:::     :::

จะทำใจกันได้หรือ? ถ้านักเตะที่เรารักกลับมาลงแข่งแล้วติดCOVID-19

วันพุธที่ 06 พฤษภาคม 2563 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
1,377
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ในมุมมองของแฟนบอล เราย่อมอยากให้ฟุตบอลกลับมาเตะกันอีกครั้งอยู่แล้ว แต่ถ้ากลับมาแล้วนักเตะเราต้องเสี่ยงชีวิตและสุขภาพของเขาที่จะติดเชื้อโควิด มันได้ไม่คุ้มเสียเอาซะเลย

เป็นเรื่องที่ซีเรียสและละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกมากเหลือเกิน กับสถานการณ์โลกของเราในขณะนี้ที่ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหวกันหมดเพราะCOVID-19ที่กำลังระบาดไปทั่วโลกทีละเวฟใหญ่เป็นระลอกๆอย่างไม่หยุดหย่อน

จากจุดเริ่มต้นที่จีนและเอเชียตะวันออกเป็นเวฟแรก จากนั้นไปปะทุอย่างน่ากลัวโดยมีอิตาลีกับอิหร่านเป็นแนวหน้าเวฟสอง ซึ่งเวฟสามคือการกระจายอย่างหนักทั่วยุโรป และตามด้วยการระบาดหนักที่อเมริกาในเวฟที่4โดยทวีความน่ากลัวเรื่องปริมาณผู้ติดเชื้อและคนเสียชีวิตอย่างมาก

ซึ่งขณะนี้เวฟใหม่ล่าสุดอย่างรัสเซีย อเมริกาใต้ และรวมถึงแอฟริกา กำลังเริ่มที่จะหนักขึ้นเรื่อยๆแล้ว และพื้นที่อื่นๆของเวฟก่อนหน้านี้ก็อาจจะถึงจุดพีคพอดี หรือเริ่มลดลงมาบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่หยุดลงซะทีเดียว

ซึ่งนั้นคือสถานการณ์ในภาพรวม แต่หากเราจะมาพูดถึงเฉพาะกับเรื่องราวของ "โลกฟุตบอล" ของพวกเรานั้นคงต้องบอกว่า เป็นอีกอย่างนึงที่เกี่ยวพันกับเรื่องโควิดโดยตรง เพราะฟุตบอลเป็นกิจกรรมที่เป็นการชุมนุมกันของผู้คนจำนวนมาก ที่มารวมตัวกันในสถานที่ปิดที่เดียวกันอย่างสนามฟุตบอล ซึ่งแน่นอนการเข้ามาชมฟุตบอลนั้นคนเราก็ต้องนั่งชมอยู่ใกล้ๆกันทั้งสนาม เวลาตะโกนเชียร์ ส่งเสียงเชียงร์ ย่อมต้องมีละอองฝอยจากร่างกายของคนดูด้วยกันเองที่dropletเหล่านี้ลอยกระจายในอากาศไปได้ไกลเป็นสิบเมตร หมุนเวียนกันไปมาอยู่ในพื้นที่การเชียร์ นั่นคือทางฝั่งของคนดู

ส่วนในสนาม นักเตะเองเวลาเล่นกันก็ต้องมีการปะทะและสัมผัสกันทางร่างกายชนิด "โดยตรง" หนักกว่าคนดูที่นั่งติดกันซะอีก ทั้งผิวหนัง ร่างกาย ลมหายใจ เหงื่อไอฝอยต่างๆที่ฟุ้งกระจายอยู่ในสนามทุกๆจุด

ยังไม่รวมสต๊าฟที่มีหน้าที่ดูแลตัวนักเตะ ไม่ว่าจะทีมแพทย์หรือโค้ชฟิตเนสที่ดูแลร่างกายนักเตะ หรือแม้กระทั่งสต๊าฟอื่นๆเช่นKit Managerก็ตามที่ดูแลเรื่องข้าวของเครื่องใช้ในการฝึกซ้อมและลงสนาม

จะเห็นได้ว่า ทุกelementsของฟุตบอลนั้น มีแต่การที่ต้องใกล้ชิดกันของบุคลากรฟุตบอลในทุกๆฝ่ายทั้งนั้น ไม่ว่าจะทำยังไงก็ตามเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ได้เลยด้วยการทำ Social Distancing เหมือนที่เราทำกันในการใช้ชีวิตตามปกติ

