับ ลัลลาน่า ที่ห้อมล้อมไปด้วยเพื่อนร่วมทีม และมันก็เกิดเหตุการณ์ "แว่นหัก" ซึ่งเจ้าตัวเผยว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก

"อันหนึ่ง (คู่) อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เพราะเราเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค ครั้งแรก และ นูริ ซาฮิน ทำมันหักครั้งแรก"

"วันนี้เป็นทีของ อดัม, มันหัก, โดยปกติแล้วผมจะมี (คู่) ที่สอง แต่จนถึงตอนนี้ผมยังหามันไม่เจอ เพราะมันยากที่จะมองหาแว่นโดยที่ไม่มีแว่น!"

พูดถึงสตาร์ยุคปัจจุบันที่เคยเป็นนักเตะของ เกงค์


ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ถูกจับสลากมาอยู่กับ นาโปลี, ซัลซ์บวร์ก และ เกงค์ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วทีมคว้าแชมป์กลุ่มไปครอง

และในเกมที่เจอกับ เกงค์ สโมสรจากเบลเยี่ยม นักข่าวพูดถึงเหล่านักเตะเก่าอย่าง เควิน เดอ บรอยน์, กาลิดู กูลิบาลี่ และ วิลเฟร็ด เอ็นดีดี้ ที่ปัจจุบันล้วนเป็นแข้งแถวหน้าของวงการฟุตบอลยุโรป

เมื่อได้ยินชื่อเหล่านั้น เจอร์เก้น คล็อปป์ ตอบกลับนักข่าวอย่างรวดเร็วทันทีว่า "ดิว็อค โอริกี, อย่าลืมซะล่ะ, ตำนาน ลิเวอร์พูล, มีชื่อเสียงที่นี่ด้วย"

โอริกี คือคนที่พังตาข่ายส่ง บาร์เซโลน่า ร่วงตกรอบจนทีมก้าวไปคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกมาครองเมื่อฤดูกาลที่แล้ว โดยแม้เจ้าตัวจะไม่ได้ขึ้นมาเล่นกับทีมชุดใหญ่ของ เกงค์ แต่ก็อยู่ในอคาเดมี่ของทีมตั้งแต่ 6 ขวบจนถึง 15 ขวบก่อนไปอยู่กับ ลีลล์

เคล็ดลับการคว้าแชมป์

        

แม้ว่า ดอร์ทมุนด์ จะคู่แข่งลุ้นแชมป์กับ บาเยิร์น มิวนิค ในช่วงหลัง แต่คู่ปรับที่เกลียดชังกันจริงๆนั่นคือ ชาลเก้ หรือ "ดาร์บี้แมตช์แห่งแคว้นรูห์ร" ที่คู่นี้เป็นคู่แค้นกันมานานร่วม 100 ปี

ที่ผ่านมา ชาลเก้ ที่ได้แชมป์ลีกสูงสุดมา 7 สมัย แต่หนสุดท้ายต้องย้อนไปเมื่อปี 1958 มักจะเป็นทีมที่ขับเคี่ยวกับ บาเยิร์น มิวนิค แต่เมื่อ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามากลับมา ดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์ 2 สมัยติดต่อกันพา "เสือเหลือง" ที่ได้แชมป์ 6 สมัยก่อนหน้านี้แซงหน้าคู่ปรับตัวฉกาจด้วยการคว้าแชมป์เป็น 8 สมัย

และด้วยการประสบความสำเร็จในการได้แชมป์ แฟนบอล ชาลเก้ ถามว่าเคล็ดลับแห่งความสำเร็จคืออะไร แต่ทาง คล็อปป์ ก็ตอบกลับไปได้อย่างแสบจริงๆ

"คุณจะอธิบายเรื่องสีให้กับคนตาบอดได้ยังไง?"

สั้นๆ ง่ายๆ แต่พลังทำลายล้างสูงสุด


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด