:::     :::

เส้นทางตำนานกิเลน "สารัช อยู่เย็น" จากวันเริ่มสู่วันลา

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
9,090
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดกระแสฮือฮาในแวดวงฟุตบอลไทย กับข่าวการย้ายทีมของ สารัช อยู่เย็น ที่ส่อแววย้ายออกจากทีม เมืองทอง ยูไนเต็ด โดยคาดว่าปลายทางแห่งใหม่จะไปลงเอยที่สโมสร บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เบื้องหลังปัญหาหรือสาเหตุต่างๆ นานา ที่ทำให้เกิดดีลสุดช็อคนี้ผมคงไม่กล่าวถึงอีก เพราะมีหลายๆ สื่อขยี้กันไปเต็มที่แล้ว แต่วันนี้ผมจะขอกล่าวถึงเส้นทางลูกหนังของแข้งหนุ่มรายนี้ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นตำนานนักเตะคนสุดท้ายจากชุดแชมป์ไร้พ่ายเมื่อฤดูกาล 2012

"สตางค์" หรือ "ตังค์" สารัช อยู่เย็น เกิดวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ที่จังหวัดสมุทรปราการ เริ่มเข้าเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลเจริญพงษ์ สมุทรปราการ ก่อนที่จะย้ายเข้าไปเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญสมุทรปราการในระดับชั้นประถมศึกษา เขาสร้างชื่อเสียงตั้งแต่อายุเพียง 10 ขวบเศษในช่วงที่เตะฟุตบอลอยู่กับชมรมกังสดาล จากนั้นได้เข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา ซึ่งเขาก็ยังโชว์ฟอร์มในการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนได้โดดเด่นเป็นตัวท็อปของรุ่นที่ถูกสถาบันดังๆ มากมายจับตามอง แต่ด้วยคอนเน็คชั่นของอัสสัมชัญ พอช่วงขึ้นม.ปลายเขาถูกพามาคัดตัวเข้าสู่โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี สถาบันที่สร้างนักเตะคุณภาพขึ้นมาประดับวงการลูกหนังไทยมากมาย 


ในช่วงนั้นจวบจนถึงปัจจุบันผลผลิตนักบอลจากอัสสัมธนฯ ส่วนใหญ่จะถูกผลักดันขึ้นสู่ระบบฟุตบอลอาชีพกับสโมสร เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่จับเซ็นสัญญากันไว้ล่วงหน้า สารัช เองก็เป็นหนึ่งในนั้น สโมสรแห่งนี้นี่เองที่เขาเริ่มต้นชีวิตนักเตะอาชีพสร้างความภาคภูมิใจให้คุณพ่อ "นิ้งหน่อง" มานพ อยู่เย็น (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้วด้วยโรคสมองติดเชื้อ ในวัย 47 ปี เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2560) ที่ช่วงนั้นยังทำงานเป็นพนักงานส่งนสพ.ให้กับบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท เขาได้ฝากฝังลูกชายกับบอสใหญ่อย่าง ระวิ โหลทอง ประธานสโมสรในขณะนั้น และว่ากันว่าคุณลุงระวิก็รักและเอ็นดู "ตังค์" ไม่ต่างจากลูกหลานคนหนึ่ง

ปี 2552 "ตังค์" ถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ ปีนั้นเป็นขวบปีสำคัญที่ "กิเลนผยอง" สามารถสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์ฟุตบอลลีกของประเทศไทยไล่จากดิวิชัน 2, ดิวิชัน 1 จนถึงลีกสูงสุดโดยใช้เวลาเพียง 3 ปี และ สารัช เองก็มีส่วนร่วมกับทีมมากพอสมควรในการช่วยให้ทีมป้องกันแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกเป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกันในปี 2553 รวมถึงในปี 2554 เขาก็ยังมีโอกาสหมุนเวียนลงสนามอยู่บ่อยครั้งกับรุ่นพี่อย่าง ดัสกร ทองเหลา, พิชิตพงษ์ เฉยฉิว และ ดานโญ่ เซียก้า แม้ฤดูกาลนี้ทีมจะไม่ประสบความสำเร็จ จบเพียงอันดับ 3 ภายใต้การคุมทีมของ เอ็นริเก้ คาร์ลิสโต้ กุนซือชาวโปรตุกีส ก่อนที่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ตำนานกองหน้าของลิเวอร์พูล จะมารับบทเพลย์เยอร์-เมเนอร์เจอร์ในช่วงปลายเลก 2