คิดง่ายๆแบบฮาๆ ถ้าจะป้องกันการติดเชื้อ คุณต้องบัญญัติกฏฟุตบอลขึ้นมาใหม่เฉพาะในช่วงโควิดระบาดนี้เลยรึเปล่าล่ะว่า นักฟุตบอลที่ลงแข่งขัน ห้ามสัมผัสร่างกายกัน ให้เข้าหาลูกบอลอย่างเดียว และต้องสวมแมสก์ลงสนาม

ใครโดนตัวคู่ต่อสู้ต้องโดนแจกใบเหลือง!?

ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เพราะฟุตบอลเป็นกีฬาลูกผู้ชายที่ต้องมีการปะทะกันของร่างกาย"โดยตรง"แบบ เนื้อต่อเนื้อ ตาต่อตา หำต่อหำ ร่างกายเบียดติดกับอีกฝ่ายตลอดเกมไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆก็ตาม ดังนั้น"ธรรมชาติของฟุตบอล" จะระวังไม่ให้โดนตัวกันนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

(ได้ก็บ้าแล้วว้อย! ฮาาา ขนาดบาสเก็ตบอลยังอนุโลมในบางแอคชั่นที่โดนตัวกันได้เลยเวลาเบียดกัน)

แถมการใส่แมสก์เล่นกีฬายังเป็นอันตรายกับร่างกายอีกไม่ว่าจะกีฬาประเภทไหน เรื่องการจะป้องกันโรคเหมือนคนปกติธรรมดาที่ทำๆกันอยู่นั้น ไม่สามารถใช้กับการลงแข่งฟุตบอลได้เลย

ไม่ว่าจะทางไหนๆ ฟุตบอลคือกีฬาที่connectมนุษย์เข้าด้วยกันในทางตรงอย่างเลี่ยงไม่ได้

โอเค เราอาจจะสามารถตัดปัจจัยเสี่ยงของ"คนดู" ได้ด้วยการลงเตะแบบสนามปิด คือเตะแบบไม่ต้องให้คนดูเข้าสนาม แค่เอานักฟุตบอลและทีมมาแข่งกันแบบไม่ต้องมีคนดู ซึ่งเป็นหนทางที่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ในส่วนของผู้ชมในสนามที่จะไม่ต้องมาเสี่ยงติดเชื้อเพราะรวมตัวกัน

การแข่งแบบสนามปิดเช่นนี้นั้น แน่นอนว่าผลกระทบมีอยู่แล้ว มันไม่ใช่แค่เรื่องของบรรยากาศการเชียร์ หรือกำลังใจนะ แต่ที่สำคัญจริงๆมันคือ "เม็ดเงิน" โดยตรงที่จะมาอัดฉีดเข้าระบบให้ลีกและสโมสรต่างๆอยู่ได้ การแข่งแบบไม่อนุญาตให้มีคนดู ทำให้รายได้ต่างๆหดหายลงไปอย่างน่าใจหาย ทั้งจากทางตรงโดยค่าตั๋ว และทางอ้อมจากการซื้อเซอร์วิส อาหาร และสินค้าต่างๆ

ซึ่งตรงนี้ เชื่อว่าทางลีก และสโมสรก็อาจจะต้องยอมกลั้นใจให้เป็นเช่นนี้ต่อไปอีกเป็นปีจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น อย่างน้อยๆไปจนถึงปลายปีนี้ เราคงจะยังต้องแข่งกันแบบสนามปิด ไม่มีคนดูไปอีกนานทีเดียว

นอกเหนือจากการสูญเสียรายได้ของclubแล้วนั้น ทุกๆฝ่ายก็อาจจะต้องหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นมาให้ได้ หากมีการแข่งสนามปิดกันจริงๆเช่น บางสโมสรมีไอเดียจะเอาสแตนดี้ที่เป็นภาพของแฟนบอล เอาไปตั้งนั่งอยู่ในสนามเพื่อเป็นตัวแทนแฟนบอลที่เข้ามาเชียร์ ส่วนในทางการถ่ายทอด ลีกและทีมถ่ายทอดก็อาจจะใช้วิธีการใส่CG และเสียงเอฟเฟคเชียร์เข้ามาให้สนามมันเต็มๆและบรรยากาศอึกทึกคึกโครม เสมือนกำลังมีแข่งกันอยู่จริงๆตามปกติ

แต่ในมุมของนักฟุตบอลนั้น มันแทบจะไม่มีวิธีการไหนที่ปลอดภัย100%เลยในการที่จะป้องกันไม่ให้พวกเขาเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ เพราะยังไงก็ตาม เมื่อมีการลงแข่งกันเกิดขึ้น แรกสุดเลยก็คือ ต้องมีการรวมตัวกันเองของนักเตะในทีม และสต๊าฟโค้ชอยู่แล้ว ซึ่งยังไงก็คงป้องกันได้ยาก ต่อให้สวมหน้ากากและระวังระยะห่างกันแล้วก็ตาม โอกาสเสี่ยงติดก็ยังมีอยู่ดี

วิธีสำคัญอย่างหนึ่งที่หลายๆฝ่ายเล็งเอาไว้นั่นก็คือการ "สร้างแคมป์ฝึก" ขึ้นมา เพื่อให้นักเตะและสต๊าฟเข้าแคมป์ไปเลยยาวๆอย่างต่ำๆก็กักตัวก่อน14วัน จากนั้นจึงได้เริ่มสามารถกลับมาซ้อมและลงแข่งขันกันได้อีกครั้งในระบบที่ใช้การปูพรมตรวจและกักตัวหาเชื้อกันให้เรียบร้อย จึงจะกลับมาทำการแข่งขันกันได้


ดูเผินๆเหมือนจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดและอาจจะใช้ได้จริง เพื่อที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในการกลับมาแข่งนัดตกค้างที่เหลืออยู่ให้เสร็จสิ้นไป แต่คำถามคือ แม้จะสร้างแคมป์ฝึกและเรียกตัวนักเตะไปกักตัวดูอาการและตรวจหาเชื้อได้แล้วนั้น ระหว่างกลับมาแข่งกันเรื่อยๆ มีใครสักคนบนโลกนี้กล้าที่จะยืนยันได้ไหมว่า "ทำแบบนี้แล้วมันจะสามารถปิดกั้นได้100%"?

ผมเชื่อว่า ไม่มีใครกล้าพูด และต่อให้พูดออกมา ก็ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น เพราะการติดเชื้อของโควิดนั้นกลไกหลักๆมันคือการแพร่กระจายเชื่อจากคนสู่คนอยู่แล้ว เราไม่อาจจะรู้ได้เลยว่า บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันคนใดที่อาจจะโชคร้ายไปพบเจอผู้เป็น"พาหะ" ที่มีเชื้อโควิดซ่อนอยู่ในตัวแต่ไม่แสดงอาการออกมาจากภายนอก แล้วเข้ามาอยู่ในบริเวณจัดการแข่งขัน หรือมาทำงานร่วมกับทีมงานบ้าง

เพราะยังไงมันไม่มีทางปิดได้สมบูรณ์100% ตราบใดที่มนุษย์เรายังต้องติดต่อซึ่งกันและกันอยู่ ยังพึ่งพาปัจจัย4อย่างเช่นอาหารอยู่ ยังมีการขนส่งอาหาร การเดินทาง ฯลฯ มีโอกาสสูงที่ผู้เกี่ยวข้องจะไปรับเชื้อจากที่ไหนเมื่อไหร่ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น บางทีครอบครัวของสต๊าฟบางคนอาจจะไปรับเชื้อมา แล้วส่งต่อมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นสต๊าฟผู้นั้นก็เข้ามาทำงานร่วมกับทีมจัดการแข่งขัน สุดท้ายเชื้อส่งต่อมาจนกระทั่งถึงนักเตะ ผู้ซึ่งเสี่ยงที่สุด

และหากเกิดการติดต่อกันเองระหว่างนักเตะในสนาม นั่นแหละคือworst caseที่สุดเท่าที่เราจะพูดถึงแล้ว และกรุณาไม่ต้องคิดสเต็ปที่เลวร้ายที่สุดจริงๆต่อไปจะเป็นยังไง เพราะถ้าพูดว่า "อาจจะมีนักเตะที่ตายขึ้นมาได้" มันอาจจะดูวิตกจริตมากไป แต่เชื่อว่าแม้แต่หมอก็ไม่กล้ายืนยัน "ติดแล้วไม่ตายหรอกน่าไม่ต้องกลัวขนาดนั้น"

