"12ปีแห่งความทรงจำ" รีวิวแมตช์ Final Moscow 2008 และกุญแจแห่งชัยชนะ
ในฐานะแฟนแมนยูคนนึงนะ ผมบอกเลยว่านี่เป็นอีกหนึ่งแมตช์แห่งความทรงจำที่ย้อนกลับมาดูภาพทีไร น้ำตาผมคลอเบ้าและจะร้องไห้ทุกครั้งแม้กระทั่งตอนนี้ที่เขียนก็ตาม ถึงมันจะผ่านมานานมากๆแล้ว และเห็นภาพเหล่านี้มานับครั้งไม่ถ้วน เราก็ยังรู้สึกตื้นตันใจอยู่เสมอ กับการคว้าแชมป์ที่จะติดอยู่ในความทรงจำตลอดไปจนตาย ไม่แพ้คืนแห่งปาฏิหาริย์ที่คัมป์นูในปี1999เลยแม้แต่น้อย
วันนี้เมื่อ12ปีที่แล้ว ตรงกับวันที่ 21 พฤษภาคม 2008 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกเอาชนะเชลซีไปในการดวลลูกจุดโทษ 6 ประตูต่อ 5 หลังจากที่เสมอกันไปในเวลา 1-1 เรื่องราวในวันนั้นเกิดอะไรขึ้นมากมาย และเราเองก็จดจำดีเทลโดยละเอียดไม่ได้หมด วันนี้เพื่อเป็นการระลึกถึงค่ำคืนที่มอสโควอีกครั้ง เราจะมารีวิวแมตช์คลาสสิคในอดีตนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง ทั้งเหตุการณ์ รูปเกม การวิเคราะห์ และเรื่องราวที่ประทับใจทั้งหมด
มานั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปคืนนั้นด้วยกันครับ
1.แผนการเล่นและชุดนักเตะที่ลงสนาม
เกมในคืนนั้นต้องบอกว่า มันเป็นการเจอกันของ 4-3-3 ในแบบที่คุ้นเคยของเชลซีจากรากฐานของมูรินโญ่ มาเจอกับ "4-4-2" ของเฟอร์กี้ ..ซึ่งแมตช์เป็นเกมที่โชว์กึ๋นเรื่องแทคติกของป๋าแบบเต็มๆว่า ป๋าเป็นคนที่ปรับตัวเข้ากับบอลทุกยุคทุกสมัยเสมอ ต่อให้ป๋ามาอยู่ในยุค2020 แกก็จะสามารถสู้กับบอลสมัยใหม่ได้แน่นอน
11ตัวของเชลซีในสูตร 4-3-3 นำโดยอัฟราม แกรนท์นั้น ประกอบด้วย โกลคือ เช็ค โดยมีแบ็คโฟร์คือ เทอรี่กับคาร์วัลโญ่ยืนเซ็นเตอร์ แบ็คซ้ายแอชลีย์ โคล แบ็คขวาใช้เป็นเอสเซียง ส่วนกลางสามตัว มีมาเกเลเล่ยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ คู่กลางเป็นบัลลัค กับ แลมพ์ ส่วนหน้าสามคน ปีกซ้ายเป็นมาลูด้า ปีกขวาโจโคล และหน้าเป้าเป็นดิดิเย่ร์ ดร็อกบา
เกมคืนนั้นสิ่งที่ป๋าเอามากำราบเชลซี มันคือสูตร "4-4-2 Winger" หลายๆคนเมื่อย้อนกลับไปดูรายชื่อ11ตัวจริงคืนนั้นอาจจะเข้าใจผิดว่าเราเล่น4-3-3กันเพราะมีสามมิดฟิลดิ์ และกองหน้าสามตัว แต่จริงๆไม่ใช่
เกมนัดชิงคือ 4-4-2 Winger อย่างชัดเจน คือจะไม่ใช่4-4-2แบบโอลด์สคูลยุคคลาสสิคที่ป๋าใช้เป็นWide Midfielderสองข้างเหมือนเบ็ค-กิ๊กส์ที่เป็น MR กับ ML แต่สูตรนี้คือสูตรที่ปีกสองข้างดันสูงขึ้นไปเล่นเป็นWingerแบบเต็มตัว
11 ตัวจริงของแมนยูประกอบไปด้วย
Edwin van der Saar, Wes Brown, Rio Ferdinand (c), Nemanja Vidić, Patrice Evra, Owen Hargreaves, Paul Scholes, Michael Carrick, Cristiano Ronaldo, Wayne Rooney, Carlos Tevez
สำรอง : Giggs, Nani, Anderson (ได้ลงสนาม)/ Fletcher, O'shea, Silvestre, Kuszczak (ไม่ได้ลง)
ฝั่งเราโกลเป็นฟานเดอร์ซาร์ ผสานกับแผงแบ็คโฟร์ที่เหนียวที่สุดในโลกยุคนั้นอย่าง ริโอ วิดิช เอฟร่า และ เวส บราวน์ โดยที่เอฟร่าจะเล่นเป็นComplete Wingback เลย ส่วนบราวน์นั้นเป็นDefensive Fullback โดยที่วิดิชเล่นเป็นตัวStopper และมอบหน้าที่การขึ้นบอลให้Ball Playingตัวดักทาง บัญชาการจากแดนหลังโดยริโอล้วนๆ
แผงมิดฟิลด์คู่กลางคือ พอล สโคลส์ และ ไมเคิล คาริค ยืนคู่กัน โดยให้ตัวนึงเป็นตัวโฮลดิ้ง ยืนต่ำคอยพักบอลและเล่นเกมรับโดยปลัดคาริคของเรา ส่วนสโคลส์เป็นศูนย์บัญชาการในการวางบอลไปยังส่วนต่างๆของสนามเพื่อทำเกมบุก
ปีกสองข้างคือ โรนัลโด้ กับ ฮากรีฟส์ โดยที่โด้นั้นเล่น Inside Forward เน้นบุกตามถนัด ส่วนฮาร์โก้ที่ปกติเป็นมิดฟิลด์ตัวรับนั้น วันนี้โยกมาเล่นเป็นปีกอย่างชัดเจนทางขวา เพราะแกเล่นMRได้ แต่วันนี้มาในโรลของ "Defensive Winger" จริงๆ หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่ามันมีRoleการเล่นแบบนี้ด้วยเหรอ มีสิฮะ ฮาร์กรีฟส์คืนนี้นี่แหละชัดเจน คือการเล่นนั้น ไปยืนตรงปีกจริงๆ มีส่วนร่วมกับเกมบุกในระดับนึง แต่หน้าที่หลักคือลงไปช่วยจัดการเกมริมเส้นคู่ต่อสู้ ทั้งปีกและแบ็คของเชลซีจะโดนปีกตัวรับของเราจัดการสกรีนงานก่อน ซึ่งฮากรีฟส์เล่นโคตรดี
กองหน้าคู่สองตัวคือ รูนีย์ กับ เตเวซ ซึ่งหน้าที่คืนนั้นจากการที่ได้ดู จะเห็นชัดเจนว่าป๋าวางแทคติกมาให้รูนเป็นตัวเป้าคอยค้ำและพักบอลในแดนหน้า แต่ก็คอยสลับกับเตเวซในการเข้าทำ, ลงมาล้วงบอลต่ำ หรือถ่างออกด้านข้าง ซึ่งเห็นชัดมากๆ แม้รูนีย์จะไม่ได้ทำประตูได้ แต่การเล่นของรูนสำคัญกับทีมมากๆ เพราะเขาเองงานหนักมาก คนเดียวแต่ต้องไปค้ำอยู่กลางดงคู่เซ็นของเชลซีตลอดเกม คือ เทอรี่กับคาวัลโญ่ แถมยังเจอมาเกเลเล่อีกตัว เกมนั้นสรุปได้ว่ารูนนั้นเล่นในลักษณะของ "Complete Forward" ในช่วง80นาทีแรก คือเป็นทั้งหน้าเป้า สลับมาลงต่ำ บางทีถ่างออกด้านข้าง คือทำทุกอย่าง
ส่วนเตเวซคืนนั้นเล่นเป็น Deep Lying Forward กองหน้าตัวต่ำที่คอยวิ่งไล่บอลและช่วยเกมรับตลอดเวลา ลงต่ำมาล้วงบอล และคอยสลับตำแหน่งกับรูนีย์ รวมถึงสอดขึ้นมายิงประตูด้วยเมื่อมีโอกาส ซึ่งต้องบอกว่า เกมนี้นักเตะฝั่งแมนยูที่มีโอกาสยิงเยอะที่สุดก็คือ เตเวซนี่แหละ มีหลายจังหวะมากๆ โดยเฉพาะสองช็อตในครึ่งแรกที่ควรจะได้สองประตูด้วยซ้ำถ้าคมกว่านี้ แต่โดยรวมเตฟถือว่าฟอร์มโคตรดี และพลังไม่หมดถังมากๆ วิ่งไล่บอลตลอด120นาทีไม่มีหมด ใจโคตรสู้เลย
2.รูปเกมที่เกิดขึ้น : ครึ่งแรก
ต้องพูดว่าเมื่อย้อนกลับมาดูโดยละเอียดแล้ว ผมกล้าพูดได้ว่า ภาพรวมนั้นรูปเกมของแมนยูไนเต็ดดูดีกว่าเชลซีแบบเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งครึ่งแรกนี่เหมือนดูหนังฟีลกู้ดที่แมนยูเป็นพระเอกเลย กดเชลซียับมาก ครึ่งชม.แรกนี่ %ครองบอลระดับ 65ต่อ35%เลย แมนยูเป็นฝ่ายได้ครองบอลบุกเป็นส่วนใหญ่อยู่ข้างเดียวในครึ่งแรก
2.1 ความผิดพลาดของแทคติกเชลซี
ครึ่งแรกนั้นเชลซีมีรูปแบบการบุกสองอย่าง นั่นก็คือการขึ้นเกมจากปีก โดยเฉพาะปีกซ้าย หรือไม่ก็บอลยาวdirectมาถึงตัวให้เฮียดร็อกเลย ซึ่งทั้งสองรูปแบบนั้นถูกแมนยูไนเต็ดปิดตายแทบทั้งหมด ในส่วนของกองหน้าเวลาบอลยาว บอลโด่งมาให้ดร็อกบานั้น หากเป็นปกติผมเชื่อว่าเชลซีก็คงใช้สูตรนี้เล่นงานทีมอื่นๆได้สบายๆ แต่โชคร้ายที่เกมวันนั้น ดร็อกบาต้องมาเจอกับริโอ วิดิช โดยเฉพาะเนมันย่า วิดิช ที่ฟอร์มพีคระดับเทพช่วงนั้น ลูกกลางอากาศแกเอาชนะดร็อกบาได้หมดเลย ไม่เหลือที่ว่างให้เฮียดร็อกได้เอาบอลลง หรือแย่งโหม่งชนะได้ ดังนั้นบอลไดเร็คของเชลซีนั้น ดร็อกบาเก็บบอลไม่ได้เลย และถูกจับตายแทบทั้งเกม
ส่วนปีกนั้น เชลซีพยายามจะขึ้นเกมด้านข้างมากๆโดยเฉพาะฝั่งของมาลูด้า แต่นี่คือความผิดพลาดขั้นร้ายแรงที่สุดเพราะว่า ฝั่งขวาของเรามีกำแพงสองชั้นที่ป๋าวางกลไกเอาไว้ มีทั้งฮาร์โก้ที่เล่นเกมรับเนียนกริ๊บ แค่ช็อตแรกของเกมนี้ก็ทำให้ผมอู้หูแล้ว การเล่นเกมรับของฮาร์โก้ในร่างสุดยอดของ "แย่งบอลแมน" ตลอดทั้งเกมเขาเข้าไปแย่งบอลได้แทบทุกลูก เป็นคลีนแทคเกิลที่ไม่เสียฟาล์วยังไม่พอ แถมเรียกฟาล์วจากคู่ต่อสู้ได้แทนซะอีก
และด้านหลัง มาลูด้าก็ยังจะต้องไปเจอกับเวส บราวน์ ที่กดอัลติร่าง "แบ็คขวาแชมป์ยุโรป" อีก ซึ่งปีนั้นหมอนี่แข็งแกร่งสุดๆในตำแหน่งนี้ คือทั้งแรง เร็ว ใหญ่ แถมเข้าหนักแบบขาดกระจุย เตะหายทั้งลูกทั้งคน ซึ่งเกมนั้นหลายๆคนที่ผลัดเปลี่ยนเวียนกันดาหน้ามาเจอกับเวส บราวน์ในครึ่งแรกคือแพ้หมด ตั้งแต่ดร็อกบาที่ถ่างออกมา มาลูด้าที่โดนหวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เว้นแม้กระทั่งแอชลีย์ โคล
ครึ่งแรกไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ผ่านเวส บราวน์ไปได้
ถ้านึกไม่ออกว่าเหนียวยังไง มันเหมือนปัจจุบันที่เรามี วานบิซซาก้ายืนแบ็คขวานั่นล่ะ ไม่ต่างกันเลย คือไม่มีใครผ่านได้ เป็นแบบนั้นจนหมดครึ่งแรก ผมต้องบอกว่า เวส บราวน์คือแมนออฟเดอะแมตช์ช่วง45นาทีแรกอย่างแท้จริง นอกจากเกมรับไร้เทียมทาน พี่แกยังเติมไปครอสบอลอีก3ครั้ง จนได้แอสซิสต์ให้โด้ด้วยเท้าซ้ายอีกตะหาก
นี่คือแทคติกที่เชลซีพลาดในครึ่งแรกที่บุกแมนยูไนเต็ดไม่เข้า
2.2 เกมของแมนยูไนเต็ด
เกมบุกของแมนยูนั้นหลากหลายมากๆ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นทีมเราที่ครองบอลไว้ได้ โดยมีริโอเป็นตัวขึ้นบอลจากด้านหลัง มีคาริคที่เป็นเหมือนหมุดยึดในแดนกลาง แต่ครึ่งแรกยังไม่เด่นมากนัก คนที่เด่นมากๆคือทีมงาน "เจี๊ยวเอียงซ้ายรุ่นบุกเบิก"
แมนยูเป็นทีมบุกเบ้ซ้ายมานานแล้ว เพราะ CR7 กับ Evra คืออาวุธที่เจาะทะลวงริมเส้นฝั่งขวาเชลซีแบบ "ซ้ายผ่านตลอด" คือโด้กับเอฟร่าบุกเจาะได้ตลอดเกม เอฟร่าจะวิ่งเติมสอดขึ้นไปจนถึงสุดเส้น ส่วนโด้ก็ขึ้นเกมทางซ้ายได้ดีโดยที่เผาเครื่องเอสเซียงในครึ่งแรกซะเละเทะ การขึ้นเกมริมเส้นฝั่งซ้ายของเราจึงเป็นอาวุธหลักในการเล่นงานเชลซี สลับกับเกมทางขวาบ้าง
โดยที่จุดเริ่มต้นของประตู1-0นั้นเป็นจังหวะทุ่มด้านขวา บราวน์เป็นคนทุ่มให้สโคลส์มารับ เล่นวันทูกันก่อนที่บราวน์จะใช้ซ้ายเปิดเข้าไปให้โรนัลโด้ที่สลัดเอสเซียงหลุด และเทคตัวโหม่งสูงๆแม่นๆเข้าไปในนาที26 ขึ้นนำ1-0 แบบที่รูปเกมเหนือกว่าชัดเจน
หลังจากนั้นแมนยูไนเต็ดไม่ได้ผ่อนเกมเลย มีรูปแบบอีกอย่างนึงของแมนยูยุคนั้นให้ได้เห็นในเกมนี้ด้วย
สิ่งนั้นก็คือ "เกม(โคตร)เค้าเตอร์แอ็ทแท็ค" โดยสามประสานโด้เตฟรูน
น่าเสียดายว่าไม่ได้ประตูไม่งั้นมันจะเป็นภาพจำอีกอันเลย
เกมสวนกลับเริ่มจากรูนีย์ลงต่ำไปจัดการกับคาร์วัลโญ่คู่อริเก่าจนถึงแดนหลัง (คืองงว่า คาร์วัลโญ่ไปทำอะไรตรงนั้น ที่งงกว่าคือ รูนีย์มันก็ตามลงไปอีกตะหาก) จากนั้นรูนวางบอลยาวมากๆ ขึ้นหน้าไปให้โรนัลโด้ที่วิ่งสวนกลับ ซึ่งที่น่าที่งที่สุดคือลูกเปิดที่น้ำหนักโคตรแม่นของรูนนี่แหละ โด้ที่วิ่งตามไปเอาบอลในจุดนัดพบ ก็เปิดตบกลับเข้ามาอย่างรวดเร็วให้กับเตเวซที่วิ่งขึ้นมาโฉบโหม่ง แต่ติดปีเตอร์เช็ค และคาริคที่ตามขึ้นมาซ้ำหน้ากรอบคนเดียว ยิงมาตรงกลางโดนเช็คดับเบิ้ลเซฟไปอีกรอบ (เสียดายลูกนี้น่าจะได้นำ2-0อยู่แล้วทั้งสองจังหวะ)
นอกจากนี้ยังมีอีกช็อตนึงคือจังหวะที่รูน ถ่างออกมารับบอลด้านขวา และเปิดเรียดเข้ากลางไปจนกระทั่งถึงเตเวซที่วิ่งมาเข้าฮอร์ส แต่เข้าไม่ถึงบอลอย่างน่าเสียดาย
2.3 ประตูตีเสมอท้ายครึ่งแรกของเชลซี
ถึงแม้แมนยูจะครองบอลกดเบ็ดเสร็จ แต่เหมือนเป็นหนังฟีลกู้ดที่หักมุมจัดๆตอนท้าย เมื่อริโอ เฟอร์ดินานด์ที่ครึ่งแรกรั่วสุดๆนั้นตัดบอลไม่ขาดจากในแดนเรา และเป็นเอสเซียงที่พยายามแก้ตัวจากการโดนโด้เผาเครื่อง เติมขึ้นมายิงไกล บอลแฉลบวิดิชไปโดนหลังริโอ จนมาเข้าทางแลมพาร์ดที่วิ่งสอดขึ้นมาถึงบอลก่อนและยิงประตูไปในนาที45 กลายเป็นว่าเกมกลับมาเสมอ1-1เฉยเลยก่อนหมดครึ่งแรกทั้งๆที่ยูไนเต็ดกดข้างเดียว
3. รูปเกมครึ่งหลัง
ผมอยากจะแก้ความเชื่อผิดๆว่า บางคนคิดว่านัดนี้เป็นเกม "คนละครึ่ง" แมนยูครึ่งแรก เชลซีครึ่งหลัง แต่เปล่าเลยไม่ได้เป็นเช่นนั้น แม้เชลซีจะดูดีขึ้นมามากจากสิ่งที่เกิดขึ้นมาในครึ่งหลังเพราะปรับแทคติกมาเล่นงานเราได้มากขึ้น แต่โดยภาพรวมก็ยังคงเป็นแมนยูไนเต็ดอยู่ดีที่ดูจะคุมสถานการณ์เอาไว้ในมือทุกอย่าง
จริงๆตอนแรกผมกะว่า เมื่อเริ่มครึ่งหลัง เกมมันจะต้องเปลี่ยนโมเมนตัมแน่นอนเพราะเชลซีตีเสมอได้ ลูกฮึดมาในครึ่งหลังแน่ๆ และจำได้ที่เค้าพูดกันว่าเราโดนหนักช่วงครึ่งหลัง แต่เอาจริงๆมานั่งดูกลับไม่เป็นเช่นนั้น ครึ่งหลังแมนยูยังคงคุมเกม และไม่ได้เสียโมเมนตัมอย่างที่คิด เกมไม่ต่างจากครึ่งแรกเท่าไหร่ เพียงแค่ว่าเชลซีนั้นหาทางบุกเราได้มากขึ้นเท่านั้นเอง
3.1 แทคติกสิงห์บลูส์ที่ปรับมาสู้
อย่างแรกนั่นก็คือ การยิงไกลจากแถวสอง ซึ่งแกรนท์น่าจะสั่งมาชัดเจนว่าให้ลูกทีมยิงจากนอกกรอบเลยเมื่อมีโอกาส เพราะในครึ่งแรกปริมาณการยิงลุ้นประตูพวกเขาน้อยมาก นั่นคือจุดอ่อนที่พวกเขาเห็นและแก้ไข ทั้งบัลลัคและเอสเซียงนั้นยิงได้น่ากลัวเลยแต่ยังไม่เข้ากรอบทั้งคู่
อย่างที่สองคือ การเลิกขึ้นเกมทางซ้าย! เรื่องนี้ถือเป็นอีกเรื่องนึงที่ผมดูไปก็ขำในใจไป มันเหมือนทีมปัจจุบันของเราที่มีบิสซาก้าอยู่ ในบางเกมที่AWBนั้นฟอร์มไม่เด่น ไม่ใช่ว่าเล่นไม่ดีนะ แต่เพราะทำยังไงก็เจาะไม่เข้า คู่ต่อสู้เลยเลิกขึ้นเกมทางนั้นไปเลย, เช่นกัน เวส บราวน์ในร่างGodวันนั้น แกรนท์คงเห็นแล้วว่าไม่มีทางผ่านไอ้บ้านี่ได้แน่ พี่แกเลยเปลี่ยนจุดการบุกด้วยวิธีอื่น และไปขึ้นเกมทางฝั่งขวาแทน ซึ่งได้ผลกว่าเพราะโจ โคลเล่นงานฝั่งซ้ายของเราได้ดี เพราะเอฟร่านั้นจะเน้นรุกมากกว่ารับ (แต่พี่ติ๊กก็ไม่ได้รั่วนะคืนนั้น มีช็อตสกัดสวยๆอยู่ดอกนึง)
นักเตะที่น่ากลัวที่สุดของเชลซีในครึ่งหลังผมให้สองคน นั่นก็คือ บัลลัค กับ โจ โคล ที่เล่นงานเราได้เยอะ ซึ่งโจโคลน่าสงสารมากเพราะพี่แกดูเหมือนจะมีช็อตเสียประโยชน์อยู่ครั้งสองครั้งที่ แกอาจจะเป็นคนได้บอล แต่กรรมการเป่าให้แมนยู ซึ่งลูกมันเร็วอันนี้ถือเป็นการเสียประโยชน์ แต่แมนยูเองก็มีจังหวะเสียประโยชน์ในเกมไม่ต่างกันจากบางลูกที่ไม่น่าเสียฟาล์ว ก็หักล้างกันไป
ส่วนบัลลัค ลูกยิงที่จะออกจากเท้าเขา โคตรพ่อโคตรแม่น่ากลัวทุกดอกจริงๆ!
3.2 ยูไนเต็ดรักษาฟอร์มครึ่งแรกไว้ได้
แมนยูยังคงเล่นได้ตามมาตรฐานเดิม โดยเฉพาะการขึ้นเกมรุกของโรนัลโด้ กับเอฟร่า ที่เสมอต้นเสมอปลาย คือไม่ได้แค่เพราะเขายิงประตูได้ แต่การเล่นของโด้กับเอฟร่านั้นเจาะเชลซีได้ตลอดทั้งเกม ไม่มีใครหยุดสองคนนี้อยู่เลย ถ้าครอสแม่นๆหรือเพื่อนคมๆหน่อยก็น่าจะมีสกอร์เพิ่มไปแล้ว
ที่สำคัญที่สุดต้องชื่นชมเกมรับของเราที่แข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิดิช ที่เป็นหัวใจของแผงหลัง พี่แกสกัดบอลหมดเกลี้ยงตั้งแต่ลูกโหม่งที่เก็บเรียบทุกลูกในครึ่งแรก ครึ่งหลังก็ยังทุ่มสุดตัวเล่นป้องกัน และเคลียร์ลูกอันตรายที่จะมาถึงดร็อกบาได้ทุกครั้ง
วิดิชคือคีย์แมนของครึ่งหลังที่ทำให้เราไม่โดนยิงขึ้นนำจริงๆ สุดยอดมาก
ส่วนเฟอร์ดินานด์นั้น พูดตามตรงแล้ว ครึ่งแรกริโอถือว่าเป็น"บ่อ"ของเกมรับทีมเราจริงๆ อันนี้ต้องยอมรับว่าเขาผิดพลาดค่อนข้างเยอะมากช่วงครึ่งแรก แต่ในครึ่งหลังริโอแก้ตัวได้อย่างหมดจด เพราะว่าดักทางบอล อ่านเกมเก็บเรียบหมดทั้งการยืนตำแหน่งและการคัฟเวอร์พื้นที่คอยInterceptบอลได้หมด
เกมมีจังหวะที่ดร็อกบายิงไปชนเสาลูกนึงที่ใกล้เคียงจะได้ประตู แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก คนที่ต้องชมมากที่สุดในครึ่งหลังที่เป็นคีย์แมนสุดๆแต่หลายคนอาจจะมองไม่เห็น นั่นก็คือ ไมเคิล คาร์ริค ที่ครึ่งแรกฟอร์มไม่ชัดเท่าไหร่ แต่ครึ่งหลังโดดเด่นมาก เพราะแกยืนเป็นหลักคอยโฮลด์บอล เป็นจุดศูนย์กลางพักบอลและต่อบอลให้เกมไหลลื่น แถมยังช่วยเกมรับช็อตสวยๆได้อีกหลายลูกมากๆ
หัวใจในแดนกลางของแมนยูคืนนั้น คือไมเคิล คาร์ริคอย่างแท้จริง ฟอร์มดีกว่าสโคลส์ และกิ๊กส์ที่ลงมาภายหลังอีก
4. แมนยูเปลี่ยนร่างทรงระหว่างเกม
อันนี้ต้องบอกว่ามันน่าทึ่งพอควรที่มีการปรับแทคติกการเล่นในระหว่างเกม จาก 4-4-2 Winger นั้น นาทีที่80-90 แมนยูเปลี่ยนแผนมาเล่น "4-3-3" เพื่อสู้กับเชลซี โดยสลับตำแหน่งกันชัดเจนมาก ใช้เตเวซยืนกองหน้าตัวกลางแทน และโยกรูนีย์ถ่างออกมาอยู่หน้าขวา
ดึงเอาโอเว่น ฮากรีฟส์ที่ขยันมากตลอดเกมนั้น จากริมเส้นหุบมายืนเป็น มิดฟิลด์ตัวรับตรงกลาง ปักหลักอยู่หน้าแผงหลังเพื่อจะป้องกันการโจมตีจากแถวสองของเชลซี เป็นการที่ป๋าแก้แทคติกของแกรนท์คืนไปโดยตรงและขันแนวรับท้ายเกมให้แน่นขึ้น ช่วงท้ายป๋าถอดสโคลส์ออกที่วันนี้น่วมมากเพราะเลือดออกจมูกไม่หยุดตั้งแต่ครึ่งแรก และส่งกิ๊กส์ลงไปยืนมิดฟิลด์ตัวรุกแทน ซึ่งกิ๊กส์นั้นลงมาเป็น Advance Playmakerที่ทำเกมรุกและวิ่งพล่านไปทุกจุด แถมยังเติมสูง สอดขึ้นหน้าไปยิงหลายครั้งในแบบของShadow Striker(กองหน้าเงา)ด้วยซ้ำ
ยูไนเต็ดเปลี่ยนแผนเป็น 4-3-3 ช่วงท้ายครึ่งหลัง และใช้สู้กับเชลซีจนจบเกมในช่วงต่อเวลาพิเศษ Extra Time
5. ช่วงต่อเวลาพิเศษ
มีอีก3เหตุการณ์สำคัญๆที่เกิดขึ้น เริ่มจาก "+1คาน" ของเชลซีในลูกที่เราโดนเจาะผ่านด้านขวามาได้เป็นครั้งแรก(ฮา)และสุดท้ายบอลมาถึงแลมพ์เจ้าเก่าที่หมุน360องศากลับตัวยิงอย่างโคตรสวย ก่อนบอลจะชนคานเต็มๆไม่ได้ประตู
เหตุการณ์ถัดมาคือ ช่วงต่อเวลาครึ่งแรก เอฟร่าทะลุทะลวงกระชากขึ้นมาคนเดียว ประหนึ่งไนท์ลากมอนสเตอร์เชลซีตามมาเป็นพรวนแต่ไม่มีใครหยุดอยู่ เขาหลุดไปถึงสุดเส้นแล้วเปิดตบกลับเข้ามาให้กิ๊กส์ยิงหน้าประตูโล่งๆแบบไม่มีปีเตอร์เช็ค แต่ว่าเทอรี่มาโหม่งสกัดหน้าปากประตูได้ทั้งๆที่น่าจะได้ขึ้นนำแล้ว ถือว่าโต้ตอบกันคนละดอก
และเหตุการณ์ใหญ่สุดท้ายคือการโดนไล่ออกของดร็อกบา ที่หลายคนคิดว่ามันคือจุดเปลี่ยน แต่เอาจริงๆแทบจะไม่ส่งผลอะไรเลยเพราะมันเกิดขึ้นนาทีที่115 แทบจะไม่เหลือเวลาให้แมนยูได้บุกใส่แล้ว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นช่วงที่นักเตะเชลซีลงไปเป็นตะคริวกันหลายคนแล้วเตเวซจะไปเล่นบอลต่อตรงริมเส้น เทอรี่เดินมาโวยและเกิดการชุลมุนเกิดขึ้น สุดท้ายเป็นคู่ของดร็อกบาที่โมโหและลงมือนอกเกมใส่วิดิชด้วยการ "ตบหน้า" จนวิด้าหน้าหันเลย ซึ่งโชคร้ายหน่อยนะเฮียดร็อกที่กรรมการกำลังหันหน้าเดินมาตรงนั้นพอดี
รับใบแดงไปตามระเบียบ
ถ้าจะถามว่าเชลซีเสียหายจากใบแดงนี้ยังไง ผมคิดว่าส่วนนึงก็แค่ การขาดคนยิงจุดโทษมือฉมังไปอีกคนแค่นั้นเอง เพราะอย่างที่บอก มันไม่ได้ส่งผลอะไรกับเกมมาก ไม่เสียหาย เพราะจะหมดเวลาอยู่แล้ว เล่นต่อไปแมนยูก็ทำอะไรไม่ได้เท่าไหร่ เรื่องของกำลังใจดูไม่ค่อยมีผลเท่าไรนัก
6. จุดโทษ
ดวลเป้าเกมนี้นั้นต้องบอกว่าเป็นไฮไลท์ที่สุดมันส์ของเกม เอาจริงๆแล้วผมยกย่องทั้งแมนยูเชลซีนะ สูสีกันมาก แต่มันจำต้องมีผู้ชนะผู้แพ้
5คนแรกของแมนยูที่ยิงประกอบด้วย เตเวซ คาร์ริค โรนัลโด้ ฮากรีฟส์ นานี่ ตามลำดับ
ส่วนของเชลซีเป็น บัลลัค เบลเลตติ แลมพ์ โคล เทอรี่
เตเวซยิงเล่นทางขึ้นนำก่อนคนแรกอย่างสวยงาม ก่อนที่บัลลัคจะยิงตามมาด้วยความคมกริบ 1-1
คนที่สอง คาร์ริคยิงเล่นทางหลอกเข้าหน้าต่างอย่างสุดสวย เบลเลตติก็หลอกแปเล่นทางเข้าเช่นกัน 2-2
คนที่สามเกิดดราม่า เมื่อCR7ที่ยึกยักๆตามสไตล์ เหมือนจะจงใจใช้สายตาหลอกเกินไป เช็คไม่หลงทางและพุ่งไปตามแนวสายตา โดนเซฟแบบเต็มๆ ในขณะที่แมนยูถูกกระหน่ำให้เข้าตาจนเหมือนพล็อตหนัง เมื่อมือสังหารที่ตามมาขยี้ความผิดพลาดของโด้คือ แลมพาร์ด ยิงเข้าไปอย่างสุดสวย 2-3
คนที่4 ถือว่าฮาร์กรีฟส์สำคัญมากๆเพราะพี่แกกดดันพอควรต้องยิงต่อจากคนยิงไม่เข้า แต่กลับทำได้แบบเกือบโดนเซฟ ในขณะที่ทางอาจารย์โคลก็ยิงเข้าไปเช่นกัน 3-4
คนสุดท้ายเป็นนานี่ สำรองที่ลงแทนรูนมาแต่ทำอะไรไม่ได้เท่าไหร่ รับหน้าที่คนสุดท้ายใน5คนแรก ยิงเข้าไปแบบเกือบโดนเซฟสุดๆ
และคนที่5เชลซี วินาทีนั้นเขาคือเพชรฆาตที่กำลังจะมาบั่นคอแมนยูไนเต็ดอยู่แล้ว นั่นก็คือ จอห์น เทอรี่
ซึ่งผมยังคงแปลกใจอยู่ว่าทำไมถึงต้องเป็นเทอรี่มายิงจุดโทษคนสุดท้าย คือเข้าใจว่าเป็นกัปตันทีม มั่นใจ แต่เมื่อคนเป็นกองหลังมายิง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เท้าซ้ายหลักของเทอรี่นั้นลื่น ทำให้ยิงพลาดไม่เข้าประตูในที่สุด จริงๆถือว่าโชคร้ายมากกว่าที่จะเป็นความผิดพลาดของเทอรี่
จากที่เชลซีกำลังจะคว้าแชมป์แล้วอย่างยิ่งใหญ่ถ้าเทอรี่ยิงเข้าไป กลายเป็นเสมอกัน 4-4 และเกมยังไม่จบ!
ผมเชื่อว่าแฟนแมนยูที่จำบรรยากาศคืนนั้นได้ น่าจะคิดคล้ายๆกันว่า คนสุดท้ายนี่เราแทบจะแพ้แล้ว คือกราฟมันดิ่งลงตั้งแต่โรนัลโด้ยิงพลาดคนที่3ไปแล้ว แต่การที่เทอรี่มาพลาดเอาคนสุดท้ายทั้งๆที่กำลังจะแชมป์ เป็นเหมือนบทละครที่โหดร้ายเหลือเกินสำหรับเชลซี ซึ่งเห็นใจเทอรี่มากจริงๆ
คนที่6ของทั้งสองทีม แมนยูเป็นแอนเดอร์สันยิงเข้ากลางเกือบโดนเซฟ ซึ่งเขาเปลี่ยนตัวนาที120แทนบราวน์ เพื่อลงมายิงจุดโทษโดยเฉพาะทั้งๆที่ไม่ได้เล่นในสนามเลยแม้แต่นาทีเดียว อันนี้ถือเป็นหมากของป๋าที่น่าสนใจมากว่าทำไมป๋าถึงไว้ใจให้แอนเดอร์สันลงมาทำการนี้ ส่วนคน6ของเชลซีคือกาลู ยิงเข้าไปเนียนๆ
คนที่7ยูไนเต็ดคือ ไรอัน กิ๊กส์ ลูกยิงดูเหมือนง่าย แต่จริงๆมันคือความเก๋าอย่างร้ายกาจของกิ๊กส์ต่างหาก ในเวลาที่กดดันขนาดนั้น แต่ยิ่งเข้าไปนิ่มๆ จัดการกับมือดีอย่างปีเตอร์เช็คเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
และวินาทีที่รอคอยก็มาถึง เมื่อนิโกล่าส์ อเนลก้า เดินมากำลังจะยิงจุดโทษคนที่7ของเชลซีในแบบซัดเดนเดธ ซึ่งในคืนวันนั้น จำได้เลยว่า ตอนผมเห็นหน้าอเนลก้าเดินออกมา ผม"มั่นใจ"ทันทีว่า เราจะแชมป์แน่ๆ เพราะสีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความกังวลและกดดันอย่างชัดเจน ดูไม่มีความมั่นใจ และเครียดอย่างมาก
และเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่ออเนลก้าที่ทำหน้าเหมือนคนปวดขี้มากๆนั้นยิงไปทางซ้าย และเจอฟานเดอร์ซาร์ที่พุ่งถูกทางซะเป็นส่วนใหญ่ในวันนี้ พุ่งไปตะครุบอย่างหมดจด กลายเป็นว่าจากที่แมนยูกำลังจะแพ้ กลับโกงตายด้วยลูกจุดโทษมานับตั้งแต่ช็อตของเทอรี่ จนมาพลิกสถานการณ์กลายเป็นฝ่ายชนะจากการยิงพลาดของอเนลก้า
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่3ในประวัติศาสตร์สโมสรได้สำเร็จในคืนวันที่21 พฤษภาคม 2008 ณ Luzhniki Stadium ในกรุงMoscow ต่อหน้าผู้ชม67,310คนในสนาม
7. กุญแจแห่งชัยชนะของยูไนเต็ด
ตามที่ได้เกริ่นเอาไว้แล้วว่า ภาพรวมนั้นเราสามารถพูดได้ว่า แมนยูไนเต็ดนั้นสมควรที่จะเป็นแชมป์อย่างแท้จริง เพราะภาพรวมเราดูดีกว่าเชลซีมากๆ ทั้งในการแข่งจริงและในเชิงตัวเลขสถิติหลังเกมที่ออกมาที่บ่งบอกอะไรได้หลายๆอย่าง เช่น การครองบอลที่เหนือกว่า การคุมสถานการณ์เกม ความนิ่งในเกมรับ แมนยูไนเต็ดดีกว่าเชลซีเป็นส่วนใหญ่
ไปดูกันว่า ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ยูไนเต็ดเอาชนะไปได้ในเกมนี้
7.1 รูปเกมที่เหนือกว่าของแมนยู
ภาพใหญ่ของแมตช์นี้ เรากล้าพูดว่าแมนยูดูจะเหนือกว่าเชลซีในด้านรูปเกมโดยรวม
-การครองบอล แมนยูเหนือกว่าเชลซี 58 ต่อ 42% (ซึ่งก็คือราวๆประมาณ 60 ต่อ 40)
-โอกาสยิง เชลซียิงเยอะกว่าก็จริง แต่ส่วนใหญจะไม่เข้ากรอบเลยเพราะเป็นการโดนบีบให้ต้องยิงไกล ไม่ค่อยอันตรายเท่าไหร่ โอกาสยิงแมนยูน้อยกว่าครึ่งต่อครึ่ง 12ต่อ24 แต่กลับเข้ากรอบมากกว่าเยอะ(5ต่อ3) จนทำให้เช็คต้องออกแรงเซฟ4ครั้ง แต่ฟานเดอซาร์ได้เซฟแค่ครั้งเดียวตลอดเกม เพราะเนื่องด้วย"วิธีการเล่น" ที่แมนยูจะเน้นครองบอล ต่อบอลกันจนกว่าจะเข้ากรอบเขตโทษแล้วจึงค่อยยิง จำนวนจึงแตกต่างกัน แต่ความอันตรายฝั่งแมนยูน่ากลัวกว่าเพราะเข้ากรอบแทบทุกครั้ง
-ปริมาณการจ่ายบอลและ%สำเร็จ แมนยูก็ยังดีกว่าอยู่ดีที่406(77%) กับ276(68%)
-การทำฟาล์ว เชลซีเสียฟาล์วมากกว่าแมนยูที่25 ต่อ22 ซึ่งฟาล์วหนักใส่แมนยูตลอดทั้งเกมด้วย คาร์วัลโญ่ที่เปิดปุ่มใส่โด้จริงๆมีโอกาสจะโดนใบแดงก่อนดร็อกบาซะด้วยซ้ำ กรรมการยังใจดีอยู่
วันนี้ทั้งหมดทั้งมวลจะขาดก็เพียงจำนวนประตูเท่านั้นเองที่เท่ากัน แต่จริงๆแมนยูมีโอกาสจะนำเป็น 3-0 ตั้งแต่ครึ่งแรกเลยด้วยซ้ำจากสองจังหวะจะๆของเตเวซ หรือไม่ก็เฉือน 2-1 เอาชนะไปได้
7.2 ด้านจิตใจและการควบคุมอารมณ์
ประเด็นนี้สำคัญสุด นี่คืออีกหนึ่งจุดที่ทำให้เชลซีแพ้เรา เพราะว่าเกมนี้นักเตะเชลซีนั้นดูจะ "เครียดและกดดัน" มากกว่านักเตะแมนยูอย่างเห็นได้ชัด ไล่ตั้งแต่JTก็ดูตึงๆ ต้องแบกรับภาระการเป็นผู้นำ และโดยเฉพาะรายของ โจ โคล ที่หงุดหงิดมากเพราะเสียประโยชน์ไปหลายครั้ง / ดร็อกบาที่ดูเครียดตลอดงาน จนกระทั่งไปนอกเกมใส่วิดิชอย่างน่าเกลียดจนโดนแดง / และสุดท้าย ความไม่พร้อมของสภาพจิตใจอเนลก้าที่ต้องมายิงจุดโทษสำคัญลูกสุดท้าย ในขณะที่นักเตะแมนยูนั้นคุมสติยิงจุดโทษได้อย่างดี แม้จะมีคนพลาด แต่คนที่เหลือไม่มีหวั่นไหว และยิงเข้าไปได้ทุกคน
7.3 แพ้แทคติก
เกมริมเส้นปีกซ้ายเชลซีโดนล็อคสนิท ในขณะที่หน้าเป้าดร็อกบาก็โดนตัวที่แข็งพอๆกันอย่างวิดิชล็อคดาวน์เช่นกัน ทำให้เชลซีบุกแมนยูไม่เข้าเลย แต่ในขณะที่ทางตรงกันข้าม แมนยูซ้ายผ่านตลอดจากเจ็ทโด้กับเอฟร่าตลอดทั้ง90นาทีจนเจียนอยู่เจียนไปหลายรอบ นี่คือความแตกต่างที่ชัดเจนมากๆสำหรับเกมบุกที่แมนยูทำได้จะแจ้งกว่ามากๆด้วยสองคนนี้ ในขณะที่ซีกขวา เวสบราวน์เองก็เติมสวยๆและครอสเข้ากลางไปถึงโรนัลโด้ได้หลายครั้งจนได้ประตู ฮาร์กรีฟก็เติมเต็มฝั่งขวาได้ดี
ช่วงท้ายการจู่โจมจากแถวสองของเชลซียังเจอป๋าแก้แทคติกด้วยการดึงเอาฮาร์กรีฟส์มายืนเป็นมิดฟิลด์ตัวรับหน้าแผงหลังอีกด้วย
7.4 การดวลตำแหน่งต่อตำแหน่ง
การสู้กันในแต่ละจุดของสนามวันนี้เป็นการเจอกันแบบตัวต่อตัวจับกันเป็นคู่ๆเลย ไล่ตั้งแต่คู่โรนัลโด้ VS เอสเซียง ซึ่งแม้แต่เอสเซียงที่ว่าแน่ๆก็ยังเอาความเร็วของโด้ไม่อยู่ / มาเกเลเล่ที่ฟัดตรงกลางกับสโคลส์ตลอดเกม /โจโคล VS เอฟร่า / วิดิช VS ดร็อกบา / เวสบราวน์ VS มาลูด้า ที่ถือว่าเป็นจุดดับสุดของเกมรุกเชลซี
เมื่อดูภาพรวมๆ การจับคู่ดวลกันตำแหน่งต่อตำแหน่งโดยตรงนั้น ทีมเราก็ดวลชนะซะเป็นส่วนใหญ่ไม่ว่าจะรับหรือรุก
และทั้งหมดนี้คือการย้อนอดีตกลับไปสู่ค่ำคืนที่มอสโควอีกครั้งด้วยการย้อนดูฟูลแมตช์เต็มๆตลอด2ชั่วโมงกว่าแบบเต็มๆ ต้องบอกว่านักเตะแมนยูไนเต็ดคืนนั้นเล่นได้ดีมาก และเป็นฟอร์มการเล่นนัดชิงที่ดีที่สุดนัดนึงของแมนยูเลย คีย์แมนคนสำคัญในเกมนี้มีหลายคน แต่สำคัญมากๆก็มี ฟานเดอซาร์ในช่วงยิงจุดโทษ / เอฟร่า โรนัลโด้ ในเกมรุก / คาร์ริคแดนกลาง / วิดิชในเกมรับแผงหลัง / เวส บราวน์ ที่เด่นที่สุดในครึ่งแรก
ถ้าให้เลือกแมนออฟเดอะแมตช์จริงๆสักคน ต้องให้คนที่รักษามาตรฐานเอาไว้ได้ตลอดเกม และบุกได้น้ำได้เนื้อที่สุดนั่นก็คือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จริงๆที่โดดเด่นมากๆ แม้ยิงจุดโทษยังเด่นเลย(เพราะไม่เข้าอยู่คนเดียว 555) แถมด้วยช็อตที่เรียกน้ำตาจากแฟนบอล กับภาพที่คนตั้งใจมากๆอย่างเขานอนกุมหน้าร้องไห้อยู่กับพื้นสนามเพราะปลดปล่อยจากการที่ตัวเองยิงพลาดและได้แชมป์ในที่สุด
จริงๆแล้วต่อให้เราไม่ได้แชมป์เพราะแพ้จุดโทษคืนนั้นก็ไม่ใช่ความผิดโด้ เพราะถ้าไม่มีโด้ เราไม่มีทางได้ประตูนำ และไม่มีเกมบุกดีๆจากเขาอีกตลอดทั้งเกม จุดโทษมันเป็นเรื่องของดวงด้วยค่อนข้างมาก
เช่นเดียวกันกับฝั่งเชลซีที่แพ้ก็ไม่ใช่ความผิดเทอรี่เช่นกัน เพราะถ้าไม่มีเทอรี่ เชลซีน่าจะน็อคตั้งแต่ในเวลา120นาทีไปนานแล้วเหมือนกัน ยังไงก็ตามต้องยกย่องและขอบคุณเชลซีเช่นกันที่เป็นคู่ต่อสู้ที่ดีที่สุดของเรา หลังจากที่พวกเขาพลาดหวังในคืนนี้ไป สุดท้ายก็มาเอาแชมป์ได้สำเร็จในภายหลังอย่างยอดเยี่ยม เป็นคู่ต่อสู้ที่ทรงคุณค่าของเรามากๆ
เป็นเกมที่ให้ย้อนกลับมาดูบรรยากาศและภาพในวันนั้นก็จะรู้สึกประทับใจลงไปถึงก้นบึ้งของความทรงจำอย่างแท้จริง เรายังจำความรู้สึกของการเฮลั่นบ้านกลางดึกแบบไม่กลัวแม่ด่าในคืนนั้นได้อย่างดี
และสุดท้ายนี้ ถ้าพูดถึงเกมนัดชิงปี2008ทีไร ภาพจำของผมมันจะขึ้นมาพร้อมกับเพลง "Rule the world" ของวงTake That ที่ทางSky Sports นำมาตัดต่อเป็นเอ็มวีสั้นๆในสกู๊ปข่าวในคืนนั้นเลยที่เราได้แชมป์ จะลงลิงค์เอาไว้ให้ด้านล่างบทความนี้ ที่เมื่อย้อนกลับมาดูMVเมื่อใด น้ำตาก็จะไหลทุกๆครั้ง
ในฐานะแฟนปีศาจแดง เราจะจดจำค่ำคืนที่มอสโควนี้ตลอดไปจนลมหายใจสุดท้าย..
-ศาลาผี-
https://www.youtube.com/watch?v=gfH-fL8ZdUU