ประมาณ2ปีเศษภายใต้ชุดแดง-ดำ ผลงาน สารัช ถือว่าไม่เลวเลยสำหรับนักเตะที่เพิ่งอายุ 19 ปี ทว่าในปี 2555 เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทีม เมื่อ เอสซีจี ได้เซ็นสัญญาเพื่อมาเป็นผู้สนับสนุนของทีม โดยมีมูลค่าสัญญามากถึง 600 ล้านบาท ช่วงก่อนเปิดฤดูกาลก็ได้มีการซื้อเอกภูมิ โพธารุ่งโรจน์, มงคล นามนวด, อัดนัน บาราคัท, รี กวาง ชอน และมารีโอ ยูโรฟสกี เข้ามาร่วมทีม รวมถึงการเซ็นสัญญาผู้ฝึกสอนคนใหม่ คือ สลาวีชา โยคานอวิช ชาวเซอร์เบีย ซึ่งในฤดูกาลดังกล่าว เมืองทอง กลับมาคว้าแชมป์ได้สำเร็จพร้อมกับสร้างสถิติไร้พ่ายอีกด้วย ทว่าการเบียดแย่งตำแหน่งแดนกลางของทีมยุคนั้นโหดหินมากๆ สารัช มีโอกาสลงเล่นไม่มากนัก ก่อนจะถูกปล่อยไปให้ ภูเก็ต เอฟซี และ นครราชสีมา ยืมตัวใช้งาน 2 ฤดูกาล ในช่วงปี 2555-2556 ซึ่ง สารัช ได้สร้างผลงานให้กับนครราชสีมา ได้อย่างยอดเยี่ยมจนเป็นที่รักใคร่ของแฟนบอลชาวนครราชสีมา


ปี 2557 หลังกลับมาจากยืมตัว เขานำประสบการณ์กลับมาช่วยต้นสังกัดที่แท้จริง ภายใต้การคุมทัพของ สก็อตต์ คูเปอร์ ต่อด้วย ดราแกน ทาลายิช และหลังจากที่รุ่นพี่ตัวเก๋าหลายๆ คนเริ่มย้ายออกจากทีมไป สารัช ก้าวขึ้นมาเป็นมิดฟิลด์ตัวหลักของทีมได้สำเร็จ แม้ไม่สามารถช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ได้และทีมจบเพียงอันดับ 5 ของตารางถือเป็นผลงานที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ขึ้นมาเล่นไทยลีก แต่ปีนี้อาจถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตนักเตะของเขา เมื่อถูก "โค้ชซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เรียกไปติดทีมชาติไทยชุดเอเชียนเกมส์ ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ และได้พาทีมชาติไทยสร้างประวัติศาสตร์เข้าสู่รอบสี่ทีมสุดท้ายอีกครั้ง และในปลายปีเดียวกันในการแข่งขันเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 สารัชก็ร่วมเป็นหนึ่งในทีมชาติสามารถคว้าแชมป์มาได้ด้วยการสยบ มาเลเซีย ในรอบชิงชนะเลิศ ก่อนจะถูกทาบทามให้รับบทพระเอกเอ็มวีเพลง "เชือกวิเศษ" ของวงลาบานูน ในปีนั้นชื่อเสียงของ สารัช อยู่เย็น ดังระเบิดไปทั่วประเทศ ถึงตอนนี้แทบไม่มีใครไม่รู้จักเขา