ร่างกายคนเรามันต่อต้านเชื้อที่ว่านี้ได้เหมือนกันทุกคนซะที่ไหน


ไม่จำเป็นต้องคิดไปถึงว่า อาจจะมีนักเตะตายหรอก เอาง่ายๆขั้นต้นที่สุดเลยนะ เอาแค่ "มีนักเตะที่ติดโควิดขึ้นมาสักคน" เกิดขึ้น เมื่อได้กลับมาเริ่มทำการแข่งขันอีกครั้ง ไม่ว่าจะกลับมาเตะไปแล้วกี่นัดก็ตาม หากมีแค่เพียง "เคสเดียว" ที่นักเตะหรือสต๊าฟของแต่ละทีมมีคนได้รับเชื้อนี้ขึ้นมาละก็ การแข่งขันไม่น่าจะดำเนินต่อได้เลยเพราะก็ต้องหยุดเพื่อกักตัว เช็คอาการทีมนั้นๆก่อนว่ามีใครติดบ้าง ทีมตรงข้ามที่ทำการแข่งขันด้วย ในสนามมีใครบ้าง

คือเอาง่ายๆ ถ้ามีคนติดขึ้นมาคนเดียว ทั้งสต๊าฟ นักบอล และทีมงานของ "2ทีมอย่างต่ำๆ" ก็จะไม่สามารถไปต่อได้ และอาจจะต้องหยุดชะงักไปอีก 14วันเพื่อที่จะเช็คดูอาการ แล้วค่อยกลับมาเตะต่อ?

เวลามันมีมากพอที่จะเลื่อนไปได้เรื่อยๆหรือ? ..เป็นไปไม่ได้

คิดต่อเล่นๆ หากมี2ทีมที่ต้องหยุดพักแล้ว และทีมอื่นๆอีก18ทีมที่มีโปรแกรมจะลงเตะกับ "2ทีมที่ว่านี้" มันจะไปแข่งต่อยังไง จะให้รอแล้วข้ามไปแข่งกับทีมอื่นก่อนให้จบหรือ? รับรองว่าทุกอย่างมันยุ่งเหยิงวุ่นวาย และจะเกิดปัญหากันขึ้นอย่างแน่นอน


เมื่อประมวลเช่นนี้แล้ว พอจะเห็นภาพอะไรบางอย่างได้ง่ายๆว่า การจะกลับมาแข่งต่อให้ได้นั้นผมว่ามันยากเหลือเกิน คือเข้าใจนะว่า ฝ่ายจัดการแข่งขันอาจจะประเมินความเสี่ยง และผ่อนผันให้จัดแข่งกันได้อีกครั้งก็จริง เพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเรียกขวัญและกำลังใจให้ประชาชนในประเทศกลับมา หากมีการแข่งฟุตบอลอีกครั้ง

และรวมถึงเรื่องเศรษฐกิจ รายได้ และการเคลียร์การแข่งขันให้มันเรียบร้อยเป็นซีซั่นๆไป ดังเช่นตอนนี้ที่มีข่าวล่าสุดว่า ทางเยอรมันอนุมัติให้บุนเดสกลับมาเตะกันได้อีกครั้งแล้วในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ คือถ้าไม่วันที่15 ก็เป็นวันที่ 22พฤษภาคม 2020 นี่แล้ว พวกเขาย้อนกลับมาซ้อมเป็นเวลาหนึ่งเดือน และพยายามจะแข่งขันต่อที่เหลืออีกประมาณ 9-10 นัดให้เสร็จสิ้นให้ได้ภายในเดือนมิถุนายน

ต้องบอกแบบนี้กันก่อนว่า เยอรมันเป็นประเทศที่สถานการณ์โควิดนั้นดูดีที่สุดที่ระบาดกันในยุโรปแล้ว ด้วยอัตราการตายที่ต่ำกว่าชาติอื่นมากๆแบบเห็นได้ชัด ทั้งๆที่คนติดเชื้อมีปริมาณเกือบเท่ากับชาติอื่นเลย โดยผู้ติดเชื้อของเยอรมัน ณ ปัจจุบันนี้ 6 May 2020 อยู่ที่ 165k แต่กลับมีคนเสียชีวิตแค่ 6,996 คนเท่านั้นเอง

เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านยุโรปแล้วนั้น อิตาลี สเปน อังกฤษ ผู้เสียชีวิตกำลังจะขึ้นหลัก 30,000 เข้าไปแล้ว อัตราการตายของประเทศที่ติดหนักๆเหล่านี้นั้น ตายกันราวๆ50คน ต่อประชากร100,000คน ในขณะที่เยอรมันนั้นตายแค่ 8.4คน ต่อประชากร100,000คนเท่านั้นเอง น่าทึ่งกับเยอรมันมาก

ข้อมูล ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2020

ดังนั้น ดูทรงแล้วเยอรมันน่าจะเป็นประเทศที่ใกล้เคียงกับการกลับมาจัดแข่งขันให้มันเสร็จๆไปได้ก่อนหลายประเทศ ส่วนบางลีกอย่างลีกเอิงก็ทำการตัดจบมอบแชมป์กันไปแล้ว

จะเหลือก็อังกฤษ อิตาลี สเปน ที่เป็นลีกดังๆสองสามลีกตรงนี้แหละที่ยังไปต่อไม่ได้

ว่ากันด้วยพรีเมียร์ลีกของเรา ต้องบอกว่า ประเทศอังกฤษนั้นน่าเป็นห่วงที่สุด มากกว่าประเทศดูหนักๆอย่างอิตาลีมาก เพราะขณะนี้ปริมาณผู้ติดเชื้อนั้นจะเท่ากันอยู่แล้ว อิตาลีนั้น 210k อังกฤษ 190k แต่อิตาลีเพิ่มขึ้นวันละประมาณ1300คน แต่ตอนนี้ อังกฤษนั้นผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นล่าสุดวันละ 4300คนโดยประมาณ อยู่ราวๆนี้มานานแล้ว อีกไม่นานปริมาณเคสก็น่าจะแซงขึ้นที่1

และที่แย่ที่สุดคือ ยอดผู้เสียชีวิตในยุโรปนั้น ประเทศอังกฤษเข้าวินไปแล้วเรียบร้อยด้วยตัวเลขที่กำลังจะแตะ30k ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้(29,427คน) สูงที่สุดในยุโรปแล้ว หนักพอๆกับสเปนและอิตาลี

ซึ่งถ้าถามว่า ประเทศไหนในยุโรป(และในโลก) ที่เสี่ยงกับโควิดมากที่สุด จากการติดตามและประมวลข้อมูลทั้งหมดมา (จากการอัพเดทรอบดึกโดยเฟซบุคอาจารย์ธรณ์ Thon Thamrongnawasawat) ในยุโรปนั้นเห็นได้ชัดเจนว่า อังกฤษเนี่ยเข้าขั้นโคม่าน่าเป็นห่วงที่สุดในยุโรปมาพักใหญ่ๆแล้ว

*ข้อมูล ณ วันที่ 4 พฤษภาคม 2020 เฉพาะของประเทศอังกฤษ

ดังนั้น คำถามรองสุดท้ายก็คือ ประเทศที่ระบาดหนักที่สุดในยุโรปอย่างอังกฤษนั้น จะเอาอะไรกลับมาจัดแข่งพรีเมียร์ลีกได้ตามเดิมในเร็ววันนี้ โดยที่ทุกอย่างจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ "ความปลอดภัย" ในชีวิตและสุขภาพของนักฟุตบอลและสต๊าฟทุกคนที่เกี่ยวข้อง

มันยากมากในประเทศที่ระบาดหนัก ดังนั้นสามารถจะพูดได้เลยว่า อังกฤษนั้นแทบจะไม่ควรกลับมาแข่งขันพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้อีกแล้ว เพราะมัน"อันตราย" ต่อสุขภาพและชีวิตของบุคลากรในวงการทุกๆคนที่เกี่ยวข้องมากๆ

เรื่องความเบื่อที่ไม่มีฟุตบอลดูนั้น ผมเชื่อว่าหลายๆคนน่าจะเริ่มชินกับมันในลักษณะของ "New Normalชนิดชั่วคราว" ไปแล้ว นั่นก็คือ การไม่มีบอลดู ก็ถือเป็นเรื่องปกติแบบใหม่ในช่วงระบาดนี้ เราไม่ได้ห่วงอีกต่อไปแล้วว่า "เมื่อไหร่ฟุตบอลจะกลับมาเตะ" มากสุดคือเราเพียงแค่หวังว่า มันจะกลับสู่สถานการณ์ที่ดีขึ้นในเร็ววัน แล้วหลังจากนั้นค่อยกลับมาเตะต่อก็ได้ เอาให้มันปลอดภัยก่อน

ย้ำ ขอให้มันปลอดภัยก่อนจริงๆ ค่อยมาเตะก็ได้

เพราะคำถามสุดท้ายที่อยากจะถามแก่แฟนบอลให้ลองเอาไปคิดดูกันเล่นๆ เหมือนดังเช่นหัวบทความนี้ที่ถามเอาไว้ว่า

"เราจะทำใจกันได้หรือไม่ ถ้านักเตะในทีมที่เรารักนั้น เสี่ยงกลับมาเล่นแล้วมีคนติดCOVID-19ขึ้นมา"

ลองคิดเล่นๆว่าถ้ามีนักเตะที่พวกเรารักมากเหล่านี้ ต้องกลับมาติดเชื้อสักคนนึงนะ.. ไม่รู้จะเฟลแค่ไหน


ผมมั่นใจว่า ณ ตอนนี้หลายคนยังนึกไม่ออกว่ามันจะรู้สึกยังไง แต่ผมบอกได้เลยว่า ถ้าถึงเวลามีนักฟุตบอลติดขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าจะทีมเราหรือทีมคู่แข่งก็เถอะ รับรองว่าดราม่าแน่นอนในแง่ที่ว่า ทุกคนจะต้องรู้สึกหดหู่และเสียใจไปกับเรื่องนี้แน่ๆที่สถานการณ์มันย่ำแย่จนมาทำลายการแข่งฟุตบอลที่พวกเรารัก

ลองจินตนาการดูนะง่ายๆว่า เอาแค่"นักเตะเรา" ที่เรารัก ชื่นชอบ และเอาใจช่วยนั้น เวลาที่โดนเสียบสกัด เข้ารุนแรงแล้วร่วงลงไปเจ็บนั้น เราเป็นห่วงเขาขนาดไหน เจ็บแทนขนาดไหน ผมเชื่อว่าหลายๆคนเข้าใจเรื่องนี้ดี  และลองนึกถึงช่วงเวลาที่นักเตะเราบางคนต้องเผชิญกับอาการบาดเจ็บที่หนักหนาสาหัส อย่างเช่นการขาหักของอลัน สมิธ หรือ ลุค ชอว์ ที่ผ่านมาเป็นต้น แค่เราได้เห็นเรื่องเหล่านี้บนหน้าจอ ในฐานะแฟนบอลที่รักนักเตะเหล่านี้นั้น เรารู้สึกใจหาย และหดหู่มากๆที่นักเตะของเราเป็นอะไรกันไป

ผมว่าทุกคนพอจะนึกความรู้สึกออกนะ

แล้วลองนึกถึงเคสที่แย่มากกว่านี้นั่นก็คือ "การเสียชีวิต" คิดง่ายๆว่าขนาดแค่นักเตะขาหัก ยังห่างไกลหัวใจเยอะและยังมีชีวิตปกตินั้น เรายังรู้สึกเฟลและเป็นห่วงขนาดไหน  แล้วถ้าเราต้องเจอกับสภาวะที่ "นักเตะเราเสียชีวิต"  เราจะรู้สึกย่ำแย่เพียงใด ขอให้นึกถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมเครื่องบินตกที่มิวนิคของยูไนเต็ดก็ได้ว่า ตอนนั้นเราสูญเสียคนไปแทบจะครึ่งทีม มันจะเลวร้ายต่อความรู้สึกขนาดไหนที่สโมสรที่เราเชียร์ มีคนต้องเสียชีวิตและจากไปกันขนาดนั้น

เช่นเดียวกัน ถ้าทางพรีเมียร์ลีกพยายามกลับมาจัดการแข่งขันขึ้นมาอีกครั้ง แล้วปรากฏว่า มันมีนักเตะที่ติดเชื้อโควิดขึ้นมาสักคนนึง และคนที่ว่านั้น มันคือนักเตะทีมเราเอง เป็นนักเตะคนที่เราอาจจะเชียร์โดยตรง หรืออาจจะเป็นคนที่คุณไม่ได้เชียร์ ไม่ได้ชอบก็ได้ ถ้ามีขึ้นมาเราคงรู้สึกแย่และเป็นห่วงมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม กระทั่งนักเตะทีมคู่อริเราเอง ไม่ว่าจะทีมไหนเราก็คงไม่อยากให้เกิดขึ้นหรือไปแช่งให้เขาติดแน่ๆ เพราะมันล้ำเส้นของความเป็นมนุษย์ไปแล้วถ้าจะไปแช่งให้นักเตะทีมที่เราเกลียดติดโรคเหล่านี้

สิ่งนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับใครบนโลกนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเกี่ยวกับฟุตบอลหรือไม่ก็ตาม


ดังนั้น ย้อนกลับไปด้านบน เพื่อที่จะตอบคำถามสุดท้ายที่ว่านั้น ผมสามารถตอบได้เลยว่า เราทำใจไม่ได้แน่ๆถ้าต้องให้นักเตะเราต้องเสี่ยงเอาความปลอดภัยของตัวเอง กลับมาแข่งขันกันต่อให้จบ แล้วมีนักเตะที่เรารัก หรือจากทีมไหนๆก็ตาม เกิดติดเชื้อขึ้นมา จากการจะได้ดูบอลมันจะกลายเป็นไม่มีความสุขไปในทันทีเลย เพราะหากติดขึ้นมา แน่นอนว่ามันเกี่ยวพันกับชีวิตและสุขภาพ ต่อให้ไม่ตาย ร่างกายโดยเฉพาะปอดหรือระบบหายใจก็อาจจะเสียหาย และกลับมาเล่นกีฬาในระดับเดิมไม่ได้อีกต่อไปก็เป็นได้

เราเข้าใจดีว่า มันเป็นเรื่องของธุรกิจมูลค่าหลายแสนล้านที่เกี่ยวพันอยู่ จึงต้องพยายามรีบกลับมาจัดการแข่งขันให้เรียบร้อยก่อนช่วงเริ่มต้นซีซั่นใหม่ของปีหน้าให้ได้(กรกฏาคม)ตามข่าวล่าสุดก็คือช่วงประมาณวันที่19 มิถุนายนอย่างต่ำ แต่การจะนึกถึงแต่เม็ดเงินมหาศาล แล้วจะต้องให้นักฟุตบอลของสโมสรที่เรารัก ต้องกลับมา "เสี่ยงชีวิต" ในแบบที่แม้อาจจะมีมาตรการบางอย่างมาใช้ เช่นเข้าแคมป์ แล้วปิดสนามแข่งก็ตาม แต่มันไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่า "นักเตะของเราจะไม่โชคร้ายติดโรคมาจากส่วนใดสักแห่งของการกลับมาแข่งขัน"


ต่อให้กลับมาริเริ่มที่จะแข่งขัน แต่เชื่อเถอะ ถ้ามีข่าวคนติดขึ้นมาไม่ว่าจะนักเตะหรือสต๊าฟ รับรองว่าทุกอย่างจะต้องหยุดชะงักและไปต่อไม่ได้อีกครั้งแน่ๆสำหรับประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในยุโรปอย่างอังกฤษ

และเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่จะเกิดการแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นๆจึงมีสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นการตัดจบลีกเหมือนฝรั่งเศส หรืออาจจะใช้วิธีนับคะแนนหารเฉลี่ยต่อนัดของแต่ละทีมเป็นต้น  และแม้กระทั่งโมฆะลีกที่อาจเป็นไปได้กับลีกเล็กๆที่ผลประโยชน์ไม่มาก  แต่กับลีกใหญ่ๆบอกเลยว่าไม่มีทางที่จะโมฆะ

หนทางที่ใกล้เคียงที่สุด คิดว่าคงเป็นการคิดคะแนนเฉลี่ย แล้วตัดจบลีกเลยทันทีนั่นแหละ คงจะใกล้เคียงกับพรีเมียร์ลีกที่สุดแล้ว ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น มันจะมีทีมที่ได้ประโยชน์กับเสียประโยชน์เกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย ซึ่งแน่นอน ไม่ว่าจะทางใดๆก็ตาม แมนเชเตอร์ยูไนเต็ดซึ่งอยู่ในโซนยูโรป้าลีกนั้น ก็ย่อมเสียประโยชน์แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะตัดจบหรือโมฆะ เรื่องผลประโยชน์ของยูไนเต็ดนั้นเหลือแค่ทางเดียวคือการกลับมาแข่งต่อให้จบเท่านั้นเอง

เราคงจะไม่อาจยินดีกับความสำเร็จบนซากปรักหักพังได้อย่างเต็มที่แน่ๆ หากทีมเราสามารถคว้าโควตาไปแชมเปี้ยนส์ลีกปีหน้าได้สำเร็จจากการกลับมาแข่งต่อ แต่มีนักเตะเราติดเชื้อจนต้องไปพักรักษาตัวอยู่เป็นเวลานาน และทำลายสุขภาพระยะยาวของเขาไป หรือแม้กระทั่งมีเพื่อนร่วมอาชีพร่วมวงการในทีมอื่นๆต้องติดเชื้อหรือแย่สุด เสียชีวิตจากการกลับมาแข่งขันอีกครั้ง

ถ้าเป็นแบบนั้นคงจะกลายเป็นเรื่องเศร้าสลดใจของวงการฟุตบอลที่จะฝังในความรู้สึกแฟนบอลไปอีกนานแน่ๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สิ่งเดียวที่คนรักการดูบอลอย่างเราอยากได้ อาจจะไม่ใช่การกลับมามีฟุตบอลดูอีกครั้งโดยเรว เราอาจจะเหงา แต่ถ้าเพื่อความปลอดภัยของนักเตะ และของทีมที่เรารักแล้วนั้น จะไม่มีการแข่งขันต่อไปอีกนานหลายเดือน หรืออาจจะครึ่งปี ก็จงเลื่อนไปเรื่อยๆเถอะ

"มันไม่เป็นไรหรอก"

เราไม่อยากให้ฟุตบอลรีบกลับมาแล้วต้องพบเจอกับความสูญเสียเช่นนี้ ถ้าเป็นไปได้ เรายินดีรอให้ทุกๆอย่างปลอดภัยจริงๆมากกว่านี้แล้วค่อยกลับมาแข่งขันก็ได้

บอกแฟนผีให้ทำใจกันล่วงหน้าก่อนเลยว่า เราอาจจะจำเป็นต้องถอยหนึ่งก้าว และยอมเสียประโยชน์ในฤดูกาลนี้ไปจริงๆทั้งในแง่รายได้และผลการแข่งขัน ถ้ามันทำให้ทุกฝ่ายมีทางลงร่วมกันได้เพื่อส่วนรวม ยูไนเต็ดอาจจะซวยจากการตัดจบ แต่ให้ลองมีจิตสำนึกคิดถึงส่วนรวมดู มันก็ไม่ได้มีแต่ทีมเราที่ต้องเสียหาย เพราะมีอีกหลายทีมเช่นกันโดยเฉพาะกลุ่มตกชั้น จึงเอาเป็นว่าขอให้ทุกฝ่ายมีทางลงที่ดีร่วมกัน เสียคนละนิดคนละหน่อย แต่คำนึงถึงความปลอดภัยของส่วนรวมน่าจะดีที่สุด

ไม่ต้องกลับมาแข่งเร็วขนาดนั้นก็ได้ .. จะนานแค่ไหนเราก็รอฟุตบอลได้

เราจะรอจนกว่าถึงวันที่แฟนๆทุกทีมได้นั่งชมฟุตบอลด้วยกันพร้อมหน้าอีกครั้งอย่างปลอดภัย


-ศาลาผี-

References

https://www.ecdc.europa.eu/en/cases-2019-ncov-eueea?
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=3553657357982775&set=a.235339669814577&type=3&theater?

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด