ความชัดเจน ที่ไม่ชัดเจน
สถานการณ์แถบ ธันเดอร์โดม ถูกย้อมเป็นโทนสีเทา หลังสโมสรเลือกปล่อยแข้งหลักหน้าเก่าเกือบเกลี้ยงแผง (ไม่นับในรายของ ธีราทร บุญมาทัน กับ ธีรศิลป์ แดงดา ที่โกอินเตอร์) ที่เหลือล้วนเป็นดีลอันไม่ต่างจากยื่น “หอก” ให้ศัตรู
ไม่ว่าจะเป็น ศนุกรานต์ ถิ่นจอม, ชาริล ชัปปุยส์, โอ บัน-ซอค, เฮแบร์ตี แฟร์นานเดส หรือ อดิศักดิ์ ไกรษร แม้ 2 รายหลังจะอ้างว่าปล่อยออกจากทีมไปในรูปแบบยืมตัว แต่นั่นแหละ คิดหรือว่าเมื่อหมดสัญญานักเตะจะกลับคืนสู่ทีม
สิ่งที่เกิดขึ้นหลายคนเดาได้ไม่ยาก นั่นเพราะสโมสรอาจต้องการ “ลดเพดาน” ค่าเหนื่อยทีม ที่สูงลิ่วลงมา
ปล่อยแข้งที่แบกค่าเหนื่อยสูงออกไป แล้วใช้ลูกกรอกโรงเรียนกิเลนผยอง ที่ปลุกปั้นมาเป็นแกนหลักในฤดูกาลนี้แทน โดยมีผู้เล่นโควตาต่างชาติ + อาเซียน และนักเตะไทยบางส่วนเป็นแกนหลักประคองเด็ก ๆ
แต่ปัญหาคือ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เมืองทองฯ ต้องเสีย 2 แกนหลักที่เปรียบเสมือนไอคอนทีมอย่าง สารัช อยู่เย็น กับ อดิศร พรหมรักษ์ ออกจากทีมเพิ่มอีก
ขณะบ้านหลังใหญ่ ที่เป็นเจ้าของเดียวกันในซอยนวลจันทร์ มีการเลย์ออฟพนักงานออกกว่าครึ่ง ไล่ตั้งแต่ระดับ บก. ที่ตะบันข่าวมาด้วยกันยุคตั้งไข่ ช่างภาพมือฉมังที่ลั่นชัตเตอร์ให้ชายคาแห่งนี้มากกว่า 30 ปี นับนิ้วคร่าว ๆ เวลานี้ในกองฟุตบอลไทย เหลือสมาชิกอยู่ราว 10 กว่าคนเท่านั้น
สิ่งเหล่านี้ทำให้หลายคนเริ่มสงสัยว่า กิเลนผยอง จะเดินไปทางไหนในฤดูกาลนี้
แม้ล่าสุดที่พ่อใหญ่อย่าง คุณระวิ โหลทอง จะออกมาสร้างความ “ชื้นใจ” ให้แฟนบอลบางส่วนได้บ้าง จากบทสัมภาษณ์ผ่านคนข่าววัยเก๋าย่านวิภาวดีอย่าง บี บางปะกง
คุณระวิ ยืนกรานว่า เมืองทอง ยังไม่ได้ “ยกธงขาว” จะเสียผู้เล่นแกนหลักออกจากทีมไปหลายคน เพราะสโมสรยังสามารถสร้างนักเตะสายเลือดใหม่มากคุณภาพขึ้นมาประดับวงการต่อได้ พร้อมยืนยันว่า “กิเลน” ตัวนี้ ยังมีอนาคตที่ดี มีลุ้นแชมป์อยู่ทุกถ้วย
ในแง่การย้ายออก ผู้เขียนไม่ได้เคลือบแคลงใจ เพราะนี่คือวิถีนักฟุตบอลอาชีพ เมื่อได้รับข้อเสนอดีงาม หรือบ้านหลังใหม่ที่เติมเต็มไฟฝันได้ การย้ายออกไม่ใช่เรื่องผิด
แต่สิ่งที่อดคิดไม่ได้คือ นอกจากจำนวนผู้เล่น “ขาออก” จะมากกว่า “ขาเข้า” เรื่องของคุณภาพเป็นอีกประเด็นที่สมควรตั้งคำถาม
เงินที่เข้าบัญชีสโมสร ในหลักสิบ-ร้อยล้าน จากการปล่อยผู้เล่น ถูกแทนด้วยนักเตะที่สมน้ำสมเนื้อกับรายที่ปล่อยไปหรือไม่
ทีมปล่อยรถถังอย่าง เฮแบร์ตี, ธีรศิลป์ แดงดา, อดิศักดิ์ ไกรษร ไป เพื่อไปคว้าผู้เล่นอย่าง วิลเลียน ป็อปป์ กับ ซาร์ดอร์ มีร์ซาเยฟ เข้ามาแทน หรือ โอ บัน-ซอค ถูกแทนที่ด้วย ลูคัส โรชา
สารัช และ อดิศร ที่เสียไป ยังไร้วี่แวว “ตัวแทน” นอกจากข่าวออกมาว่าพร้อมจับบรรดาดาวรุ่ง ที่รอวันเจียระไนฝีตีนขึ้นมา
ส่วนข่าวทุ่มซื้อบรรดาแข้งทีมชาติด้วยเงินหลักหลายสิบล้าน มาทดแทน ก็ตามสไตล์ที่เราอ่านกัน ฮือฮาวันนี้ พรุ่งนี้เงียบ หรือถูกบอกปัดแบบ “รู้กันอยู่”
การดันดาวรุ่งให้เจนสนามมากขึ้น เป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่คุณต้องมีผู้เล่นมากประสบการณ์คอยประคองด้วย ความสำเร็จถึงไปพร้อมกันได้ เหมือนที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทำให้เห็น
“สถานะ” เอสซีจี เมืองทองฯ เวลานี้เป็นแบบไหน ?
หากยังบอกว่าเป็นทีมใหญ่ อยู่บนเส้นทางลุ้นทุกแชมป์ มองโลกแบบความเป็นจริง คุณคิดว่านักเตะที่มีอยู่ จะสามารถไล่ตบทีมอย่าง สิงห์ เชียงรายฯ, บีจี ปทุมฯ, ทรู แบงค็อกฯ หรือ การท่าเรือ เหมือนที่ผ่านมาได้หรือไม่
แท็คติก-ระบบทีม คือสิ่งสำคัญ “ใจ” ก็เช่นเดียวมัน แต่สิ่งเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จไม่ได้ หากไร้ทรัพยากรลูกหนังชั้นดี
วันนี้สิ่งที่เห็นผ่านตาจากตลาดนักเตะ กับสิ่งที่ออกมาจากคำพูดบอร์ดสโมสรบางคนมัน “สวนทาง” กัน
ในแง่ของแฟนบอล คนเหล่านี้ยังพร้อมเป็นลมใต้ปีก เปล่งเสียง “หนุนทีม” เสมอ
ต่อให้สถานะคุณจะเปลี่ยนเป็น “ทีมขนาดกลาง” แค่ประคองตัวอยู่รอดในลีกสูงสุดไปในแต่ละปี มีโบนัสอย่างฟุตบอลถ้วยให้ได้ลุ้นเข้ารอบลึก ๆ บ้างประปรายก็เถอะ
พวกเขาแค่ต้องการความชัดเจน จริงใจ มากกว่าคำพูดสวย ๆ ชวนฮือฮา บนหน้าข่าว
** ภาพประกอบคอลัมน์ : FB Muangthong United