ในปี 2558 เมืองทอง ก็ยังกลับมาทวงยิ่งใหญ่ไม่ได้ ไปจบที่อันดับ2 โดยที่บัลลังก์แชมป์ยังตกเป็นของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อีกสมัย แต่ สารัช เองก็ยังมีบทบาทสำคัญกับสโมสรและทีมชาติไทยโดยสม่ำเสมอ ในปีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ "โค้ชเฮง" วิทยา เลาหกุล ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า สารัช อยู่เย็น คือนักเตะที่อยากให้ไปค้าแข้งที่ญี่ปุ่นมากที่สุด โดยเชื่อว่าเขาจะสามารถประสบความสำเร็จได้

จนกระทั่งปี 2559 ในยุคที่ "โค้ชแบน" ธชตวัน ศรีปาน เข้ามาคุมทัพ ปีนี้ทีมได้ ธีรศิลป์ แดงดา ที่เดินทางไปตามความฝันไกลถึงสเปน กับสโมสร อัลเมเรีย กลับมาช่วยทีม สารัช มีบทบาทสำคัญกับทีมอย่างมากในการประสานงานกับผู้เล่นดาวรุ่งที่ดึงมาจาก บีอีซี เทโร ศาสน ไม่ว่าจะเป็น ชนาธิป สรงกระสินธุ์, ทริสตอง โด, พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา รวมถึง ธีราทร บุญมาทัน ที่ไปคว้ามาจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ช่วยกันแอสซิสต์ให้ เคลตัน ซิลวา เป็นดาวซัลโว และในที่สุด "กิเลนผยอง" ก็กลับมาเถลิงแชมป์ไทยลีกที่ห่างหายไปนาน 3 ปีได้อีกครั้ง ทว่าปีนี้เอง "ตังค์" ต้องเจอเรื่องเศร้าที่สุดในชีวิตเมื่อพบข่าวร้าย ต้องสูญเสียคุณพ่อมานพ ที่เสียชีวิตเนื่องจากอาการป่วยโรคสมองติดเชื้อในช่วงที่เขาต้องไปรับใช้ทีมชาติในศึกซีเกมส์ที่ประเทศอินโดนีเซีย

จากนั้นในปี 2560 เมืองทอง ไม่สามารถป้องกันแชมป์ไทยลีกได้ เมื่อถูก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คู่ปรับสำคัญ ในยุคที่มี ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต และ ชาช่า แจ็คสัน คูเอลโญ่ ประสานงานในแนวรุก โกยแต้มคว้าแชมป์ไปอย่างขาดลอย  และปีนี้เองก็เกิดจุดเปลี่ยนกับ สารัช อีกครั้ง ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ เกมไทยลีกที่พบกับสุโขทัย เขาได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้ากระดูกด้านนอกหัก ทำให้ต้องพักรักษาตัวเป็นเวลา 8 เดือน 


ในปีเดียวกัน ชนาธิป สรงกระสินธุ์ นักเตะที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดของเมืองไทย ได้รับโอกาสในการถูกยืมตัวไปร่วมทีม คอนซาโดเล ซัปโปโร ในศึกเจลีกของญี่ปุ่นในเลกที่ 2 ก่อนจะทำผลงานได้ดีจนถูกซื้อตัวไปร่วมทีมเป็นการถาวรในปีต่อมา ความสำเร็จของ ชนาธิป ในดินแดนอาทิตย์อุทัย จุดประกายความฝันของนักเตะไทยอีกหลายๆ คนที่อยากก้าวออกจากเซฟโซนไปค้าแข้งยังต่างแดนบ้าง โดยเฉพาะแข้งจาก เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่หลายคนเป็นตัวหลักในทีมชาติไทย จากนั้นในปีต่อมา 2561 ธีรศิลป์ แดงดา ถูกยืมตัวไปเล่นให้ ซานเฟรชเช่ ฮิโรชิม่า เช่นเดียวกับ ธีราทร บุญมาทัน ที่ไปอยู่กับ วิสเซิล โกเบ ขณะที่ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ถูกซื้อตัวไปร่วมทีม โอเอช ลูเวิร์น ในลีก2 ของเบลเยียม 

สารัช เองที่เพิ่งหายเจ็บกลับมาก็เริ่มมีกระแสข่าวว่ามีทีมของญี่ปุ่นแสดงความสนใจเช่นกัน ทว่าท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่เกิดขึ้น แต่จากการที่ปีนี้ซีเนียร์ภายในทีมโยกย้ายออกไปหมด สารัช จึงถูกมอบหมายให้สวมปลอกแขนกัปตันทีม ซึ่งผลจากการที่ "กิเลนผยอง" เสียผู้เล่นสำคัญไปหลายคน ทำให้ปีนี้ทีมจบเพียงอันดับ 4 ของตาราง "โค้ชแบน" ธชตวัน ตัดสินใจประกาศลาออกเพื่อรับผิดชอบผลงานตั้งแต่ก่อนจบฤดูกาล โดยมี ราโดวาน เคอร์ซิซ โค้ชจากเซอร์เบียเข้ามารับไม้ต่อ และตัวของ สารัช เองก็ถูกแฟนบอลบางกลุ่มของทีมวิจารณ์อย่างรุนแรงถึงผลงานและความกระตือรือล้น บางเกมเขาถูกแฟนบอลโห่ใส่ แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่เขาออกมาตอบโต้ แม้เบื้องหลังจะมีคนใกล้ชิดของเขาเล่าให้ฟังว่า บางครั้งเขาเองก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เหมือนกัน คงไม่มีใครรู้กระมังว่าในช่วงเพิ่งข้ามพ้นวัยเบญจเพสของเขา ต้องเจอเรื่องหนักๆ มามากแค่ไหน 


เข้าสู่ปี 2562 ปลอกแขนกัปตันถูกถอดคืนให้กับ ธีรศิลป์ แดงดา ที่เพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น ส่วนตัว สารัช ก็ยังคงมีข่าวหนาหูว่าได้รับความสนใจจากทีมร่วมลีก รวมถึงในศึกเจลีก แม้กระทั่งเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย แต่ผลสุดท้ายก็เหมือนเดิม ไม่มีดีลใดๆ เกิดขึ้น กลับกันเพื่อนรุ่นน้องอย่าง ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ที่ค้าแข้งอยู่กับ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด มีโอกาสได้ไปเติมเต็มความฝันกับสโมสร โออิตะ ทรินิตะ ของญี่ปุ่น, ชนาธิป ก็ยังไปได้สวยที่ ซัปโปโร ขณะที่ ธีราทร ไปโชว์ฟอร์มสุดสะเด่ากับ โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส จนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์เจลีกได้สำเร็จ และในปีต่อมา ธีรศิลป์ ได้คัมแบ็คเจลีกอีกครั้งกับ ชิมิซุ เอสพัลส์ ขณะที่ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ก็เพิ่งโยกมาร่วมงานกับ ชนาธิป ที่ซัปโปโร


ตรงกันข้ามกับสถานการณ์ของ สารัช เพราะนี่คือปีที่เมืองทองผลงานเข้าขั้นระส่ำที่สุดตั้งแต่เล่นไทยลีกมา ในช่วงเลกแรกใช้โค้ชไปมากถึง 3 คนทั้ง "โค้ชเบ๊" ไพโรจน์ บวรวัฒนดิลก, "โค้ชทัย" อุทัย บุญเหมาะ ที่มาคุมขัดตาทัพ และ ยุน จอง ฮวาน ที่อิมพอร์ทมาจากเกาหลีใต้ ทว่าใครจะคาดคิด "กิเลนผยอง" เคยร่วงไปรั้งอันดับบ๊วยของตารางด้วยซ้ำ ก่อนที่จะได้ อเล็กซานเดร กามา กุนซือเลือดแซมบ้าเข้ามากู้วิกฤตทีมพลิกฟอร์มโกยแต้มจนขึ้นมาจบที่อันดับ 5 ของตารางได้อย่างน่าชื่นชม

ช่วงปิดฤดูกาลจนกระทั่งก่อนเปิดซีซั่นใหม่ในปีนี้ นี่ก็เป็นอีกปีที่ สารัช มีข่าวว่าจะได้ไปค้าแข้งที่ญี่ปุ่น โดยการยืนยันจาก "ดอย" ธฤติ โนนศรีชัย รุ่นพี่ที่ผันตัวเป็นเอเจนต์ว่ามีถึง 3 สโมสรที่แสดงความสนใจ ทว่าผลสุดท้ายก็เหมือนเดิม เมื่อ เมืองทอง ออกมายืนยันว่าไม่เคยมีข้อเสนอใดๆ ที่จริงจังจากทีมใดทั้งสิ้น ซึ่งหากนับตั้งแต่ปี 2012 ที่เมืองทอง คว้าแชมป์ไทยลีกไร้พ่าย เขาคือนักเตะคนเดียวที่หลงเหลืออยู่จากชุดนั้น เขาได้แต่มองรุ่นพี่, เพื่อนๆ และรุ่นน้อง ย้ายออกไปทีละคน แม้จะมีข่าวว่าทีมอื่นสนใจมาตลอดก็ตาม เขาคือคนเดียวที่อยู่ค้าแข้งกับสโมสรแห่งนี้มานานถึง 10 ปี ตั้งแต่ขึ้นมาจากเยาวชน ถ้าเป็นต่างประเทศก็คงต้องจัดเทสติโมเนียลแมตช์ให้ไปแล้ว


หลังจากทั่วโลกเกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 หลายๆ ทีมประสบปัญหาขาดสภาพคล่องและต้องมีมาตรการลดค่าใช้จ่ายภายในทีม เช่นเดียวกับ เมืองทอง อย่างที่ผมเกริ่นไว้ในตอนต้นว่าผมจะไม่ขยี้ประเด็นที่ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นภายในสโมสรหรือไม่ เอาเป็นว่ามันมีปัญหาน่ะแหละ แต่ผลกระทบก็คือวันลาจากสโมสรแห่งนี้ของเขามันมาถึงแล้ว เมื่อสโมสรออกมายืนยันข่าวว่า สารัช อยู่เย็น จะถูกปล่อยออกจากทีมจริงๆ โดยที่ปลายทางคาดว่าจะเป็นสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด แม้ใครจะพูดว่าเป็นวิถีฟุตบอลก็ตาม แต่เชื่อเหลือเกินว่าแฟนบอลที่รักทีมและรักเขา คงไม่อยากเห็นการจากลาแบบนี้แน่ๆ 

ไม่ว่าบทสัมภาษณ์ที่อ้างว่าผู้บริหารของเมืองทองกล่าวออกมาว่า "การย้ายทีมเป็นความต้องการของนักเตะเอง และสโมสรก็ต้องปล่อยนักเตะที่ไม่มีใจกับทีมออกไป" มันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม เอาเป็นว่า 10 ปีที่รับใช้สโมสรแห่งนี้ ทั้งในวันที่มีรอยยิ้มและบางครั้งอาจเศร้าเสียใจจนมีน้ำตา มีความทรงจำมากมายที่เขาคงไม่มีวันลืมทั้งการช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ไทยลีก ในวันที่เขาถูกแฟนบอลร้องเพลงสดุดีจนกระทั่งวันที่ถูกแฟนบอลบางกลุ่มโห่ขับไล่ แต่เขาคือคนที่ไม่เคยไปไหน ทั้งที่เพื่อนพี่น้องร่วมรุ่นย้ายออกไปกันหมดแล้ว เขานี่แหละคือคนที่อยู่สู้ร่วมกับทีมมาในทุกสถานการณ์ เขาไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะถูกใครก็ตามตราหน้าว่าไม่มีใจให้กับสโมสรแห่งนี้

เชื่อเหลือเกินว่า วันใดที่เขากลับมาเยือนที่นี่ เขาควรจะได้รับการต้อนรับที่สมเกียรติจากแฟนบอล "กิเลนผยอง" หากแฟนๆ ร้องตระโกนเรียกชื่อเขา ผมมั่นใจว่าเราอาจจะได้เห็นน้ำตาของลูกผู้ชายที่ทุ่มเทให้สโมสรแห่งนี้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา โชคดีกับเส้นทางฟุตบอลสายใหม่นะ "ตังค์" สารัช อยู่เย็น


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด