:::     :::

เมื่อ "ซาตาน" ซื้อเวลาให้แมนยูกลับมาฟูลทีม

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2563 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
7,741
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เมื่อซาตานยื่นมือมาช่วยทำให้แมนยูกลับมาฟูลทีมอีกครั้งอะไรจะเกิดขึ้น และนี่คือสภาพล่าสุดของแมนยูไนเต็ดกลับมากับขุมกำลังที่พร้อมเกิน100%

ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่ห่างหายไปนับตั้งแต่ช่วงต้นมีนาคม มาจนถึงตอนนี้ที่เป็นช่วงปลายพฤษภาคม ก็นับเป็นเวลาร่วมๆจะสามเดือนแล้วที่เราไม่มีฟุตบอลอังกฤษได้ดู โดยที่นัดล่าสุดในเกมลีกที่แมนยูไนเต็ดลงสนาม มันคือเกมที่เชือดเพื่อนบ้านแมนเชสเตอร์ซิตี้ไป 2-0 จากประตูลูกเซ็ตเพลย์สุดเหนือชั้นของบรูโน่ และมาร์กซิยาล และประตูยิงไกลจากแม็คโทมิเนย์ ชนะไปได้แบบฟินๆ ก่อนที่จะทิ้งทวนนัดสุดท้ายในเกมยูโรป้าลีกในการบุกไปอัด LASK ถึงถิ่น 0-5

ความยอดเยี่ยมที่เห็นนี้ คือผลงานของทีมนับตั้งแต่การได้บรูโน่ แฟร์นันด์ส เข้ามาร่วมทีมก่อนตลาดหน้าหนาวปิด แต่ก่อนหน้านั้นหากใครยังจำกันได้ แมนยูไนเต็ดอยู่ในสภาพบอบช้ำสุดๆจากการที่นักเตะตัวหลักเจ็บกันไประนาว ไม่ว่าจะเป็น ปอล ป็อกบา ที่เจ็บยาวตั้งแต่ช่วงแรกของฤดูกาล

ถัดมาคือสก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ที่ร่างกายแข็งแกร่งเพียงใด ก็มิอาจต้านทานการลงกรำศึกอย่างหนักหน่วงต่อเนื่องได้ 

และรายสุดท้ายที่บาดเจ็บหนักไป ก็คือมาร์คัส แรชฟอร์ด ที่แบกทีมจนหลังหัก.. หักจริงๆตามคำเปรียบเปรยเลย


สภาพของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดช่วงต้นปีในเดือนมกราคมถือว่า เข้าตาจนสุดๆ เมื่อแทบจะไม่เหลือนักเตะตัวหลักที่เป็นความหวังในการแบกทีมเหลืออยู่เลย ทั้งป็อกบา แม็คโทมิเนย์ แรชฟอร์ด ที่เป็นKey Playerกันทุกตัวนั้นเจ็บเกลี้ยง

แถมตอนนั้นเราก็ยังต้องนั่งทนดูทีมใช้งานนักเตะอย่างลินการ์ด กับ เปเรร่า ในการเล่นเพลย์เมคเกอร์ตัวรุกแทบทุกนัด

ดังนั้นการจะพึ่งพาแต่พลังงานในแดนกลางของเฟร็ดแค่คนเดียว + แผงแบ็คโฟร์ที่เหนียวแน่นของ แมกไกวร์ ลินเดอเลิฟ ชอว์ บิสซาก้า รวมถึงเดเคอานั้น ไม่เพียงพอที่จะทำให้ทีมเราทำผลการแข่งขันที่ดีอย่างต่ำเนื่องและสม่ำเสมอได้ เพราะปัญหาเกมบุกที่ไม่มีประสิทธิภาพนั่นเอง ขาดทั้งกลางรุกที่จะเปิดเกม ขาดตัวขึ้นบอล รวมถึงตัวที่จะมาจบสกอร์ในจังหวะสุดท้าย

ถ้าเป็นหนัง แมนยูช่วงมกราคมก็คงเปรียบเสมือนกัปตันอเมริกาที่โดนอัดจนน่วม แล้วยืนอยู่ต่อหน้ากองทัพเป็นล้านของธานอสนั่นเอง

เจอแบบนี้ จะassembleยังไง

แมนยูไนเต็ดที่ไม่เหลือนักเตะดีๆไว้ใช้งานนั้นแพ้ในเกมสำคัญๆทั้งหมด ไล่ตั้งแต่การบุกไปโดนอาร์เซนอลกดไป 2-0, แพ้แมนซิในเกมลีกคัพเลกแรกคาบ้านตัวเอง 1-3, บุกไปแพ้อริที่เราเหม็นขี้หน้าที่สุดอย่างลิเวอร์พูลถึงแอนฟิลด์ 2-0 และตบท้ายด้วยการแพ้คาบ้านต่อเบิร์นลีย์ไปอีก 0-2 ในนัดถัดมา เรียกง่ายๆว่าช่วงนั้น "เละส์" แบบไม่มีชิ้นดี

แต่เมื่อถึงช่วงท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะ ทีมงานของท่านเอ็ดก็ทำงานสำเร็จเมื่อสามารถดึงตัวสองคนสำคัญมาช่วยทีมได้ทันเวลา ทั้งโอดิออน อิกาโล่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักเตะที่เข้ามาฉุดแมนยูไนเต็ดขึ้นจากขุมนรก แล้วเริ่มที่จะกลับมาบินสูงอีกครั้งอย่าง "บรูโน่ แฟร์นันด์ส" สถานการณ์ของทีมจึงค่อยๆดีขึ้นทีละนิดๆ

หนึ่งเดือนกว่าๆของการที่ทีมมีบรูโน่นั้นมีเพียงแค่การเสมอวูล์ฟกับเอฟเวอร์ตันเท่านั้น แต่นอกนั้นแมนยูเราชนะนัดสำคัญๆได้หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบุกไปถองเชลซีถึงถิ่น 0-2 ล้างแค้นวัตฟอร์ดไป3-0 และสุดยอดเกมแห่งความประทับใจที่ชนะซิตี้แบบหมดจด 2-0 ในเกมลีกนัดสุดท้ายดังที่กล่าวไปแล้ว ซึ่งในตอนนั้นแมนยูไนเต็ดได้ "สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์" เริ่มที่จะกลับมาลงสนามบ้างได้แล้ว


แต่แล้วสถานการณ์ของCOVID-19 ก็ทวีความรุนแรง และระบาดกระจายไปทั่วโลกจนWHOต้องยกระดับการแพร่ระบาดให้เป็นpandemicที่กระจายพร้อมกันในทุกๆประเทศทั่วโลกอย่างที่เราทราบ ดังนั้นกิจกรรมทุกอย่างที่ผู้คนจะมารวมกลุ่มกันนั้นจึงต้องหยุดหมด และทุกคนก็ติดอยู่ในสภาพล็อคดาวน์ตัวเองเหมือนกันทั้งโลกมาเป็นเวลาสองเดือนกว่าๆแล้วที่ต้องอยู่บ้านกันเพื่อความปลอดภัย

เมื่อหันมามองเรื่องของฟุตบอลนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีสถานการณ์นี้นั้น เกมลีก การแข่งขันทั้งหมดต้องหยุดในทุกๆลีกไม่ว่าจะประเทศใด นับตั้งแต่ช่วงต้นมีนาคมมา ทุกประเทศในลีกหลักๆก็หยุดทั้งหมด และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สถานการณ์ก็เลวร้ายขึ้นโดยเฉพาะในยุโรปที่เข้าช่วงพีคอย่างเต็มที่ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะกลับมาแข่งฟุตบอลกันได้เมื่อไหร่ เอาแค่ว่ารอดชีวิตกันจากเหตุการณ์นี้ให้ได้ก็เก่งแล้ว


เวลาผ่านล่วงเลยไปเรื่อยๆอย่างเงียบงัน มีการพูดถึงและความพยายามที่จะกลับมาแข่งขันให้ได้มากมาย จากการประชุมและเสนอแนะแนวคิดต่างๆเพื่อที่จะหาข้อสรุปในฤดูกาลที่ยังเหลือนี้ให้ได้

บางลีกเลือกที่จะตัดจบอย่างเช่นฝรั่งเศส ในขณะที่ลีกต่ำๆของบางที่ที่สามารถตัดจบไปเลยได้นั้น ก็ใช้วิธี "โมฆะ" ซีซั่นที่เพิ่งผ่านมา เพราะไม่สามารถกลับมาแข่งให้จบได้ และการยกเลิกผลการแข่งขันเดิมทั้งหมดนั้นก็ไม่กระทบกระเทือนกับรายได้ต่างๆเท่าไหร่นัก

เพราะลีกรองๆเม็ดเงินมันไม่สะพัดเท่าไหร่ เรื่องผลประโยชน์มันยังน้อย การโมฆะจึงทำได้ง่าย

ส่วนในบางประเทศอย่างเยอรมันนั้น เขามีการจัดการรับมือโควิดได้ดีมาก จนทำให้มีอัตราการตายของผู้ที่ติดเชื้อน้อยมากอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆที่คนติดเชื้อก็เยอะพอๆกับประเทศที่ระบาดหนักๆอย่างอิตาลี สเปน อังกฤษ แต่ตายน้อยกว่ามาก ทำให้ในตอนนี้ บุนเดสลีกา กลับมาต่อเกมลีกกันต่อได้อีกครั้งมาสองนัดแล้ว  บุนเดสลีกาจึงเป็นลีกที่กลับมาแข่งขันใหม่สำเร็จได้เร็วที่สุด

ท่าดีใจยุคโควิด ยืนห่างกัน2เมตรอย่างต่ำ แล้วส่งตาหวานให้กันและกัน!

คราวนี้วกกลับมาที่พรีเมียร์ลีก และแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดของเราอีกครั้ง ทางอังกฤษก็ได้มีลงความเห็นหาข้อสรุปเรื่องการแข่งขันมาโดยตลอด มีข่าวลือต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการ "โมฆะ"บ้าง(ฮา), การตัดจบลีกไปเลยโดยยึดตำแหน่งปัจจุบัน หรืออาจจะใช้วิธีหาคะแนนเฉลี่ยต่อนัดของแต่ละทีมที่ลงแข่งไปแล้ว แล้วมาเปรียบเทียบกันเพื่อจะสรุปอันดับในลีกแล้วตัดจบลีกไปเลยบ้าง

แต่มาตรการที่พรีเมียร์ลีกนั้นแสดงออกมาชัดเจนที่สุดคือพวกเขาพยายามที่จะให้กลับมามีการแข่งขันต่อที่เหลือให้หมดทันเวลา ก่อนที่จะเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ 2020/21 ให้จงได้ ซึ่งในเรื่องนี้ทางฝั่งของพรีเมียร์ลีกนั้นมันเกี่ยวข้องกับ "ผลประโยชน์มหาศาล" ที่ทางEPLจะต้องสูญเสียรายได้ไปอย่างมากมาย หากไม่มีการแข่งขันในนัดที่เหลืออีก

เรื่องเงินๆทองๆมันไม่เข้าใครออกใคร ก็รู้ๆกันอยู่


แม้จะโดนหลายฝ่ายตำหนิว่า พรีเมียร์ลีกนั้นเห็นแก่เงิน และพยายามจะจัดให้มาลงเตะกันให้ได้โดยไม่สนใจความปลอดภัยและสวัสดิภาพของนักเตะและทีมงานที่เกี่ยวข้อง (ยิ่งล่าสุดนอกจากตรวจเจอกลุ่มแรกที่มีเชื้อไป3รายแล้ว เมื่อวานสดๆร้อนๆก็เจอผลเป็นpositiveอีก2คน จาก2สโมสร) แต่ในที่สุดจนแล้วจนรอด พรีเมียร์ลีกก็สร้างความชัดเจนในการจะกลับมาแข่งต่อได้สำเร็จ โดยการประกาศวันที่อาจจะกลับมาลงแข่งใหม่แล้ว ในวันที่ 19 มิถุนายน หรือราวๆกลางเดือนหน้านั่นเอง

โดยที่ความชัดเจนนี้มาพร้อมกับการประกาศให้แต่ละทีมนั้น กลับมาสู่ "โปรเจ็ครีสตาร์ท" ของPremier League โดยการเริ่มกลับมาซ้อมอีกครั้งในเฟสที่1 ที่จะต้องแยกนักเตะออกห่างจากกันด้วยการ "จำกัดกลุ่มซ้อม" ที่จะไม่ให้นักเตะต้องมาซ้อมพร้อมกันทีเดียวเป็นจำนวนมากๆ แต่จะแบ่งเป็นกรุ๊ปย่อยๆสลับกันมาซ้อม อย่างเช่น กำหนดกลุ่มใหญ่ละ10คน จากนั้นก็ซอยย่อยแยกแบ่งซ้อมกรุ๊ป5คนเป็นต้น ตามprotocolการปฏิบัติตัวให้ปลอดภัยจากเชื้อโรคของรัฐบาลอังกฤษ โดยที่จะให้มีการทำความสะอาดบริเวณที่เป็นจุดสัมผัสบ่อยๆอย่างเช่น ลูกบอล มุมธง เสาโกล เป็นต้น และห้ามมีการสัมผัสกัน เช่น ห้ามแทคเกิลเข้าใส่กันในช่วงซ้อม


ซึ่งแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนั้นได้กลับมาซ้อมกันแล้วมื้อแรกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตามกรอบที่พรีเมียร์ลีกกำหนด โดยที่นักเตะต่างๆตบเท้ากันมาซ้อมกันอย่างคับคั่ง เพราะจริงๆแล้วทีมเราก็มีการติดตามผลการฝึกซ้อม ให้นักเตะรักษาสภาพความฟิตอยู่เสมอ อย่างที่ผ่านมาที่แทร็คกิ้งระดับความฟิตก็พบว่า แดเนียล เจมส์นั้น มีความเร็วในการวิ่งสูงสุดที่36.8km/hr. ในขณะที่บรูโน่ก็ยังฟิตอยู่ตามมาในกลุ่มท็อปด้วยความเร็ว 34.27km/hr. เป็นต้น

ส่วนความฟิตในการวิ่งระยะที่ไกลขึ้นมา เพื่อยืนระยะลงเตะให้ได้นานนั้น เจสซี่ ลินการ์ด มาเป็นอันดับ1ที่ระยะ13.3กิโลเมตร ด้วยความเร็ว 5.5เมตรต่อวินาที ซึ่งถือว่าโคตรเร็ว และตามมาด้วยแมกไกวร์ กับ แม็คโทมิเนย์ตามลำดับ

Agent Jlingz มีผลการฝึกซ้อมดีเยี่ยมและกำลังทำหน้าที่นายหน้าติดต่อเนื้อสดอย่างหนักหน่วง

แต่สิ่งที่น่าสนใจมากๆก็คือ การที่เราได้เห็นภาพข่าวการกลับมาซ้อมแบบเต็มๆร่วมกับเพื่อนของ "ปอล ป็อกบา" ที่มาซ้อมกลุ่ม4คนกันที่สนามคริกเก็ตท้องถิ่น ร่วมกับมาร์กซิยาล ลินเดอเลิฟ และ เปเรร่า ซึ่งตามรายงานกล่าวเอาไว้ว่า ป็อกบานั้นวิ่งอย่างหนัก และลงขาข้างที่เคยเจ็บอย่างเต็มกำลังแล้ว

ซึ่งนี่คือสัญญาณดีที่เราได้เห็นกันแล้วว่า ปอล ป็อกบา "ฟิต100%" แล้วเรียบร้อย พร้อมที่จะกลับมาลงสนามให้แมนยูไนเต็ดทำศึกในนัดที่เหลืออย่างเต็มกำลังอย่างแน่นอน นี่ถือว่าเป็นโคตรพ่อโคตรแม่ข่าวดีมากๆของทีมเรา หากจะต้องกลับมาลุยกันอีกครั้ง


ส่วนนักเตะคนสำคัญคนสุดท้ายที่เจ็บยาวมากที่บริเวณหลังอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ดนั้น จากตามข่าวตอนแรกเราก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า แรชฟอร์ดนั้นต้อง "รูดม่านปิดเทอม" ของซีซั่น 2019/20 ไปแล้วตามระเบียบ นั่นหมายความว่า หากแข่งขันกันตามเดิมนั้น เราไม่มีทางที่จะได้ตัวแรชฟอร์ดกลับมาลงสนามได้อีกเลยแม้นัดเดียว เพราะหากทุกอย่างปกติ เวลาปัจจุบันนี้ทุกลีกนั้นส่วนใหญ่ก็จะจบเกมลีกกันพอดีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเลย และก็เป็นเวลาพักร้อนของนักฟุตบอล ซึ่งแรชฟอร์ดกลับมายังไงก็ไม่ทัน

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เกมลีกต้องหยุดทำการแข่งขันมาเป็นระยะเวลาเฉียด3เดือน มันเหมือนเป็นการ "ซื้อเวลารอนักเตะเจ็บให้กลับมาหายดี" ไปโดยปริยาย เพราะเกมลีกเดิมนั้นหยุุดการแข่งไว้หมดเลย และกำลังจะกลับมาเริ่มอีกทีก็กลางเดือนหน้า ซึ่งถึงเวลานั้นมันจะเป็นเวลาราวๆ 3เดือนกว่าๆที่หยุดพักกันไป ซึ่งก็นานพอที่จะทำให้อาการบาดเจ็บหนักๆของนักฟุตบอลคนนึงกลับมาหายสนิทได้

คนที่ได้รับผลประโยชน์นี้อย่างเต็มๆ ก็คือป็อกบาและแรชฟอร์ด ของทีมเรานี่ละ เพราะเป็นตัวหลักหัวใจสำคัญของทีมทั้งคู่ เมื่อกลับมาก็เหมือนทีมเรามีพลังรบเพิ่มขึ้นอีกมหาศาลเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากป็อกบาที่ฟิตเต็ม100ไปคนนึงแล้ว แรชฟอร์ดที่เพิ่งเปิดเผยภาพที่เขากลับมาซ้อมร่วมกับอดีตเด็กเก่าเยาวชนแมนยูอย่างโร-ฌอน วิลเลียมส์

I'm back

และภาพล่าสุดที่เจ้าแรชมันอัพให้ดูเป็นภาพตัวเองใส่ชุดซ้อม พร้อมแคปชั่นแบบที่จอร์แดนพูดเอาไว้ว่า "กูกลับมาแล้ว" นั้น มันทำให้เราคาดหวังได้เลยว่า ในตอนนี้แรชฟอร์ดเริ่มที่จะกลับมาซ้อมได้ตามปกติแล้ว อาจจะต้องใช้เวลาซ้อมเรียกความฟิตอีกสักพักใหญ่ แต่ระยะเวลา1เดือนก็มากพอที่จะให้แรชเรียกฟิตได้เต็มๆ

นั่นหมายความว่า จากวันนี้ บวกไปอีกหนึ่งเดือน ซึ่งก็คือราวๆวันที่19-20 มิถุนายน แรชฟอร์ดได้เวลาอีกหนึ่งเดือนในการเรียกความฟิตเพิ่มขึ้นอีก เพราะบอลก็ยังไม่กลับมาเตะกันทันทีในวันนี้ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม

นั่นแปลว่า แรชฟอร์ดได้เวลาเพิ่มในการเรียกความฟิตกลับมาอีก 1เดือนเต็มๆ ซึ่งมีลุ้นมากว่า จนถึงตอนนั้น แรชฟอร์ดน่าจะกลับมาฟิตสมบูรณ์แบบ 100% เหมือนป็อกบาได้เช่นกัน


แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้เลือกนักเตะของเราตั้งเป็น "ทีมเฉพาะกิจ" ขึ้นมาแล้วในสถานการณ์พิเศษของ 'Project Restart' ที่เราจะต้องกลับมาลงเตะกันอย่างต่อเนื่องเพื่อจบลีกให้ได้แล้ว ตามรายชื่อ29นักเตะที่เปิดเผยออกมาประกอบด้วย

ผู้รักษาประตู : Nathan Bishop, David de Gea, Lee Grant, Sergio Romero

กองหลัง : Eric Bailly, Diogo Dalot, Timothy Fosu-Mensah, Phil Jones, Victor Lindelöf, Harry Maguire, Luke Shaw, Axel Tuanzebe, Aaron Wan-Bissaka, Brandon Williams

กองกลาง : Bruno Fernandes, Fred, Angel Gomes, Jesse Lingard, Nemanja Matic, Juan Mata, Scott McTominay, Andreas Pereira, Paul Pogba

กองหน้า : Tahith Chong, Odion Ighalo, Daniel James, Mason Greenwood, Anthony Martial, Marcus Rashford


*จุดที่น่าสังเกตก็คือ

มีนักเตะอยู่หนึ่งคนที่ถูกตัดออกไปจากทีม29นักเตะที่จะกลับมาเริ่มต้นลีกอีกครั้ง นั่นก็คือ มาร์กอส โรโฮ ที่ตอนนี้ยืมตัวกลับไปสโมสรบ้านเกิดกับ เอสตูดิเดียนเต้ ที่มีเซบาสเตียน เวรอน เป็นประธานสโมสรอยู่นี่แหละ โรโฮนั้นหลุดออกจากทีมไปเลย นั่นแปลว่า แนวโน้มที่ปีหน้าเขาจะกลับมาอยู่กับทีมหลังยืมตัวเสร็จนั้น คงจะเป็นไปได้ยากและต้องบอกศาลากันแล้ว

นักเตะที่เจ็บยาวไปสองคน กลับมามีชื่ออยู่ในทีมนักเตะเต็มๆ นั่นก็คือ ปอล ป็อกบา และ มาร์คัส แรชฟอร์ด

มีนักเตะสองคนที่กำลังจะหมดสัญญากับสโมสรเรา แต่ถูกใส่ชื่อรวมสู้ศึกโปรเจ็ค รีสตาร์ทนี้ด้วย นั่นก็คือ "โอดิออน อิกาโล่" และ "อังเคล โกเมส" 

ซึ่งในรายของเจ้าหนูโกเมส กำลังจะหมดสัญญากับเราในวันที่30มิถุนายนเดือนหน้านี้ ซึ่งนั่นแปลว่า เรายังคงมองเขาเป็นส่วนหนึ่งของทีม และก็คงจะพยายามเจรจาสัญญาให้สำเร็จกันอยู่ในตอนนี้ เพื่อแก้ไขสถานการณ์เจ้าตัวให้ดีขึ้น

การใส่ชื่อโกเมสเข้ามา เป็นการการันตีเจตจำนงสโมสรและโอเล่ได้ดีอย่างหนึ่งว่า เรายังต้องการเขาอยู่


ส่วนอีกรายนึงที่มีชื่อเข้ามาคือ "อีกาโลกันตร์" อิกาโล่ ขวัญใจเด็กผีผู้นี้ก็แทบจะต้องกลับจีนอยู่แล้วเพราะจะหมดสัญญายืมตัวช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้แล้วด้วย และดูเหมือนแมนยูทำท่าไม่อยากสู้ดีล20ล้านปอนด์ของเขา ทั้งๆที่จริงๆแล้วควรจะสู้และซื้อขาดมาเลย ยังไงก็คุ้ม นักเตะคนนี้กำลังจะต้องกลับเซี่ยงไฮ้เสิ่นหัว แต่การใส่ชื่อเขาเข้ามารวมอยู่ในทีมเฉพาะกิจด้วย นั่นแปลว่า ยูไนเต็ดนั้นยังคงพยายามที่จะหาทางดึงอิกาโล่ให้ลงเล่นนัดที่เหลือของซีซั่นนี้ให้ครบให้ได้

ก็คงจะพยายามไปหาทางคุยเพื่อจะ "ขยายสัญญายืมตัว" ให้ลงเตะต่อจนกว่าจะหมดเกมที่ตกค้างนั่นแหละ จากนั้นอนาคตการซื้อขาดคงว่ากันทีหลัง แต่แมนยูน่าจะพยายามยืมต่อให้จงได้จริงๆนั่นแหละ อาจจะต้อง "จ่ายค่ายืม" เพิ่มนิดหน่อย คิดว่าคงจะเป็นวิธีนี้ที่เอ็ดเลือกใช้

โอเล่รักอิกาโล่มาก ค่อนข้างเชื่อว่าน้าแกจะหาทางซื้ออิกาโล่ถาวรมาให้ได้แน่ๆ

ดังนั้น เมื่อดูลิสต์นักเตะทั้ง29คนนี้แล้วนั้น มันคือการกลับมาในแบบที่เรียกว่า "Full Team" ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะนักเตะเราที่ใช้งานอยู่จริงนั้น หายจากอาการบาดเจ็บกันมาแล้วทั้งหมด โดยเฉพาะในรายของ ป็อก แรช สก็อตตี้ ทุกคนพร้อมที่จะลงสนามกันแล้วตอนช่วงกลางเดือนมิถุนายนในแง่ของความฟิต จะเห็นได้ว่านักเตะเราทุกๆตำแหน่งนั้น หายเจ็บกลับมาหมด มีทั้งตัวหลัก ตัวหมุนเวียน และเด็กดาวรุ่งของทีม ก็อยู่กันพร้อมหน้าทุกตำแหน่ง

ในโปรเจ็ครีสตาร์ทนั้น แม้ตอนนี้จะยังไม่เกิดขึ้น แต่หลายๆคนก็น่าจะคาดเดาแนวโน้มกันได้ว่า มันคือการลงเตะต่อเนื่องแบบมาราธอน แข่งกันไปยาวๆรัวๆ เตะติดกันถี่ๆ สองสามวันเตะทีนึงแบบนี้เลย ดังนั้นทีมไหนที่ "มีนักเตะพร้อมลงสนาม" ในปริมาณที่มากกว่าทีมอื่นนั้นจึงได้เปรียบ และมีโอกาสที่จะทำผลงานได้ดี ซึ่งทีมเราอย่างที่ทราบกัน มีแต่เด็กวัยรุ่นเต็มไปหมด เพราะฉะนั้นการลุยแข่งแบบรัวๆติดกัน ความสดของเด็กเราน่าจะดูดีกว่าทีมอื่นแน่นอน

มีลุ้นมากๆที่ช่วงรีสตาร์ทนี้ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะกลับมาทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมในนัดที่เหลือ ซึ่งเกมยากๆเหลือไม่มากแล้ว มีเพียงเกมเยือนสเปอร์, เกมเหย้าเชฟยูที่จะมาอุดใส่เรา และเกมสุดท้ายไปเยือนเลสเตอร์เท่านั้นที่ดูจะยากจริงๆสามนัด แต่นอกนั้นอีก6นัด เยือนไบรจ์ตัน / เหย้าบอร์นมัธ / เยือนวิลล่า / เหย้าเซ้าท์แธมตัน / เยือนพาเลซ / เหย้าเวสต์แฮม เป็นเกมที่เจอแต่ทีมระดับรองลงไปทั้งสิ้น


ดังนั้นปัจจัยสำคัญสองอย่างนั้นเรามีครบถ้วน ได้แก่

1.นักเตะกลับมาฟิตสมบูรณ์ทุกคนในทีม (Full Team)

2.นักเตะอายุน้อยที่ฟิตพอจะลงเล่นเกมหนักๆติดกันต่อเนื่องได้ (ค่าเฉลี่ยไลน์อัพแมนยู อายุน้อยที่สุดในลีกที่ 24.0ปี)

ผมจึงเชื่อว่า แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดของเรานั้นมีโอกาสกอบโกยคะแนนได้มากกว่าคู่แข่งที่แย่งพื้นที่แชมเปี้ยนส์ลีกค่อนข้างสูง

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ที่เห็นว่า แมนยูไนเต็ดตอนนี้อยู่ในสภาพที่พร้อมสุดขีด ทั้งขุมกำลังที่หายเจ็บกลับมาฟิตสมบูรณ์กันครบทีมอย่างไม่เคยมีมาก่อนทั้งซีซั่น รวมถึงสภาพขวัญกำลังใจ และความฮึกเหิมของทีมที่มั่นใจมากๆ นับตั้งแต่การได้บรูโน่เข้ามานำเกมรุกให้กับเรา ความมั่นใจของเด็กๆเราตอนนี้ก็สูงมากๆเช่นกัน

อยากชนะกู พวกมึงต้องมาทั้งกองทัพโว้ย

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ความพร้อม ณ ตอนนี้เกิดขึ้นได้นั้น เหตุผลหลักสำคัญที่สุดเลยมันก็คือ "เหตุการณ์COVID-19" นี่แหละที่ทำให้เกมลีกมันต้อง "หยุดแข่งขัน" ลงไปตั้งแต่ต้นมีนาคมจนถึงกลางเดือนมิถุนายนอย่างต่ำๆ ทำให้นักเตะตัวที่เจ็บอยู่ของเรา ได้เวลาในการรักษาตัวเพิ่มขึ้นอีกนานสามเดือน จนหายดีพร้อมกลับมาลงสนามอีกครั้ง มันก็ตรงกับเวลาที่ลีกจะเริ่มกลับมาเตะกันในกลางเดือนหน้าพอดี

สามารถพูดได้ว่าโควิดมัน "ซื้อเวลา" ให้แมนยูกลับมาฟูลทีมก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากจริงๆนั่นล่ะ

แต่สิ่งนี้มันไม่ได้หมายความว่าการเกิด COVID-19 นั้นมันเป็นสิ่งที่ดี ทำให้นักเตะแมนยูหายกลับมาทัน  มันก็เหมือนกับกรณีที่หลายๆคนด่ากันอยู่นี่ละ เวลาที่มีคนโพสต์ว่ามีโควิดแล้วดี ทำให้ธรรมชาติฟื้นฟู ทำให้สัตว์ป่ากลับมามีพื้นที่หากินเพิ่มขึ้น ช่วยคืนความสดให้แก่สิ่งแวดล้อม และมองโควิด19ในแง่ที่ว่ามันคือ"ฮีโร่"ของโลกใบนี้ มันไม่ใช่mindsetที่ถูกต้อง

"โควิด19 ไม่ใช่ฮีโร่ของโลกใบนี้"


แม้มันอาจจะเป็นไวรัสที่เกิดขึ้นมาเพื่อกำจัดไวรัสของโลกอย่างมนุษย์เรา ต่อให้มันทำให้ธรรมชาติมีการฟื้นฟูก็ตาม แต่เราไม่สมควรที่จะยกย่องให้มันเป็นฮีโร่ได้ ที่กล้าพูดเช่นนี้เพราะว่า ผู้เขียนก็เป็นคนนึงที่เป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติเช่นกัน ผมดีใจมากเวลาได้เห็นข่าวธรรมชาติฟื้นฟูขึ้นมาและไม่มีมนุษย์ไปรบกวนมัน ตอนเรียนป.ตรีกับป.โทผู้เขียนก็จบสายenvironmentalมาทั้งคู่ ทำงานวิจัยอนุรักษ์ธรรมชาติมาเช่นกัน ดังนั้นผมสามารถพูดถึงเรื่องนี้ได้ในฐานะคนรักสิ่งแวดล้อมมากๆคนนึง

โควิดอาจจะมีแง่มุม"ส่วนหนึ่ง"ของมันที่ทำให้ธรรมชาติฟื้นฟู จากการที่มนุษย์ต้องหยุดกิจกรรมและการรุกรานธรรมชาติไปหลายอย่าง แต่ลองคิดกลับกันดูว่า มีคนในครอบครัวคุณต้องติดเชื้อและเสียชีวิตไป มันจะยังคงเป็นฮีโร่หรือไม่? และลองคิดดูว่า บางครอบครัวที่โชคร้ายติดเชื้อนี้เสียชีวิต ทั้งๆที่เขาเป็นคนดีของโลกใบนี้ และอาจจะเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติคนนึงด้วยซ้ำ

เขาสมควรตายแล้วหรือ?

คำตอบคือไม่ว่าใครก็ไม่ควรตายเพราะโควิดทั้งนั้น เพราะฉะนั้นต้องเกริ่นก่อนเลยว่า เราไม่ควรที่จะมองโควิดในแง่ของความเป็นฮีโร่ใดๆทั้งสิ้น แต่มันคือมารร้ายของมนุษย์เราดีๆนี่เองที่คร่าชีวิตคนไปแล้วจนถึงตอนนี้ 344,257 คน จากผู้ติดเชื้อทั่วโลก 5ล้าน4แสนคน


วกกลับมาเรื่องฟุตบอลกันอีกครั้ง (ห้ะ!?) COVID-19 ทำให้การแข่งขันต้องเลื่อนออกมาเรื่อยๆไม่มีกำหนด ทำให้แมนยูไนเต็ดได้นักเตะที่เจ็บหนักไปทั้งหลายนั้น กลับมาFull Team พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้งอย่างเต็มสูบทุกตำแหน่ง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เหมือนกับมันเอื้อประโยชน์ให้กับเรื่องฟุตบอลของแมนยูโดยตรงเลยเรื่องตัวเจ็บ

ในเมื่อโควิด มันเป็นสิ่งเลวร้ายที่เกิดมาบนโลกนี้ ผมขอขนานนามมันว่าเป็น "ซาตาน" ตนหนึ่งก็แล้วกัน

และไอ้ซาตานที่ว่านี่แหละที่ช่วยซื้อเวลาให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กลับมาฟูลทีม100%อีกครั้ง

..ได้ผลประโยชน์มาแบบตัวโกงๆอย่างนี้ แมนยูนี่มันแมนยูจริงๆ

-ศาลาผี-

References

https://utdreport.co.uk/2020/05/23/manchester-united-select-provisional-squad-for-premier-league-restart/?amp=1

https://ddcportal.ddc.moph.go.th/portal/apps/opsdashboard/index.html#/20f3466e075e45e5946aa87c96e8ad65

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})